สาครยกมือขึ้นลูบคางไปมาอย่างใช้ความคิด อาการอกหักของลูกชายไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ทั้งเสียใจ ผิดหวัง เมื่อถูกเทงานแต่ง และยังถูกพี่ชายที่รักและเคารพแย่งเจ้าสาวไป
จะเป็นไปได้อย่างไร แค่เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง เตวิชญ์ก็หายดีกลับมาขยันขันแข็งทำงานเหมือนเดิม
คนอาบน้ำร้อนมาก่อนนั่งคิดวิเคราะห์ความเป็นไปได้ หรือมันจะไม่ได้รักฝังใจอะไรนักหนากับคู่หมั้นสาว...แต่ก็ไม่น่าใช่ ในเมื่อเห็นกันอยู่ว่าเตวิชญ์รัก และพร้อมจะแต่งงานกับเกวลิน
หรือว่า...มีสาวใหม่มาดามอก
“เจน…เจ้าวิชญ์มันมีผู้หญิงคนใหม่หรือเปล่า”
“คะ?” เธอแทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง เมื่อจู่ๆ สาครก็โพล่งถามเรื่องผู้หญิงของเตวิชญ์
“ที่ฉันถามเรื่องนี้เพราะเห็นว่าเธอสนิท ทำงานใกล้ชิดกับเจ้าวิชญ์มากที่สุด น่าจะรู้เรื่องของมันดีกว่าใคร”
“...มะ…ไม่ทราบหรอกค่ะ”
เจนจิราเย็นวาบไปทั่วแนวสันหลัง เหงื่อเย็นไหลซึมตรงไรผม เมื่อสบสายตานายใหญ่ที่กำลังจ้องมา อาการหนาวๆ ร้อนๆ แทบนั่งไม่ติด กระสับกระส่าย กลัวความลับที่ปกปิดไว้จะถูกเปิดโปง
ระหว่างเธอกับเขาไม่ใช่แฟน มันก็แค่อุบัติเหตุที่ไม่อยากพูดถึงอีก เธอรู้ดีว่าเตวิชญ์เปลี่ยนไปหลังจากคืนนั้น เปลี่ยนไปทุกอย่าง แต่ใครจะกล้าพูด
“เห็นผู้หญิงมาหา หรือมันไปหาใครบ้างมั้ย”
“ไม่เห็นค่ะ” เรื่องนี้เธอกล้าตอบได้เต็มปากเต็มคำ เพราะนอกจากเรื่องงานแล้ว เธอก็ไม่เคยสนใจเรื่องของเจ้านาย จะเจอหน้ากันก็เฉพาะตอนเอางานขึ้นไปเสนอเท่านั้น อย่าว่าแต่เรื่องผู้หญิงเลย แค่ถามว่าวันนี้เจ้านายไปไหนบ้าง เธอยังตอบไม่ได้เลย
“เอ?...จู่ๆ มันก็หายเมาเพราะเกิดคิดได้เองเหรอ...อืม...แล้ววิชญ์มันดูปกติดี ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย”
“ก็…ไม่ปกตินักค่ะ”
“ยังไง”
“เงียบๆ น่ากลัว แล้วก็...เอ่อ...ดุมากจนลูกน้องไม่กล้าเข้าใกล้ค่ะ”
“เจ้าวิชญ์เนี่ยนะ” สาครถามย้ำ สีหน้าแปลกใจ หากเป็นคนอื่นพูดคงไม่เชื่อ แต่นี่เจนจิราผู้ช่วยสาวคนสนิทเป็นคนเอ่ยปากเอง
“ค่ะ”
“ไม่น่าเชื่อ ว่าเจ้าวิชญ์มันจะดุ ถ้าเป็นหมอฤทธิ์ก็ว่าไปอย่าง”
…เพราะความเสียใจหรือเปล่า ที่ทำให้ลูกชายของเขาเปลี่ยนไป และดูปิดกั้นตนเอง ใจก็สงสาร แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ในเมื่อนริสกับเกวลิน สองคนนั่นรักกัน ส่วนเตวิชญ์ดันจับพลัดจับผลูเข้าไปในวงจรความรักของพวกเขา
บางที...อาจจะถึงเวลามองหาผู้หญิงที่เหมาะสมให้กับลูกชายคนเล็กอีกครั้ง คราวนี้จะไม่ยอมพลาด ต้องเลือกผู้หญิงที่ไร้พันธะจริงๆ
“ยังไงก็ฝากลูกชายฉันด้วยนะ ช่วงนี้อาจจะทำอะไรเพี้ยนๆ ไปบ้าง ก็อย่าไปถือสามันเลย คงต้องให้เวลาปรับตัวปรับใจกันสักพัก เรื่องงานถ้าเธอตัดสินใจ หรือทำแทนมันได้ ก็ช่วยหน่อยนะ” สาครเอ่ยฝากฝังลูกชายกับผู้ช่วยสาว แต่คนรับฝากถึงกับขนลุกซู่
“นายใหญ่คะ คือ...”
“ฉันเชื่อ...ว่าเธอหวังดีกับมัน ไม่มีทางสร้างความเดือดร้อนให้เจ้าวิชญ์มันแน่” คำพูดของสาคร ปิดปากเธอสนิท ไม่ให้มีโอกาสโต้แย้ง หรือคัดค้านใดๆ
“ค่ะ เรื่องงานเจนจะทำเต็มที่” ส่วนเรื่องอื่นเธอขอไม่รับปากละกัน
“ขอบใจมาก”
“ค่ะ ถ้านายใหญ่ไม่มีอะไรแล้ว เจนขอตัวนะคะ”
เจนจิราขยับตัว เตรียมจะลุก เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาเลิกงาน และธุระที่สาครต้องการคุยกับเธอ ก็ตอบไปหมดแล้ว
“เดี๋ยวสิ!...นี่ก็ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว ยังไงเย็นนี้ก็อยู่กินข้าวด้วยกันก่อน”
“นายใหญ่คะ…ไม่เป็นไรค่ะ”
“เอาน่า ไม่กลับไปกินข้าวบ้านสักวัน เจ้ามิ่งมันคงไม่ว่าหรอก ใช่มั้ย”
“แต่...เจนเกรงใจ”
“เกรงใจอะไร เมื่อกี้ฉันยังฝากงานกับเจ้าวิชญ์ให้เธอช่วยอยู่เลย”
“นั่นมันหน้าที่เจนอยู่แล้วค่ะ เอ่อ...นายใหญ่คะ เจนยังไม่หิวเลยค่ะ ขอกลับไปทำงานต่อดีกว่านะคะ”
หญิงสาวรีบยกเรื่องงานมาอ้าง รู้ว่าสาครเมตตา แต่คนอื่นล่ะจะคิดยังไง โดยเฉพาะใครบางคน ยิ่งเคยกล่าวหาว่าเธออยากจะถีบตัวเองขึ้นมาเป็นสะใภ้เล็ก ถ้ารู้ว่าเธอมานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับนายใหญ่ คงหาว่าเธอกำลังประจบประแจง
แต่ก่อนเธอไม่เคยสนใจความคิดของคนอื่น ใครจะมองยังไงก็ช่าง แต่ตอนนี้กลายเป็นคนมีแผล จะทำอะไรก็อดระแวง คิดมากไม่ได้
“ไม่หิวได้ไง นี่ก็เย็นแล้ว กินข้าวก่อน จะทำงานค่อยกลับไปทำ” สาครยิ้มให้อย่างเอ็นดู ที่ลูกจ้างสาวขยันขันแข็งและใส่ใจงานแบบนี้ นับว่าเป็นเรื่องโชคดีของลูกชายเขา
“แต่...”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ปะ...ยังไงไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นด้วยกันก่อน เดี๋ยวสักพักหนูเกลกับเจ้าฤทธิ์ก็มาแล้ว มีแต่คนกันเองทั้งนั้น”
“นายใหญ่คะ”
“ทานข้าวเป็นเพื่อนกันหลายๆ คน จะได้อร่อย”
“ก็ได้ค่ะ”
เจนจิราจำต้องรับปาก เมื่อเจอสายตากดดันจากนายใหญ่ กับเตวิชญ์เธอยังกล้าเถียงกล้าสะบัดหน้าใส่แล้วเดินหนีหากไม่อยากทำ
แต่นั่นก็คือเมื่อก่อน ตอนนี้น่ะเหรอ คงพอกันกับนายใหญ่ เธอได้แต่ยิ้มแห้งๆ พยักหน้ารับอย่างยอมจำนน จะให้ตอบอะไรได้ นอกจากคำว่า...ค่ะ
“ป๊าอยู่มั้ย”
“อยู่ค่ะ เชิญนายวิชญ์ที่ห้องรับแขกเลยค่ะ” เด็กรับใช้ตอบเจ้านายหนุ่ม ก่อนจะประคองถาดอาหาร แล้วเดินผ่านหน้าเขาไป
“เดี๋ยว!…อยู่กับใคร”
“หลายคนค่ะ นายใหญ่ หมอฤทธิ์ คุณเกล หมอเกียรติ แล้วก็พี่เจนค่ะ”
มาทำอะไรกันเยอะแยะ
“อือ ขอบใจ”
เตวิชญ์พยักหน้าให้เด็กสาว ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องรับแขก สาครนัดให้มาหา บอกมีเรื่องจะคุยด้วย แต่ไม่ยอมบอกว่าเรื่องอะไร
นัดคนมาเยอะแยะ มีอะไรหรือเปล่า ว่าแต่เจนจิราเกี่ยวอะไรด้วย คนมีความผิดรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ หรือสาครจะรู้เรื่องของเขากับลูกน้องสาวแล้ว ไม่หรอกน่า จะรู้ได้ยังไงในเมื่อ
เขาไม่พูด แต่บางคนไม่แน่...
“เจ้าวิชญ์...มาแล้วเหรอ มาๆ”
“สวัสดีป๊า สวัสดีครับ” เตวิชญ์เอ่ยทักทายทุกคน ก่อนจะเดินเข้าไปนั่ง
เจนจิราชะงัก น้ำเสียงของคนคุ้นเคยดังขึ้นด้านหลัง หญิงสาวยืดลำตัวตั้งตรง ดวงตาหลุบต่ำ ไม่กล้าเหลือบแลไปทางประตู
รู้ว่าตัวเองคงไม่แนบเนียนเท่าไหร่ จะให้วางหน้าเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ทำยาก ใบหน้าสาวดูเคร่งเครียด เธอโคตรไม่ชอบความรู้สึกอิหลักอิเหลื่อแบบนี้ที่สุด อึดอัดหายใจไม่เต็มปอด