หลานสาวได้แต่ทอดสายตามองด้วยความอ่อนใจ ถึงรู้ว่าเหล้ามันไม่ดีกับสุขภาพคนแก่ แต่เธอก็ไม่เคยเอ่ยปากห้ามสักครั้ง เพราะรู้ว่ามันคือความสุขของลุง อย่างมากก็แค่ขอร้องว่าถึงเมายังไงก็ต้องกลับมานอนบ้าน
บ้านพักคนงานภายในแสงสุขฟาร์มที่สองลุงหลานอาศัยอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เธอเกิด ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ส่วนแม่เธอเสียชีวิตตั้งแต่ตอนที่คลอดลูกสาวได้เพียงวันเดียว หลังจากนั้นก็ได้ลุงมิ่งเป็นคนเลี้ยงดู ส่วนพ่อผู้ให้กำเนิดไม่รู้ว่าเป็นใคร
ตอนเด็กเธอเคยถามลุงมิ่งด้วยความอยากรู้แต่คำตอบที่ได้ยินทุกครั้งคือ แม่เธออุ้มท้องมาอยู่กับลุงที่นี่ ไม่เคยพูดถึงสามีเลยสักครั้ง พอนานวันเข้า เธอโตขึ้นก็ไม่เคยคิดสนใจเรื่องนี้ เพราะต่อให้มีพ่อหรือไม่มี เธออยู่กับลุงมิ่งก็มีความสุขดีแล้ว
ลุงมิ่ง พี่ชายของแม่ทำงานในฟาร์มโคนมเป็นคนงานคอยดูแลแม่โค ก่อนจะได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นคนขับรถให้นายสาคร ไปไหนมาไหนกับเจ้านายบ่อยๆ บางครั้งก็ปล่อยหลานสาวไว้กับเพื่อนบ้าน บางครั้งเธอก็ไปวิ่งเล่นแถวบ้านใหญ่ รอเวลาลุงมิ่งเลิกงาน
เธอจึงคุ้นชินกับเจ้านายทุกคน โดยเฉพาะเตวิชญ์ที่ ใจดีมักจะมีของกินอร่อยๆ มาให้ และยังชวนเธอทำนั่นทำนี่ตามประสาเด็กผู้ชาย เขาไปไหนเธอไปด้วย นานวันเข้าก็เริ่มกลายเป็นก๊วนเดียวกัน กระทั่งเขาเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศพร้อมนริส จึงค่อยห่างกันไป
เจนจิรารักและผูกพันกับแสงสุขฟาร์ม เห็นที่นี่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน ไม่เคยคิดจะออกไปไหน พอโตเป็นสาวเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยเธอก็เลือกเรียนใกล้บ้าน และสาขาเดียวที่อยู่ในใจก็คือเกษตร เพื่อจะได้กลับมาทำงานที่แสงสุขฟาร์ม
แล้วก็สมใจ เธอได้เข้าทำงานที่นี่ ในตำแหน่งพนักงานตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่ด้วยความที่เธอมองว่าแสงสุขคือบ้าน จึงทุ่มเททำงานจนเตวิชญ์เห็นความสามารถ ดึงตัวเธอมาช่วยงานในตำแหน่งผู้ช่วยรองประธาน และเธอก็ทำทุกอย่างสมกับตำแหน่งผู้ช่วยจริงๆ
ส่วนลุงมิ่งก็ไม่ค่อยได้ขับรถให้สาครแล้ว คอยช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ในฟาร์มโคนม ส่งเอกสารบ้าง รับส่งคนงานเข้าไปในเมืองทุกสัปดาห์บ้าง ตามแต่เจ้านายจะสั่ง
“ลุง...ลุง”
หลานสาวส่งเสียงเรียกหลายครั้ง แต่คนเมาหลับไปเรียบร้อย และไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาอีกจนกว่าจะเช้า ก็คงต้องปล่อยให้นอนตรงนี้ไป ขืนเซ้าซี้มากๆ กลัวจะเจอหมัดแม่ไม้มวยไทยตอนละเมอ หนักพอๆ กับขึ้นชกบนเวที เคยเจอมาแล้ว เข็ดจนไม่กล้าเสี่ยงอีก
แล้วเจนจิราก็นึกขึ้นได้ว่าเธอจะต้องรีบไปดูเจ้านาย ตายล่ะ!!...ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นมา ป่านนี้มิสิ้นชื่อไปแล้วเหรอ ร่างเล็กสาวเท้าตรงไปยังรถเครื่องที่จอดอยู่หน้าบ้านพักด้วยความรีบเร่ง
มือที่กำลังเสียบกุญแจรถเครื่องชะงัก…หรือเธอควรจะโทรบอกนิคไปดู มากกว่าจะไปเอง ความทรงจำครั้งงานเลี้ยงฉลองงานแต่งของนริสกับเกวลิน ผุดขึ้นมาในหัว เกิดอาการลังเล ไม่แน่ใจ กลัวเหตุการณ์ระทึกขวัญที่เคยสั่นสะเทือนหัวใจเธอมาจนถึงทุกวันนี้ ซ้ำรอย
ห่วงหัวใจตัวเองเถอะ ก่อนจะเป็นห่วงคนอื่น
มือล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา จะโทรหาผู้ช่วยมือขวาของเตวิชญ์ ไหว้วานให้อีกฝ่ายไปดูเจ้านายที่บ้าน…แล้วถ้านิคถามว่าทำไมต้องไปดู
…นั่นสิ เธอจะตอบว่าไง ช่วงนี้เจ้านายยิ่งไม่ปลื้มอยู่ด้วย ขืนทำอะไรบุ่มบ่ามที่เขาไม่ชอบใจอีก คงต้องเตรียมเปลี่ยนงาน ไปนั่งปลูกหญ้าที่แปลง แทนงานผู้ช่วยเหมือนทุกวันนี้เป็นแน่แท้
ไม่เป็นไร งั้นเธอแวะไปดูเองก็ได้ แป๊บเดียวคงไม่ถึงกับเกิดเรื่องเสียหายอะไรหรอก...มั้ง
รับรอง!!...สัญญากับตัวเองเลยว่า ถ้าเห็นเจ้านายอยู่ดีมีสุข ไม่มีส่วนไหนบุบสลาย ก็แสดงว่าคำพูดของเธอไม่ได้ทำร้ายใครอย่างที่คิดกังวลไปเอง เธอก็แค่กลับบ้านนอน
รถเครื่องขับเข้าไปจอดหน้าบ้านชั้นเดียวหลังใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ หากเป็นตอนเช้าก็จะมองเห็นหมอกขาวโพลนคลุมไปทั้งหลัง แต่ตอนนี้ยามรัตติกาลมืดลง มองเห็นเพียงตัวบ้านสีนวลท่ามกลางแสงจันทร์ที่กำลังสาดส่องลงมา เกิดเป็นเงาทะมึนดูเงียบเหงาวังเวง
สายตาเพ่งมองก็เห็นแสงไฟเพียงริบหรี่เล็ดลอดออกมาจากในตัวบ้าน แสดงว่าเขาอาจจะกลับมาแล้ว เจนจิรารีบสาวเท้าเดินเข้าไป ในเมื่อมาถึงนี่แล้วก็ต้องให้เห็นกับตาว่าเขาปลอดภัยดี เสียงที่ได้ยินทางโทรศัพท์ ขอให้เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดของเธอแค่นั้นเถอะ
‘ก๊อก ก๊อก’
มือเคาะประตูเรียกหลายครั้ง แต่ข้างในยังเงียบกริบ ไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ เจนจิราจึงลองหมุนลูกบิดประตู
…ไม่ได้ล็อค!!
มือเรียวผลักเปิดเข้าไป สายตากวาดมองรอบห้อง แสงไฟสลัวจากหลอดไฟดวงเล็กตามทางเดินส่องพอให้เห็นทุกอย่างภายในห้องโถง สะอาด เรียบร้อย ไม่มีใคร ไม่มีเศษซากอารยธรรม บ่งบอกว่าเมื่อหัวค่ำที่ผ่านมาที่นี่ไม่มีการตั้งวงดื่มสังสรรค์ เป็นอย่างที่เดย์บอกเธอจริงๆ แล้วเสียงของตก หรืออะไรสักอย่างที่เธอได้ยินทางโทรศัพท์ล่ะ มันคืออะไร
...แล้วตอนนี้นายวิชญ์อยู่ไหน
เท้าเล็กก้าวตรงไปยังห้องรับแขก ที่เธอคุ้นชินเป็นอย่างดี ต่อให้หลับตาเดินก็ยังได้ เพราะที่นี่เธอสามารถเข้านอกออกในได้ราวกับเป็นบ้านของตัวเอง
เจนจิรามีหน้าที่ส่งคนมาดูแลทำความสะอาดบ้านเนินเขา รวมทั้งดูแลทุกอย่างในบ้านให้เรียบร้อยสวยงาม เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น ของทุกอย่างในบ้าน ล้วนฝีมือเธอเป็นคนเลือกสรร ส่วนเตวิชญ์ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย ไม่เคยติ หรือท้วงสักครั้งที่เธอจัดการ แสดงว่ารสนิยมใกล้เคียงกัน
“นายวิชญ์...นายวิชญ์อยู่หรือเปล่า”
เงียบ! ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
“นายวิชญ์...”
ขณะที่ปากส่งเสียงเรียก เท้าก็เดินดูทุกซอกทุกมุม ในหัวคิดเตรียมเรื่องที่จะคุย เพื่อให้ดูแนบเนียน หากเจอตัวเจ้านาย และพบว่าอีกฝ่ายปกติดีทุกอย่าง จากนั้นเธอก็จะกลับทันที แต่คำพูดที่เตรียมไว้ กลับไม่ได้ใช้ เมื่อทั้งห้องรับแขก ห้องครัว เงียบกริบ มีเพียงเธอยืนหมุนเคว้งอยู่คนเดียว
หญิงสาวเบนทิศทางไปยังห้องนอน จุดหมายสุดท้าย หากไม่เจอก็แสดงว่าเขาไม่อยู่...แล้วเขาไปไหน ไปกับใคร ทำอะไร ทำไมเปิดบ้านทิ้งไว้ ถึงที่นี่จะดูปลอดภัย แต่ก็ไม่ควรจะประมาทเปิดล่อโจรขโมยแบบนี้