“มาที่นี่ด้วยเหรอ” ร่างสูงใหญ่ทรุดลงนั่งตรงข้าม คิ้วเข้มเลิกสูง สายตาจับอยู่ที่ใบหน้าลูกน้องสาว ก่อนจะเอ่ยปากถามราวกับไม่เคยรู้มาก่อน
“ค่ะ”
“ฉันเรียกเจนมาเองแหละ” สาครเอ่ยขัดขึ้น เมื่อเห็นลูกชายเอาแต่จ้องหน้าลูกน้องสาวตาเขม็ง ข่มขู่กลายๆ จนอีกฝ่ายดูตัวลีบเล็กลงไป
มันดุอย่างที่เขาว่าจริงวุ้ย
“มีเรื่องไร?...ป๊าถึงต้องเรียกเจนมาพบ” เตวิชญ์หันไปถามสาคร สีหน้าสงสัย
“ฉันก็ถามเรื่องงานนิดหน่อย แล้วก็ชวนกินข้าวเย็นด้วยกัน แกมีปัญหาอะไร” สาครตอบอย่างอารมณ์ดี ดวงตาเป็นประกาย เมื่อยามสบตาลูกชาย ก็ดูสบายอกสบายใจ
เตวิชญ์ขมวดคิ้วมุ่น สีหน้ากังวลปนระแวง ก่อนจะหันไปมองผู้ช่วยสาว แต่เธอกลับเมินหลบไม่ยอมสบตา
คุยอะไรกัน ทำไมสาครดูอารมณ์ดีแปลกๆ ส่วนเจนจิราก็ดูมีพิรุธ เหมือนมีเรื่องปิดบัง
“วันนี้มาพร้อมหน้าพร้อมตา กินข้าวด้วยกันหลายๆ คน คงเจริญอาหารดี...ไปเหอะ ป่านนี้เค้าคงตั้งโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว”
ยังไม่ทันได้พูดคุยอะไร สาครก็เอ่ยชวนทุกคนไปกินข้าว เตวิชญ์ขยับตัวลุกขึ้นยืน แต่ไม่ยอมเดิน จนทุกคนเริ่มเคลื่อนตัวไปรวมกันที่ห้องอาหาร เจนจิราที่เดินเกือบรั้งท้าย ต้องยกมือขึ้นลูบท้ายทอย เมื่อขนอ่อนตรงต้นคอลุกชัน แผ่นหลังก็ร้อนวูบวาบ
ไม่ต้องหันไปมอง ก็รู้ว่ามีใครบางคนกำลังจ้องเธอไม่วางตา อยากรู้อะไรก็ถามพ่อตัวเองสิ จะมาจ้องทำไม
สาครผู้เป็นเจ้าบ้านนั่งลงตรงหัวโต๊ะ ขนาบข้างด้วยลูกชายทั้งสองฝั่ง นริสตามด้วยภรรยาสาว และก้องเกียรติเพื่อนรัก เจนจิราเลี่ยงไม่ได้ จำใจต้องนั่งลงข้างเจ้านายเพื่อไม่ให้ดูผิดปกติ
“เชิญๆ กินไปด้วยคุยไปด้วยละกันนะ” สาครเอ่ยเชื้อเชิญเสร็จ ก็หันไปทางลูกสะใภ้คนโต
“หนูเกล ตัดสินใจได้หรือยัง ตกลงจะคลอดนี่ หรือจะลงไปคลอดที่กรุงเทพฯ ล่ะ”
“พี่ฤทธิ์อยากให้คลอดนี่ค่ะ จะได้ดูแลสะดวก” เกวลินตอบยิ้มๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบท้องกลมโตวนไปมา ใบหน้าอิ่มเอิบมีความสุข
เตวิชญ์ลอบชำเลืองมองพี่สะใภ้ หรือจะเรียกให้ถูกก็คือ ‘อดีตคู่หมั้น’ ที่เคยวางแผนจะแต่งงานกัน ก่อนเธอจะตั้งท้องกับพี่ชาย และทั้งคู่ก็เข้าพิธีวิวาห์เมื่อต้นปี เหตุการณ์เพิ่งผ่านมาไม่นาน จะว่าลืมไปแล้ว ก็ไม่ใช่ เพราะมันเหมือนหนามทิ่มใจ เห็นทีไรก็ยังรู้สึก
อาการของเตวิชญ์อยู่ในสายตาของใครบางคน เห็นสีหน้าท่าทางเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ายังตัดใจไม่ได้ คนเคยรักถึงขั้นวางแผนจะแต่งงาน จะให้ทำใจลืมได้ทันที ก็คงเป็นเรื่องยาก
...มันเรื่องของเขา เจนจิราปรามตัวเอง เขาจะรักจะชอบใครไม่เกี่ยวกับเธอ ไม่ต้องยุ่ง ถึงจะสั่งตัวเองแบบนั้น แต่สายตาเธอมันกลับไม่ยอมเชื่อฟัง ยังคอยแอบมองคนข้างกายไม่วางตา
“ผมเป็นห่วงน่ะป๊า ถ้าเกลขึ้นไปคลอดที่กรุงเทพฯ ก็อาจจะต้องทิ้งงานทางนี้ไป จะฝาก...” นริสหันไปมองน้องชาย แต่เตวิชญ์กลับนิ่งเงียบ ไม่พูด ราวกับไม่เกี่ยวข้อง
“ไม่เป็นไรหรอก โรงพยาบาลแถวบ้านเรา หมอก็เก่งเหมือนกัน คลอดที่นี่ก็ดี ป๊าจะได้ไปเยี่ยมหลานด้วย” สาครเอ่ยขึ้น
ไม่อยากให้ไปยุ่งกับเตวิชญ์มากนัก แค่นี้ก็ถือว่าลูกชายคนเล็กเข้มแข็งมากแล้ว ที่ยอมกลับมาทำงาน ถึงไม่ดีเท่าเตวิชญ์คนเก่า แต่อย่างน้อยก็ไม่กินเหล้าจนเสียงานเสียการอย่างเมื่อสี่ห้าเดือนก่อน
“ครับ” ลูกชายคนโตรับคำ
“ให้ฉันช่วยปะล่ะ” ก้องเกียรติ นายสัตวแพทย์หนุ่มเสนอขึ้น เมื่อเห็นอาการของเพื่อนรัก ดูก็รู้ว่าเป็นห่วงเมียกับลูกมากแค่ไหน
“ไม่เป็นไร เกรงใจแก แค่งานที่โรงพยาบาลก็ยุ่งพอแล้ว”
“เกรงใจอะไรไม่เข้าเรื่อง แต่ก่อนฉันก็เคยมาช่วยแกบ่อยๆ เอาอย่างงี้มั้ยล่ะ อาทิตย์หนึ่งฉันแวะมาดูให้สักสองสามวันก็ได้”
“ไม่ต้องหรอก” นริสยังปฏิเสธ
“กูทำเพื่อหลาน ไม่ได้ทำเพื่อมึง”
“แต่...”
“หึ! จะให้ช่วย ไม่ช่วย”
“คือ...” สีหน้าลังเลของว่าที่คุณพ่อ ทำให้เพื่อนรักหมั่นไส้ แต่ก็เห็นใจคุณแม่มือใหม่ คงอยากกลับไปคลอดที่กรุงเทพฯ
“เอาดีๆ ตกลงจะให้ช่วยมั้ย”
“ก็ได้”
“ก็แค่นั้น”
“ขอบใจว่ะเพื่อน”
“เออ!...แต่ยังไงก็ต้องขอผู้ช่วยฉันสักคนนะ เผื่อจะได้ช่วยเก็บงานให้
“ก็คงเป็นพี่เจตน์แหละ แต่จะว่าไปรายนั้นก็งานยุ่งรัดตัวเหมือนกัน...อืม...” นริสกำลังคิดว่าจะหาใครมาช่วยเพื่อน เอาที่พอรู้งาน จะได้ไม่ต้องมานั่งสอนใหม่
“คุณเจนสนใจจะมาช่วยงานไอ้ฤทธิ์มั้ยครับ”
ก้องเกียรติหันมาทางหญิงสาวที่กำลังนั่งกินข้าวเงียบๆ ฟังเจ้านายสนทนากัน
เจนจิราชะงัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้น และหันไปมองทุกคนรอบโต๊ะอาหาร สีหน้างงๆ กำลังนั่งฟังเพลินๆ ไม่คิดว่าจู่ๆ เรื่องจะวกมาที่เธอ ถูกทาบทามตัวให้ไปร่วมงาน
“เอ่อ...เจน” สายตาเหลือบแลไปทางเจ้านาย เห็นกำลังตักข้าวกิน สีหน้าเรียบเฉย ท่าทางไม่หยี่ระ ราวกับไม่เกี่ยวข้อง
หญิงสาวได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ในเมื่อก้องเกียรติมีน้ำใจมาช่วยเพื่อน หากเธอปฏิเสธก็จะกลายเป็นคนแล้งน้ำใจ...หรือเปล่า
อีกอย่างเกวลินก็น่ารักและดีกับเธอ แต่พอนึกถึงงานในมือที่ล้นจนตรึง ก็แทบจะถอนใจยาวด้วยความลำบากใจ
“ไม่ต้องกังวลนะครับ งานไม่ยากอะไร เพียงแต่ต้องคอยช่วยพี่ดูเรื่องเอกสาร” เมื่อเห็นสีหน้าลังเลของหญิงสาว ก้องเกียรติก็ชิงอธิบายก่อนเธอจะตอบปฏิเสธ
สายตาจ้องมองใบหน้าขาวใส ดวงตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อย สวยหวาน ตรงสเป๊คนายสัตวแพทย์หนุ่มยิ่งนัก เคยได้ยินนริสพูดถึงบ่อย ชมผ่านหูว่าเธอทำงานเก่ง และอยู่ที่นี่มานานจนเหมือนเป็นลูกเป็นหลาน ได้รับความไว้วางใจจากเจ้านายทุกคนในแสงสุขฟาร์ม
วันนี้เพิ่งมีโอกาสได้เจอหน้ากันตัวเป็นๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่าอายุยังน้อย แถมยังสวยจนตะลึง นี่มันช้างเผือกชัดๆ
หนุ่มโสดอย่างเขาเห็นเพื่อนมีครอบครัว รักใคร่กันดี มีความสุขจนน่าอิจฉา ก็อยากจะลองเปิดใจมองหาคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตดูบ้าง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอคนสวย ระดับดาราก็มี แต่ก็แค่คู่ควง คู่เที่ยวสนุกๆ ไม่คิดจริงจัง เพราะบางคนสวย แต่พอคุยด้วยแล้วไม่ใช่ ไม่ถูกใจ แต่คราวนี้...
ใบหน้าขาวตี๋ส่งยิ้มทั้งตาทั้งปากให้หญิงสาวตรงหน้า บางทีเนื้อคู่ก็อาจจะอยู่ใต้จมูกเรานี่เอง