ณ ด้านนอก ประตูเมืองฟ้ากระจ่าง
“แม่นางท่านนั้น! โปรดหยุดก่อน”
หลังจากเดินออกมาจากประตูเมืองฟ้ากระจ่างได้ไม่นาน ก็มีเสียงตะโกนเสียงหนึ่งดังขึ้น โดยเสียงนั้นพุ่งเป้ามายังลั่วชิงอีอย่างเจาะจง พร้อมกับกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาล้อมร่างของลั่วชิงอีเอาไว้
และหนึ่งในกลุ่มคนที่วิ่งเข้ามาล้อมลั่วชิงอีเอาไว้ ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น ลั่วหลิงเฟย ส่วนคนที่ตะโกนเรียกลั่วชิงอีเป็นชายวัยกลางคนอายุอานามประมาณ 40 ปี มีใบหน้าดุดันคมคายราวกับพยัคฆ์ กลิ่นอายที่เขาแผ่ออกมานั้นให้ความรู้สึกเหมือนพยัคฆ์ร้ายก็มิปาน อีกทั้งระดับลมปราณที่เขาแผ่ออกมานั้นยังสูงถึงแดนนภาไร้ขอบเขตขั้นที่ 7
จากความทรงจําเดิมของแม่หนูลั่วชิงอี ทำให้รู้ว่าชายตรงหน้านี้คือ ลั่วหยงชุน รองประมุขตระกูลลั่ว อีกทั้งยังเป็นพ่อของลั่วหลิงเฟย
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ปะ…เป็นนางที่ทำร้ายข้า เป็นนาง” เสียงจงเกลียดจงชังของลั่วหลิงเฟยดังขึ้น นางชี้ไปที่ลั่วชิงอีด้วยอาการมือไม้สั่นเทา แม้ลั่วชิงอีจะสวมผ้าคลุมใบหน้าอยู่ แต่ลั่วหลิงเฟยก็ยังสามารถจดจำลักษณะการแต่งกายของลั่วชิงอีได้อยู่ดี
“เป็นแค่นางแพศยาชั้นต่ำที่ชอบขายเรือนร่างในหอนางโลม บังอาจนัก! ที่กล้ามาทำร้ายลูกสาวของข้า หากวันนี้เจ้าไม่ตายอย่ามาเรียกข้าว่า พยัคฆ์ภูผาแห่งตระกูลลั่ว”
ลั่วหยงชุนเมื่อได้ยินคำพูดของลั่วหลิงเฟย เขาก็ตะคอกออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว พลางระเบิดพลังปราณแดนนภาไร้ขอบเขตขั้นที่ 6ออกมา
“พยัคฆ์ภูผา…”
สิ้นเสียงคำรามดังก้อง ด้านหลังของลั่วหยงชุนก็ปรากฏร่างเงาของพยัคฆ์สีน้ำตาลสลับลวดลายสีดำ ขนาดของพยัคฆ์ภูผาตัวนี้มีขนาดใหญ่ราว 5 เมตร กรงเล็บของมันแหลมคมดั่งมีดชั้นเยี่ยม ร่างกายบึกบึนเต็มไปด้วยมัดกล้าม เพียงแค่มันคำรามก็แทบจะทำให้พื้นที่โดยรอบพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
นี่…คือพยัคฆ์ภูผาของตระกูลลั่ว เป็นพลังทางสายเลือดที่มีในเฉพาะในตระกูลลั่วเท่านั้น ซึ่งผู้ที่เรียกพยัคฆ์ภูผาออกมาได้มีเพียงแค่สองคนเท่านั้นในตระกูลลั่ว โดยคนแรกได้แก่ ประมุขตระกูลลั่วคนปัจจุบัน ลั่วป๋อ และรองประมุขตระกูลลั่วคนปัจจุบัน ลั่วหยงชุน
ในดินแดนฝูหรงแห่งนี้นั้น คนที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำล้วนสามารถปลุกพลังทางสายเลือดได้ โดยแต่ละสายเลือดมีจุดเด่นและความสามารถที่แตกต่างกัน อย่างเช่น สี่ตระกูลโบราณของทวีปเทียนฉี่ ที่มีความสามารถทางสายเลือดที่โดดเด่นและแตกต่างกัน
ตระกูลกู่เสิ่นโบราณ — คือตระกูลที่มีสายเลือดของเทพสมุทร และความสามารถของพวกเขาคือ การควบคุมธาตุน้ำ
ตระกูลหยางโบราณ — คือตระกูลที่มีพลังทางสายเลือดของจักรพรรดิแมงป่องเหมันต์
ตระกูลเทียนกู่โบราณ — คือตระกูลที่มีพลังทางสายเลือดของมังกรสายฟ้า
ตระกูลจู่ชิง — คือตระกูลที่มีพลังทางสายเลือดของพยัคฆ์อนธการ
ดังนั้นการที่ลั่วหยงชุนสามารถเรียกพยัคฆ์ภูผา ซึ่งเป็นพลังทางสายเลือดของตระกูลลั่วออกมาได้ แสดงให้เห็นว่าพรสวรรค์ของเขานั้นเลิศล้ำเพียงใด
โฮกก !
พยัคฆ์ภูผาร้องคำรามดังก้อง ร่างขนาดมหึมาของมันวิ่งตรงเข้าหาลั่วชิงอีอย่างดุดันและโหดเหี้ยมคล้ายกับว่ามันกำลังจะล่าเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น
โฮกก !
ร่างมหึมาของพยัคฆ์ภูผายกกรงเล็บอันแหลมคมของมันขึ้น กรงเล็บของมันพุ่งประชิดเข้าหาร่างงามอรชรอ้อนแอ้นอย่างรุนแรงราวกับจะฉีกกระชากลั่วชิงอีให้เป็นแหลกเป็นหมื่นๆชิ้น
“นี่มันอะไรกัน?” ลั่วชิงอีแสดงสีหน้างงงวยเมื่อเห็นลั่วหยงชุนสามารถเรียกพยัคฆ์ภูผาออกมาได้
เขาเรียกอสูรออกมาได้ ?
ทว่าก็มีเวลาให้นางได้ครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ ในจังหวะที่กรงเล็บอันแหลมคมกำลังจะฉีกร่างของนางออกเป็นชิ้นๆ ลั่วชิงอีก็ยกกระบี่นภาเยือกแข็งขึ้นมาปัดป้องได้อย่างทันท่วงที
เคว้ง !
กระบี่นภาเยือกแข็งและกรงเล็บของพยัคฆ์ภูผาเสียดสีกันกลางอากาศ จนเกิดเสียงดังสนั่นราวกับคลื่นกระทบ
เคว้ง !
พยัคฆ์ภูผาบดกรงเล็บของมันลงไปที่กระบี่นภาเยือกแข็งอย่างหนักหน่วงจนสร้างแรงกระเพื่อมในอากาศอย่างรุนแรง
“บัดซบ! พยัคฆ์ตัวนี้ความแข็งแกร่งของมันเกือบเท่าจอมยุทธ์ระดับราชันย์เลย…” น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของลั่วชิงอีดังขึ้น กระบี่นภาเยือกแข็งในมือของนางสั่นไหวอย่างรุนแรง
หวิววว !
ไอเย็นอันหนาวเหน็บแผ่ออกมาจากกระบี่นภาเยือกแข็งอย่างรุนแรง จนอุณหภูมิโดยรอบลดลงอย่างฉับพลัน เกล็ดน้ำแข็งเริ่มปกคลุมต้นหญ้าอย่างช้าๆ
จุดศูนย์กลางระหว่างการปะทะกันของหนึ่งคน หนึ่งอสูร ราวกับทุ่งน้ำแข็งอันงดงามตระการตา
“ข้าไม่ยอมมาตายอยู่ที่นี่หรอกนะ!” ลั่วชิงอีร้องดังลั่น ใบหน้างามฉาบฉายความเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งพันปี ฉับพลันนั้นดวงตาสีฟ้าทะเลก็เปล่งแสงวาววับ ไอเย็นยะเยือกพวยพุ่งออกมาจากร่างของนางอย่างรุนแรง
ปั้งง !
ลั่วชิงอีเร่งเร้าคลื่นลมปราณถึงขีดสุด จนสามารถต้านกรงเล็บของพยัคฆ์ภูผาเอาไว้ได้ แต่ทว่านางก็ปลิวกระเด็นไปหลายสิบก้าวจากแรงกระแทกที่กระเพื่อมอยู่กลางอากาศ
ทางด้านพยัคฆ์ภูผาก็กระเด็นออกไปไกลหลายก้าว พร้อมกับรอยบาดแผลลึกบาดแผลหนึ่งที่เกิดขึ้นบนร่างของมัน
ใช่! มันได้รับบาดเจ็บจากกระบี่เมื่อครู่ของลั่วชิงอี ~
“เก่งดีนิ…” ลั่วหยงชุนกล่าวขึ้นด้วยความชื่นชม เมื่อเห็นลั่วชิงอีสามารถรับมือกับพยัคฆ์ภูผาของตระกูลลั่วได้..
ทว่าพอกล่าวจบ ลั่วหยงชุนก็พุ่งเข้ามาหาร่างงามอรชรอย่างรวดเร็วปานสายลม หมัดของเขานั้นเคลือบไปด้วยลมปราณสีน้ำตาลเข็ม
“ลำแสงพยัคฆ์ภูผา…”
ลั่วหยงชุนซัดหมัดออกไปอย่างรุนแรง ลมปราณสีน้ำตาลเข็มนั้นก่อตัวเป็นลำแสงขนาดใหญ่พุ่งตรงดิ่งไปยังร่างของลั่วชิงอีอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
ลั่วชิงอีเมื่อเห็นลำแสงสีน้ำตาลพุ่งเข้ามา นางยกกระบี่นภาเยือกแข็งขึ้นมาต้านรับลำแสงสีน้ำตาลนั้นได้ทันอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด
ปึ้ง !
“อึ๊กกก” ลั่วชิงอีกระอักเลือดสีแดงสดออกมา หลังจากต้านรับลำแสงสีน้ำตาลขนาดมหึมาที่อัดแน่นไปด้วยลมปราณของจอมยุทธ์ระดับแดนนภาไร้ขอบเขตขั้นที่ 6
แม้ลั่วชิงอีจะแข็งแกร่งกว่าระดับเดียวกันมาก แต่ไฉนเลยจะสามารถต่อกรกับผู้อยู่ระดับปราณแดนนภาไร้ขอบเขตขั้นที่ 6 โดยอาศัยเพียงปราณแดนพิภพเร้นลับขั้นที่ 7
“ถึงกับรับการโจมตีของข้าได้ นับว่ายอดเยี่ยม แต่ยังไงก็ตาม…วันนี้เจ้าจะต้องตาย” ลั่วหยงชุนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม แต่ทว่าในแววตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความดุร้ายประหนึ่งพยัคฆ์
กล่าวจบ ลั่วหยงชุนก็ระเบิดพลังปราณแดนนภาไร้ขอบเขตขั้นที่ 6 ออกมา รัศมีพลังสีน้ำตาลกระเพื่อมในอากาศอย่างรุนแรง และในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขาก็ดีดตัวเข้าหาลัั่วชิงอีย่างเร็วประหนึ่งดาวตกที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้า
ลั่วชิงอีที่เห็นสถานการณ์ไม่ดี นางจึงหยิบมีดบินจตุรธาตุออกมา ก่อนจะซัดมีดบินทั้งสี่เล่มพุ่งเข้าใส่ร่างกำยำของลั่วหยงชุนที่กำลังพุ่งเข้ามา
มีดบินทั้งสี่เล่มพุ่งเข้าหาลั่วหยงชุนอย่างรวดเร็ว ลำแสงสี่สายที่เปี่ยมไปด้วยพลังธาตุปะทะเข้ากับร่างอันกำยำของลั่วหยงชุนอย่างจัง
ลั่วชิงอีที่รู้ตัวดีว่า ไม่สามารถเอาชนะชายวัยกลางคนตรงหน้าได้ นางจึงไม่ได้คิดที่จะสู้เป็นตาย แค่รอหาจังหวะดีที่จะหลบหนีออกไปจากสถานการณ์อันยากลำบากนี้
ลั่วหยงชุนขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นลั่วชิงอีสามารถควบคุมมีดบินได้ถึง 4 เล่ม ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะมีพรสวรรค์ด้านพลังจิตเช่นนี้
เคว้ง !
ปึ้ง !
ยิ่งต่อสู้ยืดเยื้อ ยิ่งปรากฏร่องรอยบาดแผลบนร่างกายของลั่วชิงอี จนชุดคลุมดำที่นางสวมใส่ขาดแหวะหวิ่น เผยให้เห็นต้นขาที่ขาวผุดผ่อง และทรวดทรงอันเย้ายวน
“ไป!!”
ลั่วหยงชุนตะโกนดังก้อง พยัคฆ์ภูผาก็กระโจนเข้าหาร่างอันสะบักสะบอมอย่างรวดเร็ว
ทว่าในจังหวะเดียวกันนั้นเอง เสียงกรีดร้องสะท้านฟ้าเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นบนน่านฟ้า
กรีซซซซ
ร่างยักษ์ร่างหนึ่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็วประหนึ่งอัสนี จนทําให้เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องพร้อมกับสายลมกรรโชกอย่างรุนแรง ฝุ่นตลบอบอวลคลุ้งไปทั่วชั้นบรรยากาศ พอฝุ่นควันจางหายก็เผยให้เห็นร่างของอินทรียักษ์ตัวสีขาวขนาดใหญ่กว่า 4 เมตร กำลังยืนประจันหน้ากับพยัคฆ์ภูผา
“เสี่ยวหลิง…! ”
.
.
ณ สถานที่อันลึกลับแห่งหนึ่งในทวีปมืด ~
ใจกลางป่าแห่งหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าสีดำทมิฬ บรรยากาศโดยรอบพลันเงียบสงัดราวกับเป็นป่าแห่งความตายที่มีเพียงความมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง
แม้ที่แห่งนี้จะดูไม่ใช่สถานที่สำหรับให้พักอาศัย ทว่าก็ยังมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ยังใจกลางของผืนป่าสีดำ
ชายวัยกลางคนผู้นั้นมีใบหน้าที่ดุดัน หนวดเครายาวเฟื้อย ดูราวกับยักษ์ษาบรรพกาล ทว่าดวงเนตรสีฟ้าทะเลของเขานั้นกลับดูอ่อนโยนราวกับคลื่นทะเล
“นี้ก็ผ่านมาสิบเจ็ดปีแล้ว ข้าคิดถึงเจ้าและลูกสาวของเรายิ่งนัก...”
น้ำเสียงโศกศัลย์คะนึงหาของชายวัยกลางคนดังขึ้น ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าอสูรมากมายเหลือคณานับที่รายล้อมรอบตัวเขา
“พรหมยุทธ์ทวนค้ำฟ้าเอ๋ย เจ้าจะหลบหนีจากกองทัพของข้าไปได้อย่างไร? นี้คือกองทัพชั้นยอดของทวีปเทพอสูร เจ้ายังคิดจะฝ่าออกไปกระนั้นเรอะ!?” เสียงกึกก้องสะท้านฟ้าเสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนจะเผยให้เห็นร่างอันมหึมาของกิเลนตัวสีดำที่คละคลุ้งไปด้วยรัศมีแห่งความชั่วร้าย
“กองทัพเทพอสูรแล้วอย่างไร? จอมอสูรแล้วอย่างไร? วันนี้หากข้าต้องการจะไปใครจะรั้งข้าไว้ได้” ชายวัยกลางคนผู้นั้นกล่าวเสียงดังก้อง ทวนสีทองโบราณเปล่งประกายเจิดจรัสราวกับแสงของเทพเจ้า
“เข้ามา!!”
กล่าวจบ หนึ่งบุรุษผู้ถือทวนยาวสีทองประหนึ่งเทพแห่งสงครามก็พุ่งประจันกับกองทัพอสูรนับหมื่นตัวด้วยตัวเพียงคนเดียว