ดรุณีน้อยจากตระกูลลั่ว

2358 Words
ณ ดินแดนฝูหรง ทวีปเทียนฉี่ วิ๊งงง...ออร่าแสงสีดำอาบลงบนร่างของเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังนอนแน่นิ่งไร้ซึ่งสติอยู่กลางป่าแห่งหนึ่งใกล้เมืองฟ้ากระจ่าง ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองของแคว้นจินหลง “โอ้ยย...จ้าวนรก ท่านทำอะไรกับข้ากันเนี้ย?” เซียนโอสถเยว่หลันขบคิดกับตนเองพลางยันกายลุกขึ้นมานั่ง พร้อมความมึนงงหลายส่วนที่โลดเต้นอยู่ภายในหัว หลังจากที่ลุกขึ้นนั่งได้แล้ว หญิงสาวก็ยืนขึ้นโดยท่าทางโซซัดโซเซ พลางเดินไปที่ธารน้ำที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อหาน้ำมาล้างหน้าล้างตาให้หายจากอาการมึนงง แต่พอเดินมาถึงธารน้ำ จังหวะที่กำลังจะก้มหน้าเตรียมที่จะล้างหน้าอยู่นั้น นางก็มองเห็นเงาสะท้อนของตนเองที่อยู่บนเงาสะท้อนของธารน้ำ เป็นใบหน้าของเด็กสาวแปลกหน้าที่ตัวนางเองไม่เคยพานพบมาก่อน “นี้มันเรื่องบ้าบออันอะไรกัน?” ดวงตาของเซียนโอสถเยว่หลันเบิกกว้าง น้ำเสียงตระหนกตกใจดังขึ้นขณะจ้องไปยังธารน้ำที่สะท้อนรูปลักษณ์ให้เห็น เซียนโอสถเยว่หลันชะงักไปครู่ใหญ่ ทว่าหลังจากสงบจิตสงบใจได้แล้ว นางก็สรุปได้ว่าตัวของนางถูกจ้าวนรกส่งมาเกิดใหม่ในร่างของเด็กสาวรูปโฉมงดงามคนหนึ่ง หากสรุปจากความทรงจําของร่างนี้ เซียนโอสถเยว่หลันจึงสรุปได้ว่า ร่างของเด็กสาวผู้นี้มีนามว่า ลั่วชิงอี เป็นลูกสาวบุญธรรมของลั่วชิงหยาง ลูกชายคนรองของผู้นำตระกูลลั่วคนปัจจุบัน ตระกูลลั่วเป็น 1 ใน 3 ตระกูลใหญ่ของเมืองฟ้ากระจ่าง ซึ่งตระกูลลั่วนั้นตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองฟ้ากระจ่าง ลั่วชิงอีแต่เดิมนั้นถูกปฏิบัติราวกับคุณหนูคนหนึ่งของตระกูล ทว่าหลังจากพ่อบุญธรรมลั่วชิงหยางได้ตายจากไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ...สถานะในตระกูลของเด็กสาวก็ตกต่ำลงอย่างถึงขีดสุด นางโดนกลั่นแกล้งสารพัดจากผู้เยาว์ในตระกูลทั้งการข่มเหง รังแก หรือทำร้ายร่างกาย อีกทั้งระดับการบ่มเพาะลมปราณของลั่วชิงอีเองก็ไม่ต่างจากขยะ เพราะว่าตั้งแต่นางอายุ 8 ขวบ จวบจนถึงปัจจุบันนั้น เด็กสาวไม่อาจเลื่อนระดับลมปราณได้เลยแม้แต่ขั้นเดียว นี่...จึงเป็นเหตุให้ผู้ใหญ่หลายคนในตระกูลลั่วตีตราว่านางเป็นขยะไร้ค่า เป็นรอยด่างพร้อยที่ทำให้ตระกูลลั่วเสื่อมเสีย ส่วนสาเหตุที่เด็กสาวมานอนตายอยู่กลางป่านั้น มีสาเหตุมาจากรูปโฉมของลั่วชิงอีที่งดงามจนเกินไป จนทำให้เด็กสาวในตระกูลลั่วหลายคนรู้สึกอิจฉาริษยา ลั่วชิงอีนั้นถูกชักชวนให้มาเที่ยวเล่นในป่ากับกลุ่มเด็กสาวในตระกูลลั่ว ด้วยความที่นางยังเด็กและอ่อนต่อโลก อีกทั้งยังต้องการมีเพื่อน ดังนั้นนางจึงไม่ปฏิเสธที่จะตามมาด้วย ผลสุดท้ายก็คือนางโดนวางยาพิษในอาหาร ซึ่งอาหารเหล่านั้นก็ถูกจัดเตรียมโดยกลุ่มเด็กสาวในตระกูลที่ชักชวนมาเที่ยวเล่นภายในป่า ลั่วชิงอีหลังจากกินอาหารที่ถูกผสมยาพิษเข้าไปนั้น นางก็ล้มตัวลงนอนกับพื้นร้องโอดครวญขอความช่วยเหลือด้วยอาการเจ็บปวดคล้ายโดนไฟเผาไปทั่วทั้งร่าง ทว่าเด็กสาวพวกนั้นหาได้สนใจไม่...พวกนางจากไปพร้อมทิ้งลั่วชิงอีให้นอนตายอยู่กลางป่าเพียงลำพัง “อดีตของเจ้า...ช่างน่าแค้นใจยิ่งนัก เด็กน้อยเอ๋ย” เซียนโอสถเยว่หลันเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวอย่างมาก เมื่อได้ทราบถึงเรื่องราวทั้งหมดของเด็กสาวผู้เป็นเจ้าของร่างเดิม เด็กน้อยเอ๋ย...ชะตาชีวิตของเจ้าช่างน่าอดสูยิ่งนัก เซียนโอสถเยว่หลันตั้งแต่นางเกิดมาบนดินแดนเซียน นางไม่เคยมีความแค้นอันลึกล้ำอันใดกับใคร… ด้วยบุญคุณความดีมากมายที่ตัวนางได้สร้างไว้ในครั้งที่ยังอยู่แดนเซียน ทำให้นางไม่เคยต้องมีเรื่องบาดหมางกับใครจนถึงกับต้องโกรธแค้นอะไร ทว่าครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างแท้จริง “อย่าห่วงไปเลยนะ...เด็กน้อยเอ๋ย ข้าจะทำให้คนที่ทำร้ายเจ้าได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ข้าจะทำให้พวกเขารู้จักกับคำว่า ตายก็ตายไม่ได้ อยู่ไปก็ทรมาน” เซียนโอสถเยว่หลันกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวพร้อมจิตสังหารที่เล็ดลอดออกมาจากแววตาสีฟ้าทะเล ในครั้งที่นางอยู่แดนเซียน ถึงแม้จะไม่เคยมีความแค้นอันใดกับใคร แต่ก็ใช่ว่านางจะไม่เคยฆ่าคนมาก่อน ถึงจะไม่ได้ฆ่าคนไปมากมายแต่ก็ไม่น้อยเช่นกัน นางถือคติ ดีมาดีตอบ ร้ายมาร้ายตอบ ดังนั้นจึงมีคนไม่น้อยที่หวังจะฆ่าเซียนโอสถผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนเซียนเพื่อฉกชิง สมบัติ โอสถ และของอย่างอื่นต่างๆ นาๆ อีกมากมายที่ได้จากการตอบแทนบุญคุณจากบุคคลที่ตัวนางเคยช่วยเหลือเอาไว้ ถึงแม้นางจะไม่ต้องการสมบัติเหล่านั้นก็ตาม แต่เมื่อได้รับมาแล้ว ก็จะถือว่าสิ่งนั้นเป็นสมบัติของตัวนางเอง ดังนั้นหากใครที่คิดจะมาฉกชิงไป ก็จะได้เจอกับอีกด้านของเซียนโอสถที่เป็นดั่งมัจจุราช เมื่อได้ตั้งเป้าหมายที่จะแก้แค้นแทนแม่หนูลั่วชิงอีคนเก่า เซียนโอสถเยว่หลันก็เริ่มตรวจสอบร่างกายที่ได้รับมาในทันที “ฮึ! เป็นแค่พิษอันต่ำต้อย…กล้ามาอยู่ในร่างของเซียนโอสถเช่นข้างั้นหรือ…” หลังจากสำรวจร่างกายเสร็จ เซียนโอสถเยว่หลันก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูจะไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง นางจึงเดินลมปราณเพื่อขับพิษออกจากร่างทันที “บัดซบยิ่งนัก ใยลมปราณข้าถึงได้ต่ำต้อยถึงเพียงนี้...” ขณะที่กำลังจะเดินลมปราณเพื่อขับพิษออกจากร่าง เซียนโอสถเยว่หลันก็สบถออกมาด้วยท่าทางที่ดูจะไม่สบอารมณ์เสียยิ่งกว่าเดิม เมื่อทราบถึงระดับลมปราณของตนเองที่อยู่เพียงขอบเขตปราณสามัญขั้นที่ 2 เท่านั้น นี่...ถือว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างมากกับอดีตเด็กสาวที่เคยเป็นถึงอดีตคุณหนูตระกูลลั่ว หลังจากที่รู้ตัวว่าไม่อาจเดินลมปราณเพื่อขับพิษออกจากร่างได้ เซียนโอสถเยว่หลันจึงเริ่มนั่งขัดสมาธิเพื่อเริ่มทำการเปิดจุดชีพจรในร่างกายเพื่อเลื่อนระดับพลังลมปราณให้กับร่างกายนี้ “ฮือ...ลมปราณต่ำต้อยยังไม่พอ ยังโดนพิษสกัดชีพจร ทำให้ไม่สามารถเดินลมปราณผ่านชีพจรไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อีกงั้นเรอะ?” หลังจากเดินลมปราณไปได้สักพัก เซียนโอสถเยว่หลันก็พบว่าเส้นชีพจรหลายเส้นในร่างได้รับพิษสกัดชีพจร นี่...เป็นสาเหตุที่ทำให้แม่หนูลั่วชิงอีไม่อาจเลื่อนระดับลมปราณได้ “ไร้สาระยิ่งนัก” เซียนโอสถเยว่หลันสบถออกมา จากนั้นนางก็เริ่มเดินลมปราณใหม่อีกครั้งโดยในครั้งนี้ใช้ออกมาด้วยเคล็ดวิชาลมปราณเซียนเมฆา ซึ่งเคล็ดวิชาลมปราณนี้นางได้รับมาจากเซียนเมฆา จากครั้งที่นางช่วยเขาเอาไว้ในสงครามเทพมารเมื่อสองพันปีก่อน ในครั้งนั้นเซียนเมฆาได้มอบเคล็ดวิชาให้แก่นางจำนวนมาก รวมทั้งเคล็ดวิชาลมปราณเซียนเมฆานี้ด้วย เคล็ดวิชาจากเซียนเมฆาที่เป็นเทพเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดไฉนเลยจะอ่อนหัด แต่ละเคล็ดวิชาของเขาล้วนเป็นที่หวาดเกรงไปทั่วทั้งสามภพ เซียนโอสถเยว่หลันในยามนั้น นางไม่ได้สนใจการต่อสู้หรือทำสงครามสักเท่าไหร่นัก นางสนใจเพียงแค่การรักษาผู้คนที่ได้รับความทุกข์ยากจากโรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น ดังนั้นนางจึงรับไว้เพียง 1 เคล็ดวิชายุทธ์และ 1 เคล็ดวิชาลมปราณ ปัง ปัง ปัง ตลอดระยะเวลา 1 ชั่วยาม ที่เดินลมปราณด้วยเคล็ดวิชาลมปราณเซีบนเมฆา ก็มีเสียงดังปึงปังขึ้นภายในตันเถียนของเซียนโอสถเยว่หลันเป็นระยะๆ “ปราณสามัญขั้นที่ 4? ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วยาม ก็เลื่อนมาถึงขั้นนี้แล้ว เคล็ดวิชาลมปราณของเซียนเมฆาช่างร้ายกาจยิ่งนัก...” เซียนโอสถเยว่หลันกล่าวขึ้นด้วยท่าทีที่ดูพึงพอใจอย่างมาก หลังจากทราบถึงระดับพลังปราณที่เลื่อนระดับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง “ฮืม...เปิดจุดชีพจรได้แค่ 12 จุด จาก 36 จุด ช่างเถอะ...ค่อยกลับมาเปิดจุดชีพจรที่เหลือ หลังจากระดับพลังปราณสูงกว่านี้ก็แล้วกัน...” เซียนโอสถเยว่หลันกล่าวด้วยสีหน้าที่แปลกใจเล็กน้อย หลังจากเปิดจุดชีพจรสำเร็จ นางก็ใช้เวลาไม่นานก็สามารถขับพิษที่อยู่ในร่างออกไปได้จนหมด หลังจากขับพิษออกจากร่างเรียบร้อยแล้ว เซียนโอสถเยว่หลันก็ทำการทบทวนเคล็ดวิชายุทธ์ที่ได้รับจากเซียนเมฆาอีก 1 เล่มทันที ซึ่งเคล็ดวิชายุทธ์เล่มนั้นคือ ย่างก้าวย้ำเมฆา สุดยอดวิชาตัวเบา โดยมีทั้งหมด 3 ขั้น โดยแต่ละขั้นมีรายละเอียดดังนี้ ขั้นที่ 1 ย่างก้าวเมฆา – เพิ่มความเร็วฝีเท้าให้รวดเร็วประหนึ่งสายลม ขั้นที่ 2 เมฆาเคลื่อนย้าย – เพิ่มความเร็วการเคลื่อนไหวในระยะสั้นให้รวดเร็วประดุจสายฟ้า ทุกย่างก้าวล้วนทิ้งร่างเงาเอาไว้ชั่วขณะ ๆๆ ขันที่ 3 ย้ำเมฆา – สามารถเหยียบอากาศได้ประดุจเหยียบผืนดิน •จากนี้จะเรียกตัวน้องว่าลั่วชิงอีเลยนะครัช• ทว่าในตอนนี้ลั่วชิงอีใช้ออกมาได้แค่เพียงขั้นที่ 1 ย่างก้าวเมฆาเพียงเท่านั้น สำหรับเคล็ดวิชาที่เหลือของนางล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับการปรุงโอสถแทบทั้งสิ้น พอจัดการอะไรเสร็จสรรพ ยามนี้ตะวันก็ลับขอบฟ้าแล้ว ลั่วชิงอีจึงตัดสินใจที่จะกลับไปยังตระกูลลั่ว เพื่อกลับไปพักผ่อนและเตรียมความพร้อมสำหรับวันถัดไป ลั่วชิงอีที่ใช้ออกด้วยเคล็ดวิชายุทธ์ย่างก้าวเมฆา เดินทางกลับไปยังตระกูลลั่ว ซึ่งนางใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็มาถึงยังด้านหน้าซุ้มประตูขนาดใหญ่ ที่ด้านบนซุ้มประตูมีศิลาขนาดใหญ่สลักอักษรไว้ว่า ‘ตระกูลลั่ว’ ใช่แล้ว! ลั่วชิงอีนั้นมาถึงยังด้านหน้าทางเข้าของคฤหาสน์ตระกูลลั่วแล้ว… ที่ด้านหน้าซุ้มประตูทางเข้าตระกูลลั่ว มีชายฉกรรจ์ 2 คน กำลังยืนอยู่ด้านข้างของซุ้มประตู หากดูจากลักษณะท่าทางและเสื้อผ้าอาภรณ์ จะรู้ได้ทันทีว่าชายทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของซุ้มประตูนั้นคือ ยามเฝ้าประตูของตระกูลลั่ว ทว่าแม้จะเป็นเพียงแค่ยามเฝ้าประตู แต่ระดับลมปราณของชายฉกรรจ์ทั้งสองคนกลับสูงถึงขอบเขตทะเลวิญญาณขั้น 2 และ 3 นี่…แสดงให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าตระกูลลั่วนั้นทรงพลังเพียงใด แม้แต่ยามเฝ้าประตูของพวกเขาก็มีระดับลมปราณที่สูงกว่าคนทั่วไปมากนัก ในจังหวะที่ลั่วชิงกำลังจะเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลลั่ว จู่ๆ ก็มีเสียงเย้ยหยัน ดูถูก ดูแคลน ดังขึ้นจากทางทิศที่ชายฉกรรจ์สองคนยืนอยู่ “เฮอะ…มัวแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ หากไม่มืดค่ำไม่ยอมกลับจวน ใยเจ้าไม่ลองไปขายตัวในหอนางโลมหน่อยเล่า? บางทีชีวิตของเจ้าอาจจะดีขึ้นมาบ้างก็ได้ ฮ่าๆ” แม้จะได้ยินคำพูดที่ดูรุนแรงจนยากเกินจะรับไหว ทว่าลั่วชิงอีก็รู้ตัวดีว่า ถึงแม้ในตอนนี้นางจะโกรธเป็นฝืนเป็นไฟสักเท่าไหร่หรืออยากจะฆ่าอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่ความเป็นจริงนางไม่อาจทำเช่นนั้นได้ โลกแห่งนี้มีคำกล่าวอยู่ประโยคหนึ่ง เป็นประโยคที่แสดงให้เห็น ความเป็นจริงของวัตรถจักบนโลกใบนี้ คำกล่าวที่ว่าก็คือ โลกทั้งใบเปรียบดั่งห่วงโซ่อาหาร ดังนั้นแล้วผู้ที่แข็งแกร่งก็ประหนึ่งนักล่า ส่วนผู้ที่อ่อนแอก็เป็นได้แค่เพียงเหยื่อ เหยื่อที่เป็นอาหารให้กับนักล่า และลั่วชิงอีในยามนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเหยื่อที่อยู่ในจุดล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร! ดังนั้นหากนางดึงดันที่จะสู้ ก็จะเปรียบดั่งหิ่งห้อยที่บินเข้าสู่กองไฟ… คำดูถูกในวันนี้ ย่อมต้องได้รับการลงทัณฑ์ในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน! ลั่วชิงอีเก็บคำพูดเหล่านี้ไว้ในใจ นางไม่ได้โต้ตอบหรือพูดอะไรออกไป แต่การกระทำของพวกเขาในวันนี้นางจะต้องตอบแทนพวกเขาคืนเป็นร้อยเท่าในวันหน้าอย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วนางจึงเลือกที่จะเดินผ่านไปโดยมองชายฉกรรจ์สองคนนั้นราวกับอากาศธาตุ หลังจากเดินผ่านซุ้มประตูตระกูลลั่วไป ลั่วชิงอีก็เดินมาตามเส้นทางที่อยู่ในความทรงจํา จนเดินมาถึงยังที่แห่งหนึ่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเรือนของแม่หนูลั่วชิงอีคนเก่า ทว่าภาพที่ปรากฏในดวงตาสีฟ้าทะเลคือ ภาพกระต๊อบโทรมๆ ที่ดูเหมือนจะไม่ใช่ที่พักอาศัยของคนเลยด้วยซ้ำ มันดูเหมือนที่พักอาศัยของสัตว์เสียมากกว่า พวกเจ้าปฏิบัติกับเด็กสาวผู้หนึ่งเช่นนี้หรือ? ช่างน่าสมเพชยิ่งนักตระกูลลั่ว พวกเจ้าทำราวกับว่าแม่หนูลั่วชิงอีไม่ใช่คน ช่างน่าบัดซบเสียจริงคนตระกูลลั่ว! ข้าจะทวงความยุติธรรมให้เจ้าเองแม่หนู! ข้าจะทำให้พวกคนที่รังแกเจ้ารู้จักกับคำว่า ตายก็ตายไม่ได้ มีชีวิตก็ทรมานดั่งตายทั้งเป็น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD