สัมผัสร้าย 4 เทียนสิ้นแสง (3)

1770 Words
​ ​ แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องผ่านกระจกเข้ามาในรถเป็นสีส้มอ่อน สองฝั่งทางที่รถกำลังแล่นผ่านอย่างไม่ช้าไม่เร็วรายล้อมด้วยทุ่งหญ้ารกร้าง จิตใจฉันเหมือนล่องลอยไปกับยอดหญ้าที่พลิ้วเอนตามลมอ่อน ชั่วเวลาสั้นๆ ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย จนไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง “หลังนี้หรือเปล่าหนู” เสียงคนขับแท็กซี่ดึงความสนใจฉันกลับมา เหลือบมองไปรอบๆ ก่อนพยักหน้า “ใช่ค่ะ” ฉันจ่ายค่าโดยสารเสร็จก็ลากกระเป๋ามายืนอยู่หน้ารั้วตาข่ายเหล็ก สายโซ่คล้องกุญแจเอาไว้แต่ไม่ได้ล็อก ฉันปลดมันออกอย่างไม่ยากเย็น จูงกระเป๋าเดินทางผ่านเข้ามาข้างใน ยืนมองประตูบ้านอย่างลังเล หลังลากกระเป๋าออกมาจากห้องแถวของไอ้ธูปฉันตั้งปณิธานอย่างแรงกล้าว่าจะมาที่นี่ แต่พอถึงแล้วกลับรู้สึกไม่แน่ใจซะอย่างนั้น กำลังจะเคาะประตู ประตูก็ดันเปิดออกมาพอดี เรซถือถุงดำเหมือนขยะเอาไว้ในมือ ใบหน้าหล่อเหลามีผมเผ้ายุ่งเหยิงชักสีหน้าประหลาดใจที่เห็นฉัน “เธอมาทำอะไรที่นี่” ท่าทางเขาดูงวยงงเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน “ฉันจะมาอยู่กับนายที่นี่” “.....” เรซเพียงมองฉันเงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนก้าวผ่านฉันไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หมอนั่นเดินไปทิ้งขยะข้างนอกรั้วก่อนย้อนกลับมาด้วยสีหน้าราบเรียบเดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร “นั่นอะไร” เรซจับจ้องกระเป๋าเดินทางใบโตข้างฉันอย่างเพิ่งสังเกตเห็น ร่างสูงปราดเข้ามายืนบังประตูบ้านเอาไว้แล้วจ้องฉันเขม็ง เหมือนก่อนหน้านี้เขาคิดว่าฉันแค่พูดเล่นยังไงยังงั้น ก่อนหน้านี้คงไม่ทันเห็นกระเป๋าฉันจริงๆ นั่นแหละ เขาจ้องฉันอย่างสำรวจตรวจตราคู่หนึ่งก่อนเอามือปัดไล่ลมที่จมูก “นี่เธอดื่มมาเหรอ” ฉันไม่มีอารมณ์มาตอบคำถามเรซ ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยมาก ตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่นอน แถมดื่มเหล้ามาอีก แล้วยังนั่งรถอ้อมไปอ้อมมาอีก แม้จะงีบอยู่ในรถมาบ้างแต่ก็ไม่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด มานึกโกรธตัวเองตอนนี้ที่หุนหันเก็บเสื้อผ้าออกจากหอพักก็ไม่ทันแล้ว โว้ย ทำไมเป็นคนใจร้อนแบบนี้ ฮือออ “ฉันย้ายออกจากที่เดิมแล้ว ตอนนี้ฉันเหนื่อยมาก ขอเข้าไปพัก...” “ไม่ได้!” เรซสวนขึ้นมาทันควัน เขาตัดบทอย่างไร้เยื่อใยมาก ฉันกำลังจะลากกระเป๋าไปที่ประตูหยุดกึก มองสบสายตาคมกริบอย่างรู้สึกสับสน ไม่มีส่วนไหนบนใบหน้าเรซบอกว่าต้อนรับฉันเลย ทำไมล่ะ... ในหัวฉันเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยคำพูดบาดหูก็ดังขึ้น “แค่พามาครั้งเดียวอย่าเข้าใจผิด เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน” ราวกับโดนสาดหน้าด้วยน้ำเย็นแล้วราดน้ำเดือดตาม ฉันเย็นวาบไปทั้งตัวก่อนจะรู้สึกเห่อร้อนในทุกอณูผิวหนัง มองใบหน้าด้านชาของเรซอย่างหายใจไม่ออก คิดว่าต้องพูดอะไรสักอย่างกลับไปเอาให้เขาเจ็บแสบบ้าง แต่ว่าในหัวฉันตอนนี้มันตื้อไปหมด ทั้งเพลียทั้งง่วง แถมยังมวนท้องเหมือนลมจะตีตื้นขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา สายตาที่มองเรซพร่ามัวชั่วขณะ แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ฉันอ้วกออกมา พุ่งใส่ท้องเรซเต็มๆ “เชี่ย!” เรซอุทานหยาบคายออกมาคำหนึ่ง รีบดันร่างฉันออกห่างแต่ไม่ทันแล้ว อ้วกสองสายราดอยู่บนเสื้อราดลงไปถึงกางเกงและรองเท้าแตะที่เขาสวมอยู่ “นี่เธอ...” เรซโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ฉันได้แต่มองไม่มีแรงจะตอบโต้แล้วภาพตรงหน้าก็ดับวูบ! ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงหนานุ่ม กลิ่นหอมอ่อนจางจากผ้าห่มและปลอกหมอนให้ความรู้สึกผ่อนคลายจนไม่อยากลืมตาตื่น หากแต่เสียงเปิดประตูห้องฉุดสติฉันที่กำลังสะลึมสะลือให้แจ่มชัด เป็นเรซเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียง ใบหน้าหล่อเหลายังคงบึ้งตึงเหมือนโดนใครเหยียบเท้าตลอดเวลา สายตาเรซราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ฉันยันตัวลุกขึ้น กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องอย่างงวยงง “ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ...จำได้ว่าครั้งสุดท้าย อึก! หัวใจฉันกระตุกวาบทันทีที่นึกได้ว่าทำอะไรลงไป มองเรซอย่างกระอักกระอ่วน “...ฉันอ้วกใส่นาย” “หึ” ใบหน้าเรซคล้ายพาดผ่านด้วยเงาดำทะมึน เขากระตุกยิ้มยะเยือก ฉันเย็นสันหลังวาบ มองเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านบนตัวเรซแล้วยิ้มเจื่อน พูดอะไรไม่ออกนอกจากขอโทษ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่อยากฟังนัก เขายังคงจ้องฉันด้วยสายตาเย็นชาและห่างเหินไม่ต่างจากทุกที เกิดความเงียบงันที่น่าอึดอัดขึ้นชั่วขณะ ฉันสูดหายใจลึก เอ่ยถามเสียงเบา “ตอนนี้กี่โมง” “ถ้าไหวแล้วก็ไปซะ” “ห๊ะ?” เป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกหน้าชาเหมือนโดนคนตบ มองสบสายตารังเกียจขั้นรุนแรงของเรซอย่างหายใจไม่ทั่วท้อง โดยไม่ทันรู้ตัวน้ำใสๆ ก็เอ่อคลอเบ้าแล้ว “นายจะให้ฉันไปจริงเหรอ” “.....” เรซไม่ตอบ แต่สายตาขับไล่ไสส่งแสดงออกชัดเจนมาก “ทำไม ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้เหรอ ฉันไม่มีที่ให้ไปแล้วจริงๆ” “นั่นมันไม่ใช่ปัญหาของฉัน” “นายพาฉันมานอนนี่แล้วยังจะบอกว่าไม่ใช่ปัญหาอีกเหรอ” ฉันมองเรซน้ำตาคลอ ริมฝีปากสั่นระริก “แค่หลับนอนครั้งสองครั้งก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะสำคัญสำหรับฉัน รีบเก็บกระเป๋าของเธอแล้วออกไปซะ” ฉันเม้มปาก มองสบสายตาเลือดเย็นของคนตรงหน้า รู้สึกปวดร้าวในอก คิดไม่ถึงว่าเขาจะใจร้ายได้ถึงขนาดนี้ “ถ้าฉันบอกว่าไม่ล่ะ” “ฉันก็จะจับเธอโยนออกไป มานี่” “อ๊ะ เรซ! โอ๊ย นายจะทำอะไรปล่อยฉันนะ เจ็บ... เรซ!” หมอนั่นคว้าข้อมือฉันแล้วกระชากลงจากเตียงอย่างป่าเถื่อน ร่างกายฉันเบาหวิวแทบปลิวติดมือเรซ แถมตอนเท้าแตะพื้นยังขาพันกันเกือบล้มหน้าคว่ำ ฉันถูกเรซลากออกจากห้องนอนอย่างไร้ความปรานี เราทั้งคู่ยื้อยุดกันตลอดทาง ระหว่างถูกดึงลงบันไดฉันแอบผวาอยู่หลายรอบเพราะกลัวเหยียบพลาด “เรซ... ขอร้องเมตตาฉันเถอะ” เรซลากฉันมาถึงประตูหลักโดยไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น “ถ้านายไล่ฉันแล้วฉันจะไปอยู่ไหน” “มันเรื่องของเธอไม่เกี่ยวกับฉัน” “จะไม่เกี่ยวได้ไงก็นาย ว้าย!” ยังไม่ทันได้บอกว่าเขาก็คือต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ฉันก็ถูกโยนออกมาข้างนอกแล้ว ปัง! เสียงกระแทกประตูปิดดังก้อง ฉันรีบหันกลับมาอย่างร้อนใจ ผวาเข้าไปทุบประตูหัวใจสั่น “เรซ! ไม่นะ เปิดประตูให้ฉันสิ นายจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะเรซ! เรซซซซซซ ไอ้คนใจดำ เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้!” ฉันทุบประตูตะโกนเรียกคนข้างในอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่วี่แววว่าประตูจะเปิด ความรู้สึกตื้นตันแล่นจุกอก หยาดน้ำใสๆ ไหลผ่านแก้ม ทั้งตบทั้งถีบประตูเรียกเรซๆ ๆ ๆ ๆ อยู่แบบนั้นไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน จนรู้สึกเหนื่อย ฉันทรุดตัวลงพิงหลังกับประตูอย่างอ่อนแรง เหลือบมองกระเป๋าเดินทางใบโตที่วางอยู่ที่เดิมด้วยสายตาเลื่อนลอย ดวงอาทิตย์ที่ตอนแรกตั้งอยู่กลางหัวกระทั่งตอนนี้คล้อยต่ำ บานประตูด้านหลังก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะขยับเขยื้อน อากาศช่วงเที่ยงถึงบ่ายร้อนอบอ้าว ถึงจะไม่ได้สัมผัสแดดตรงๆ แต่ไอแดดก็สร้างความปวดแสบปวดร้อนให้ผิวมากเหมือนกัน เหงื่อออกเยอะจนรู้สึกเหนียว แต่พอคล้อยบ่าย แดดเริ่มอ่อน ลมพัดโกรกทำเอาสะท้านได้เหมือนกัน ฉันเอามือลูบแขนที่ขนลุกชันของตัวเองอย่างรู้สึกหนาวสั่น ลำคอแสบปร่าเพราะตะโกนมากเกินไปหรือเพราะมีไข้ไม่แน่ใจ ระหว่างที่กำลังว่าจะทำยังไงดีเสียงรถคันหนึ่งก็ดังขึ้น... ฉันเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ไฟหน้ารถออดี้สีขาวโดดเด่นมาแต่ไกลชะลออยู่หน้ารั้ว ไม่นานนักก็เห็นเงาคนเดินลงมาเปิดประตู ก่อนกลับขึ้นรถแล้วขับเข้ามาจอดเทียบข้างบีเอ็มดับบลิวของเรซ แม้จะไม่ได้คาดหวังแต่ก็สนใจอยู่ดี ฉันอยากรู้ว่าคนที่มาคือใคร จะได้เตรียมรับมือถูก ฉันจ้องมองร่างสูงก้าวลงจากรถอย่างใจจดใจจ่อ เจ้าของใบหน้าเรียวคม ไว้ผมด้านข้างสั้น ด้านบนยาวปานกลางพันกันยุ่งแบบไม่ได้จัดทรง เดินเข้ามาก่อนจะหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน ดวงตาหวานทรงเสน่ห์อย่างหนุ่มเพลย์บอยกระตุกไหว แฮค... “เทียน?” เขาปราดมองฉันอยู่หลายรอบก่อนเรียกชื่อฉันอย่างไม่แน่ใจ พวกเราเคยเจอกันครั้งเดียว ไม่แปลกที่เขาจะสับสน ฉันลุกขึ้นยืนเพื่อจะทักทายแฮคแต่คงเพราะเคลื่อนไหวเร็วเกินไปทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่ทัน หน้ามืดและจะล้ม “เฮ้ระวัง!” แฮคคว้าเอวฉันเอาไว้ได้ทันเวลา ทำให้ฉันเหมือนอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เราทั้งคู่สบตากันในระยะประชิด ต่างคนต่างเงียบ... ไม่ใช่ว่าฉันตกอยู่ในห้วงภวังค์โรแมนติกแต่อย่างใด แต่เพราะยังเวียนหัวไม่หายเลยต้องอยู่ท่านั้นสักพักจนภาพมืดมัวในม่านตาค่อยๆ กลับมากระจ่างชัด “ไหวหรือเปล่า” แฮคช้อนสายตามองฉันอย่างเป็นห่วง “อือ... ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ขอบใจ” ฉันผละออกห่างร่างสูงหลังจากกลับมาเป็นปกติ หลุบมองพื้นอย่างอายๆ แฮคทำท่าเหมือนไม่อยากปล่อยฉันออกห่าง เขาเก็บท่าทีที่อาจจะเป็นการรุกจนเกินไป มองฉันด้วยสายตาคมกริบปราดหนึ่งก่อนชำเลืองมองกระเป๋าเดินทางของฉันที่ยังวางอยู่ที่เดิมตั้งแต่เช้ากระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้เคลื่อนย้ายไปไหน “ทำไมเทียนมาอยู่ที่นี่ แล้วกระเป๋านั่นคืออะไร” ความสงสัยฉายชัดอยู่ในดวงตาทรงเสน่ห์ “คือ...” ​ ​
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD