เสือหมุนตัวเดินออกไปยังหน้าบ้าน อินเอวาเห็นว่ายังคุยกันไม่จบเธอจึงสืบท้าวยาวเดินตามชายหนุ่มออกไปด้วย
"คุณเสือ คุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิ การที่ฉันไปเที่ยวแล้วฉันเมาแบบเมื่อวันก่อนมันไม่ได้แปลว่าฉันเป็นผู้หญิงไม่ดีนะ" ร่างอรชรวิ่งมาขวางทางพ่อเลี้ยงเสือ แต่เป็นจังหวะที่ผู้หญิงคนหนึ่งเปิดประตูก้าวลงจากรถพอดี
หล่อนมัดผมหางม้า สวมเสื้อเชิ๊ตตัดลายสีน้ำเงิน สวมทับด้วยเสื้อกันหนาวด้านนอกเพราะอากาศเริ่มเย็นลง กางเกงยีนสีฟ้าขาว และรองเท้าบูตยาวขึ้นมาจนเกือบถึงหัวเข่า ใบหน้าสวยหวานส่งยิ้มให้เสือ
"พ่อเลี้ยง ไปกันได้หรือยังคะ" นิลลา ผู้จัดการไร่สาวสวยวัยสามสิบห้าปี อายุเท่ากันกับพ่อเลี้ยงเสือ นิลลาทำงานในไร่ดอยเหนือมาตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี พ่อแม่ของหล่อนก็เคยทำงานในไร่นี้มาก่อนเช่นกัน
อินเอวาแปลกใจ เมื่อมองไปยังผู้มาเยือนกลับได้เห็นสายตาอันไม่เป็นมิตรจ้องมองมายังตนเช่นเดียวกัน เสือไม่ใส่ใจจะแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน เขาเดินไปขึ้นรถโดยไม่สนใจอินเอวา จากนั้นนิลลาจึงขึ้นไปนั่งประจำที่และขับรถตรงออกไปยังไร่
"คุณอิน แม่นายให้มาตามไปทานข้าวเจ้า" แสงหล้าเดินออกมาก็เห็นว่ารถของนิลลาขับออกไปแล้ว
"แสงหล้า เมื่อกี้ใครมารับคุณเสือออกไปเหรอคะ?"
"อ๋อ นั่นคุณนิลลา เป็นผู้จัดการไร่อีกคนหนึ่งเจ้า พอดีรถพ่อเลี้ยงเสือเข้าอู่ แล้วรถคันอื่นก็ต้องใช้ขนผักที่ไร่ พ่อเลี้ยงก็เลยไม่มีรถขับ แต่พรุ่งนี้รถก็น่าจะซ่อมเสร็จแล้วเจ้า" อินเอวาฟังแล้วจึงได้แต่พยักหน้า เธอพอจะมองแววตาของนิลลาออกว่าหล่อนกำลังคิดอะไร
"เฮ้อ..." หญิงสาวถอนหายใจเสียงเบา ตอนนี้เริ่มมองเห็นเรื่องราวอันน่าปวดหัวขึ้นมาเสียแล้ว
สิงห์เดินกลับมาบ้านพร้อมบิดา อินเอวาจึงฉีกยิ้มด้วยความดีใจ แม้จะไม่เคยเห็นหน้าบุรุษวัยราวหกสิบกว่าปีคนนี้แต่ก็พอจะมองออกว่าท่านคือบิดาของเสือและสิงห์นั่นเอง
"คุณพ่อครับ นี่ไงครับคุณอินลูกสาวของน้าอรที่คุณแม่ให้ผมไปรับมาจากกรุงเทพฯ คุณอินน่าจะพอทราบอยู่แล้วว่าคนนี้คือพ่อเลี้ยงขุนเจ้าของไร่" สิงห์แนะนำ
"สวัสดีค่ะลุงขุน ดีใจจังเลยนะคะที่ได้เจอกัน คุณแม่เคยเล่าเรื่องลุงขุนกับป้านีให้ฟังเยอะเลยค่ะ" อินเอวายกมือไหว้เจ้าของบ้านพร้อมทั้งฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ท่านส่งยิ้มกลับมา หญิงสาวจึงสังเกตเห็นท่าทางสุขุมใจเย็นของพ่อเลี้ยงขุน ไหนจะรอยยิ้มอ่อนโยนนั้นอีก พลันคิดในใจเหตุใดพ่อเลี้ยงเสือจึงไม่ซึมซับเอานิสัยบิดามารดามาเลยสักนิด
"ลุงก็ดีใจที่ได้เจอหนู คุณนีเขาก็ตาถึงเหมือนกันนะ เลือกว่าที่ลูกสะใภ้ได้หน้าตาสะสวยแล้วก็ยังยิ้มเก่งด้วย" ท่านพูดเสียงอารมณ์ดี แต่สิงห์ถึงกับอึ้งตาโตกับคำพูดของบิดา สะใภ้อะไรกัน ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่อง
"คุณพ่อพูดเรื่องอะไรครับ?" ชายหนุ่มไม่เคยรู้มาก่อนว่าอินเอวามาย้ายอยู่บ้านหลังนี้ในฐานะว่าที่สะใภ้ เขามองค้อนหญิงสาวที่เอาแต่ยิ้มเจื่อนอยู่ตอนนี้ เธอไม่คิดว่าพ่อเลี้ยงขุนจะพูดเรื่องนี้ออกมาเสียเอง จำได้ว่าคุณนีรนาทกำชับหนักหนาไม่ให้พูดเรื่องนี้กับใคร
"นั่นน่ะสิ พ่อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อพูดเรื่องอะไร แก่แล้วก็เลอะเลือน"
"คุณพ่อไม่เคยพูดจาเลอะเลือนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ที่คุณพ่อพูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไงกันแน่ครับ?" สิงห์คาดคั้นบิดา ท่านเมินที่จะตอบคำถามบุตรชาย แต่กลับหันมาพูดกับอินเอวาแทน
"ลุงก็ดีใจเหมือนกันที่ได้เจอหนูอิน แล้วก็ดีใจที่มีหนูมาอยู่ด้วยอีกคน น้องดาวจะได้มีเพื่อน ทำตัวตามสบายให้เหมือนอยู่บ้านตัวเองนะลูก เราเข้าบ้านไปทานมื้อเย็นด้วยกันดีกว่า" พ่อเลี้ยงขุนกล่าวต้อนรับ จากนั้นท่านจึงเดินตรงเข้าไปในบ้าน อินเอวาทำตัวแนบเนียนกำลังจะเดินตามหลังไป แต่กลับถูกพ่อเลี้ยงสิงห์รั้งข้อมือเล็กไว้เสียก่อน
"คุยกันก่อน" ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึง ส่วนคนก่อเรื่องเดินเข้าบ้านหน้าตาเฉย
"คุณลุงบอกว่าเข้าไปทานมื้อเย็นด้วยกัน เราเข้าไปกันดีกว่านะคะอย่าปล่อยให้ผู้ใหญ่รอ" เธอเฉไฉ เพราะสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ไม่รู้จะแก้ต่างอย่างไร อีกอย่างก็คงไม่มีทางพูดออกไป ว่าตนมาอยู่ที่นี่เพื่อรอต้องแต่งงานกับพ่อเลี้ยงเสือ
"เมื่อกี้คุณพ่อพูดว่าคุณมาอยู่ที่นี่ในฐานะว่าที่สะใภ้ อย่าบอกนะว่าคุณพ่อคุณแม่คิดจะจับลูกคนใดคนหนึ่งแต่งงานกับคุณ ใช่หรือเปล่า?" เขาถามเสียงดุ หน้านิ่วคิ้วขมวดจริงจัง
"คุณสิงห์...เรื่องนี้ฉันลำบากใจมากเลยนะ ฉันพูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้หรอกค่ะ"
"งั้นก็บอกมาว่าคุณจะต้องแต่งงานกับใครกันแน่ เพราะว่าบ้านนี้มีลูกชายสามคน คุณเป็นว่าที่เจ้าสาวของใคร แล้วเหตุผลอะไรที่คุณต้องมาอยู่ที่นี่เพื่อรอแต่งงานกับคนใดคนหนึ่ง?" สิงห์คาดคั้นอีก เพราะรู้ดีแก่ใจว่าหากไม่เป็นเสือก็ต้องเป็นตนที่จะต้องแต่งงานกับอินเอวา
"ไม่บอกหรอกค่ะ คุณสิงห์ไปถามเรื่องนี้กับป้านีหรือลุงขุนเองเถอะค่ะ ฉันไม่ได้อยู่ในสถานที่จะพูดอะไรได้"
"ทำไมจะพูดอะไรไม่ได้ คุณรู้ดีแก่ใจทำไมถึงจะพูดออกมาไม่ได้?"
"แล้วทำไมคุณถึงถามพ่อกับแม่ของคุณไม่ได้ล่ะคะ?" เธอถามกลับ เรื่องอะไรมาคาดคั้นเอาเรื่องกับคนที่ไม่อยากพูด
"ก็เพราะว่าพ่อกับแม่ท่านจะไม่บอกถ้าท่านไม่อยากบอก"
"ถ้าอย่างนั้นคุณก็อย่าไปอยากรู้เรื่องที่คนอื่นเขาไม่อยากบอกคุณสิคะ" อินเอวาเถียงกลับ สิงห์ตีหน้าดุเมื่อโดนหญิงสาวต่อว่าราวกับตนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น
"ให้มันได้อย่างนี้สิ" เขาจ้องเขม็งเอาเรื่อง อินเอวาไม่อยากเถียงจึงหมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในบ้าน สิงห์จึงรีบสืบเท้ายาวเดินตามไป
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเย็นนี้พูดคุยเรื่องของอินเอวาเป็นหลัก สิงห์เอาแต่นั่งฟังบิดามารดาสลับกันถามคำถามอินเอวาจนรับประทานอาหารเสร็จ หญิงสาวพูดคุยถูกคอกับผู้ใหญ่รวมถึงหนึ่งดาว ขณะที่สิงห์เอาทำหน้ายุ่ง เพราะยังไม่มีโอกาสถามมารดาเรื่องที่อินเอวาเข้ามาเป็นว่าที่สะใภ้ในบ้านหลังนี้
"คุณพ่อคุณแม่ครับ ผมอิ่มแล้วขอตัวออกไปที่ไร่ก่อนนะครับ" สิงห์เอ่ยขึ้น แล้วจึงยกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนหมดหลังรับประทานอาหารเสร็จ อินเอวาหันมามองชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ข้างกาย
"คุณสิงห์ต้องออกไปนอนที่ไร่เหมือนกันเหรอคะ งั้นฉันขอไปด้วยได้หรือเปล่า?" เขาหันขวับมามองใบหน้าสาวเมืองกรุง เรื่องอะไรที่เจ้าหล่อนอยากจะออกไปลำบากตากลมตากหมอกที่กลางไร่เวลากลางคืน
"ไปนอนในเต็นท์กลางไร่เพื่อที่จะได้ตื่นขึ้นมาเก็บผักกันตั้งแต่ตีห้า ไม่ได้ไปเที่ยวไปเล่น ไม่ได้ไปนอนรีสอร์ต" ชายหนุ่มพูดเสียงประชด เขาโกรธเล็กน้อยที่อินเอวาไม่ยอมเล่าเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้
"ฉันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปเที่ยวเล่นหรือว่าไปนอนรีสอร์ตหรอกค่ะ ขอไปด้วยหน่อยนะ อยากไปดูว่าคนงานที่นี่เขาทำงานกันยังไงบ้าง"
"หนูอินอยากไปก็ไปเถอะลูก เอาเสื้อกันหนาวไปด้วยสักตัว ที่นั่นมีเต็นท์เตรียมไว้อยู่แล้ว สิงห์ดูแลน้องด้วย" พ่อเลี้ยงขุนหันมากำชับบุตรชาย เขาจึงจำใจรับปาก เพราะลูกชายบ้านนี้ไม่เคยขัดใจพ่อแม่
ร่างสูงทะมัดทะแมงลุกขึ้นเดินตรงออกไปยังหน้าบ้าน อินเอวาจึงส่งยิ้มให้พ่อเลี้ยงขุนแทนคำขอบคุณ จากนั้นจึงรีบวิ่งตามสิงห์ออกไปขึ้นรถ