ฉันไขกุญแจเข้ามาในห้องที่มืดสนิท บอกให้รู้ว่าพี่แสงยังไม่กลับ... เอื้อมมือไปแตะสวิตช์ไฟข้างผนังก่อนหมุนตัวกลับมาดึงประตูปิด เดินขากะเผลกตรงมาที่ครัว วางกระเป๋าไว้บนโต๊ะอย่างหงุดหงิด
น้ำเย็นในตู้ก็ไม่ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ให้ตายสิ ยิ่งคิดยิ่งโมโห ไม่รู้จะไปลงที่ใคร หยิบโทรศัพท์มาโทรหาลูกกอล์ฟระบายเรื่องกระเป๋าอย่างหูดับตับไหม้ คุยอยู่เกือบชั่วโมงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ก็เริ่มสงบลง ปลายสายร้องเสียอกเสียดายแทนฉันไม่หยุด แต่ก็มีด่ากลับมาเป็นระยะ ที่ฉันซุ่มซ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือแถมยังทำให้ร้านมันเสียชื่อด้วย เพราะลูกค้าเพิ่งจะไดเรคไอจีไปด่าที่หลอกให้เสียเวลา
ชิ! นั่นน่ะแค่เสียเวลาทำมาเป็นบ่น แต่ฉันเนี่ยเสียหายเต็มๆ ต่อให้ระบายความอัดอั้นไปมากแค่ไหนก็ไม่หายกลุ้มหรอก กระเป๋าใบละตั้งหลายหมื่น อยากจะบ้า!
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ
เสียงนาฬิกาปลุก ฉันคลำมือหาโทรศัพท์บนเตียง ก่อนกดปิดเสียงโดยไม่แม้แต่จะลืมตา พลิกตัวนอนคว่ำหน้าลงกับหมอนอย่างขี้เกียจ สักพักพี่แสงก็จะมาเขย่าตัวเรียกให้ฉันรีบลุกไปอาบน้ำเพราะวันนี้มีเรียนเช้า
แต่... กลับไม่มีเรื่องอย่างที่คิด
ฉันชะโงกหน้าขึ้นมองไปรอบๆ เพราะผิดสังเกต บนเตียงข้างๆ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยคนนอน ผิวเตียงตึงสนิท นี่อย่าบอกนะว่าพี่แสงยังไม่กลับ ความสงสัยช่วยสลัดความง่วงงุนออก ฉันหย่อนขาลงจากเตียง ลุกขึ้นเดินกะเผลกๆ หาพี่แสงจนทั่ว ในห้องน้ำ ระเบียง ก็ไม่เจอ ที่ชั้นรองติดกับประตูก็ยังอยู่ในสภาพเดิมกับเมื่อวาน
ไม่รู้ความร้อนใจนี้มาจากไหน ฉันกระย่องกระแย่งกลับมาที่เตียง รู้สึกรำคาญเท้าตัวเองที่เดินชักช้าไม่ได้ดั่งใจ คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กว่าพี่แสงติดต่ออะไรมาบ้าง แต่ทั้งไลน์ เฟสฯ หรือแม้แต่สายโทรเข้าก็ว่างเปล่าไปหมด ไม่บอกกล่าวอะไรสักคำ
แล้วพอโทรหาก็ดันติดต่อไม่ได้... แบตหมดหรือเปล่านะ ฉันจ้องมองชื่อพี่แสงบนหน้าจออย่างครุ่นคิด ก่อนจะพิมพ์เข้าไปในไลน์ รอสักพักก็ไม่มีวี่แววว่าจะอ่าน คงจะแบตหมดจริงๆ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่แสงไม่กลับห้อง แต่ทุกครั้งเขาจะบอกฉันก่อนไม่ใช่หายไปเลยแบบนี้
...คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง
ฉันส่ายหน้าไล่ความรู้สึกไม่สบายใจออกจากหัว เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ
ความจริงแล้วฉันจะไม่มาเรียนก็ได้ ใช้ข้อเท้าเป็นข้ออ้างลาป่วยแต่เพราะข้อความจากคะนิ้งที่ส่งมาตั้งแต่เช้าตรู่ทำให้ฉันคึก รีบลุกขึ้นไปเปลี่ยนชุดนักศึกษาออกมามหาลัย
คะนิ้ง : ริกกี้บอกว่าวันนี้เรซมีเรียนทั้งวัน
ฉันจ้องข้อความที่ค้างอยู่บนจอระหว่างนั่งซ้อนท้ายวินมอไซค์เข้าไปในมอ เมื่อคืนฉันดันทักคะนิ้งไปตอนก่อนนอนว่าอยากเคลียร์กับเรซ ถ้าเจอให้บอกด้วย คะนิ้งถึงได้ทักมาบอกตอนเช้า ฉันแค่พิมพ์ไปเล่นๆ ไม่ได้คาดหวังมากแต่คะนิ้งกลับตอบสนองได้ดีเกินคาด ใครจะคิดว่าหน้าใสๆ แบบนั้นจะพึ่งพาได้จริงๆ
วินมอไซค์จอดหน้าตึก ฉันรู้สึกตัว รีบเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋า เหยียดเท้าลงแตะพื้นอย่างระมัดระวังแล้วส่งเงินให้พี่วิน แล้วหันหน้าเดินเข้าตึก
“อุ๊ยตายละ”
เสียงอุทานส่อเสียดดังขึ้น เดิมทีฉันจะไม่สนใจสักนิดถ้าไม่ใช่เพราะเสียงนั่นคุ้นหูซะจนน่ารำคาญ หันไปมองก็เจอกับพะแพงน้องสาวพี่แสงตามคาด ฉันกลอกตาไปมากำลังจะเดินไปข้างหน้าอย่างไม่อยากใส่ใจ เสียงแดกดันยิ่งกว่าสุนัขเห่าก็ลอยมากระแทกหู
“ทำเป็นเจ็บ ที่แท้คงจะหาเรื่องอ่อยพี่ชายฉันอีกล่ะสิ”
ฉันสูดหายใจลึก ข้อเท้าข้างที่ได้รับบาดเจ็บปวดหนึบเหมือนกดทับด้วยโซ่เส้นใหญ่ ไม่ต้องเหนื่อยหันกลับไปมองพะแพงกับเพื่อนก็ยกโขยงกันมายืนขวางทางอย่างทันใจนึก
“ทำอะไรไว้อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้”
ฉันจ้องสายตาร้อนระอุของพะแพงนิ่ง ช่วงนี้ยิ่งมีชนักติดหลังเยอะอยู่ด้วย ไม่อาจทำเป็นเฉยเมยเหมือนทุกครั้งที่ถูกแขวะ
“หมายความว่ายังไง” ฉันรักษาท่าทีสงบเยือกเอาไว้ ไม่อยากให้ยัยพวกนั้นเห็นว่ากำลังแตกตื่น พะแพงกวาดสายตามองฉันอย่างประเมินครู่หนึ่งก่อนแสยะยิ้มหยันออกมา
“อีกไม่นานหรอก พี่แสงได้เฉดหัวเธอทิ้งแน่”
พูดเอาความสะใจเสร็จก็หันไปส่งสายตาเรียกพวกตัวเอง เชิดหน้าเดินออกไปราวกับหงส์ที่ไม่อยากลดตัวลงมาเกลือกกลั้วกับโคลน
ตั้งแต่คบพี่แสงฉันโดนพะแพงดูถูกมาจนเอียนแล้ว แต่ไม่เคยมีครั้งไหนทำฉันร้อนรุ่มเท่านี้มาก่อน ฉันมาจากครอบครัวธรรมดาออกจะค่อนข้างมีปัญหาด้วยซ้ำ แต่นั่นแหละมีบ้านไหนบ้างไม่มีปัญหา เทียบกันแล้วฐานะที่บ้านฉันกับพี่แสงต่างกันราวฟ้ากับเหว เขารวยมาก แต่ไม่เคยหลงตัวเอง ไม่ถือตัวเหมือนน้องสาว พี่แสงออกจะเรื่อยเปื่อยไปสักหน่อย แต่มีความอบอุ่น อยู่ด้วยแล้วรู้สึกปลอดภัย ที่สำคัญตามใจฉันเกือบทุกอย่าง ฉันไม่เคยคิดเรื่องเลิกกับเขาเลย จนเมื่อกี้คำพูดพะแพงทำให้ฉันรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ ตื่นตระหนกจนไม่เป็นตัวของตัวเอง
ฉันอยู่ในห้องเรียน แทบลืมความตั้งใจของตัวเองไปแล้ว เอาแต่คิดพะวงถึงพี่แสง ไล่โทรศัพท์ดูเขายังไม่อ่านไลน์เลย โทรไปก็ไม่ติด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า โธ่เอ๊ย ฉันเข้าเฟสฯ ไล่ดูหน้าเฟสเพื่อนพี่แสงทีละคนก่อนเห็นรูปที่พวกเขาอยู่ในร้านเหล้า ในนั้นมีพี่แสงด้วย แต่ไม่ได้ถูกแท็กชื่อ บนรูปมีข้อความสั้นๆ ว่า ‘วันเกิดไอ้เหม่ง’ ฉันไล่อ่านคอมเมนต์ไปเรื่อยๆ ก็รู้ว่าพวกเขาไปดื่มกันต่อที่ห้องเพื่อนคนหนึ่งจนเช้า
ค่อยโล่งใจหน่อย ที่แท้ก็ไปกินเหล้ากับเพื่อนนี่เอง แบตคงจะหมดเลยไม่ได้โทรบอกฉัน...
ระหว่างกำลังใจลอยก็มีคนเดินเข้ามานั่งลงข้างๆ “คะนิ้ง?”
ยัยนี่มาสาย... กำลังฉีกยิ้มอายๆ ให้ฉัน บริเวณผิวแก้มแดงระเรื่อเป็นพิเศษ ไม่ใช่แดงเพราะปัดแก้มด้วย ทำอะไรมาเนี่ย
ฉันดึงสายตาจากคะนิ้งไปมองยังโต๊ะที่พวกเค้กกับนิกนั่งอยู่ บังเอิญฉันเข้าห้องช้าไปสิบนาทีก็ มาถึงอาจารย์สอนก็เริ่มสอนแล้วเลยไม่กล้าเดินข้ามโต๊ะไปหาพวกนั้น เลือกโต๊ะแถวหลังที่อยู่ใกล้ประตูนั่งเงียบๆ แต่... ผ่านไปจนเกือบจะครึ่งคลาสคะนิ้งโผล่มา สายกว่าฉันอีก
“เพิ่งมาเหรอ ตอนแรกนึกว่านั่งอยู่กับพวกนั้น” ฉันส่งสายตาไปทางนั้นก็เห็นว่าเค้กกำลังหันมามองพร้อมกับโบกมือทักทายเบาๆ
คะนิ้งโบกมือตอบเค้กก่อนหันมามองหน้าฉันแวบหนึ่ง ก้มลงเปิดหนังสือไปพลางพูดไปพลาง
“อืม โดนริกกี้แกล้งน่ะ”
ยัยนั่นกลั้นยิ้มเหมือนคนเก็บอาการไม่อยู่ แก้มแดงระเรื่อราวกับเพิ่งผ่านเรื่องน่าเขินอายมา โดนแกล้งอิท่าไหนวะเนี่ย เฮ้อ! ช่างเหอะ คงเป็นอย่างที่คิดนั่นแหละ ฉันเบือนหน้ากลับมาฟังอาจารย์ที่กำลังอธิบายทฤษฎีอะไรสักอย่าง ฟังไม่เข้าหัวเลยแฮะ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเขี่ยเล่นจนหมดเวลา
ทุกคนทยอยออกจากห้อง ฉันรอจนคนที่ประตูเริ่มบางก็ลุกขึ้น พอดีกับที่เค้กกับคนอื่นๆ เดินออกมาจากโต๊ะนั่งด้านใน
“เท้าเป็นอะไรน่ะเทียน” เค้กทักเสียงแหลมทันทีที่เห็นข้อเท้าฉันถูกพันด้วยผ้าก๊อซสีขาว
“เคล็ดน่ะ”
“ไปทำยังไงล่ะนั่น” นิกมองด้วยสายตาประหลาดใจ เมื่อวานยังเห็นฉันดีๆ อยู่เลย
“เดินตกทางต่างระดับอะดิ โง่เนอะ” ฉันแกล้งด่าตัวเองเนียนๆ คะนิ้งลอบมองฉันแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ฉันโดนรุมด่าว่าเซ่อซ่าอยู่ไม่นานพวกนั้นก็หมดความสนใจหันไปคุยเรื่องอื่น เพราะไม่มีเรียนต่อตอนบ่าย พอลงมาถึงใต้ตึก ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ ไม่มีใครอยู่กินข้าวเที่ยงที่มอ ฉันเองก็ตั้งใจว่าจะกลับไปรอพี่แสงที่ห้องเหมือนกัน กำลังจะผละออกมาก็ได้ยินเสียงเค้กถามคะนิ้งว่า
“กลับไงเนี่ย”
“เดี๋ยวริกกี้มารับ”
“อ้อเหรอ” เค้กทำหน้าหมั่นไส้แวบหนึ่งก่อนตวัดสายตาร้อนแรงมาทางฉัน “นี่ก็รอพี่แสงมารับใช่มะ ชิ! เบื่อคนมีความรักจริงวุ้ย!”
เค้กทำสะบัดสะบิ้งใส่คนโน้นคนนี้เสร็จ ก็ย่ำเท้าเดินออกไปราวกับสายฟ้าแลบ ฉันกะพริบตาปริบๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ
ฉันกับคะนิ้งมองสบตากันอย่างไม่รู้จะพูดอะไรอยู่พักหนึ่ง เสียงคะนิ้งก็ดังขึ้น
“พี่แสงมารับเหรอ”
“อ้อ เปล่าน่ะ เดี๋ยวกลับเอง”
“อ้าว...” คะนิ้งเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูด ตอนนั้นโทรศัพท์ของคะนิ้งก็ส่งเสียงเตือน ฉันมองอย่างไม่ได้ตั้งใจ เห็นข้อความบนหน้าจอแว๊บๆ รู้แค่ว่าเป็นริกกี้ส่งมาแต่อ่านไม่เข้าใจ
“....” คะนิ้งขมวดคิ้วหลังอ่านเสร็จ
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ริกกี้น่ะ มารับไม่ได้ ให้นิ้งติดรถเรซกลับ”
แววตาฉันเบิกกว้างทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น ความคิดสายหนึ่งแล่นปราดเข้ามาในหัว
“คะนิ้ง”
“หืม?”
“....”