ถ้ำหลังน้ำตก ป่านอกเขตเมืองฟ้ากระจ่าง
3 วันที่ผ่านมานี่ ~ ลั่วชิงอีทำการดูดซับโอสถลมปราณระดับกลางไปทั้งสิ้น 99 เม็ด จนระดับลมปราณบรรลุเข้าสู่ขอบเขตปราณราชันย์ขั้นสูงสุด อีกเพียงแค่ครึ่งก้าวก็จะบรรลุเข้าสู่ขอบเขตปราณจักรพรรดิ
ทางด้านเสี่ยวหลิงก็สามารถฝ่าทะลวงขั้นลมปราณได้อย่างต่อเนื่อง จนระดับพลังของมันพุ่งสูงถึงปราณแดนนภาไร้ขอบเขตขั้นที่ 9 อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะเข้าสู่ระดับราชันย์อสูร
ลั่วชิงอีที่กำลังจะกลืนโอสถลมปราณระดับกลางเม็ดสุดท้ายลงคอ เพื่อทำการดูดซับลมปราณ จู่ๆ ก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวประหนึ่งอัสนีบาตจากสวรรค์ผ่าลงมายังใจกลางป่าฟ้ากระจ่าง
“นะ…นี่มันอะไรกันอีกเนี่ย?” ดวงหน้างามสง่าเย็นชาประดุจน้ำแข็งกล่าวขึ้นอย่างประหวั่นพรั่นพรึง
คลื่นพลังอันแกร่งกล้าที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารสายหนึ่งกระเพื่อมไปทั่วผืนป่าอย่างบางเบา
แม้คลื่นพลังสายนั้นจะบางเบาเพียงใด ลั่วชิงอีก็สามารถสัมผัสและรับรู้ได้ถึงพลังสายนั้นอยู่ดี
“ปราณเย็นสุดขั้วและเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร…” สุรเสียงเย็นชาดังขึ้น ใบหน้าสง่างามดุจนางพญาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความครั่นคร้าม
ใบหน้างามหยดย้อยฉาบฉายสีหน้าหวาดหวั่นกับพลังที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารที่กระเพื่อมอยู่ในอากาศ ทว่าความรู้สึกและหัวใจคล้ายกับถวิลหาพลังนี้อย่างรุนแรงราวกับว่าพลังนั้นมันกำลังเรียกตัวนาง
‘ ใยความคิดและจิตใจของข้าจึงได้สับสนเช่นนี้กัน? เป็นเพราะอะไร? ’ ลั่วชิงอีครุ่นคิดในใจอย่างพิกล
ฉับพลันนั้นเอง…หัวใจของนางคล้ายกับจะสื่อคำพูดบางอย่างออกมาให้นางได้รับฟัง
ตึ๊ก ตั๊ก ตึ๊ก ตั๊ก
หัวใจของลั่วชิงอีเต็มระรัวอย่างรุนแรง เหมือนกับว่ามันกำลังพูดออกมา โดยใช้จังหวะการเต้นของหัวใจสื่อเป็นคำพูด…
ลั่วชิงอีที่ไม่อาจทนเสียงเรียกร้องของหัวใจได้อีกต่อไป ร่างงามเย้ายวนเหยียดกายลุกขึ้นยืนอย่างฉับไว นางก้าวออกไปจากถ้ำเพียงลำพังโดยไม่ได้เรียกเสี่ยวหลิงที่กำลังนอนอยู่ให้ติดตามออกไป
ฟิ้ว !
ร่างงามอรชรเย้ายวนในชุดอาภรณ์ขาวพุ่งเหยียบต้นไม้ ใบหญ้า อย่างแผ่วเบาราวกับขนนก ทุกฝีก้าวที่นางเหยียบย่ำลงไปล้วนสร้างภาพติดตาเอาไว้เบื้องหลัง
ครืน !
คลื่นพลังสีฟ้าอ่อนกระเพื่อมในอากาศอย่างบางเบาทุกฝีก้าวที่หญิงสาวเหยียบย่ำ
เพียงแค่ชั่วอึดใจ ลั่วชิงอีก็มาถึงยังจุดที่นางสัมผัสได้ถึงพลังที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารอย่างชัดเจน
ร่างงามประหนึ่งนางพญาที่ยืนอยู่บนต้นไม้สูงใหญ่ เมื่อดวงเนตรคู่งามกวาดมองไปยังเบื้องล่างก็พบกับร่างมหึมาของงูยักษ์สีเขียวมรกตตัวหนึ่งที่ขาดสะบั้นเป็นสองท่อน พร้อมกับศีรษะของมันที่ขาดออกจากลำตัว
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ กลิ่นเหม็นสาบของซากงูยักษ์แผ่ไปทั่วชั้นบรรยากาศ
ลั่วชิงอีที่มีนิสัยรักสะอาด ไฉนเลยจะทนกับกลิ่นเหม็นสาบของซากงูยักษ์ได้ นางเร่งเร้าลมปราณสีฟ้าอ่อนขึ้นมาสร้างเป็นม่านพลังเล็กๆที่ตัดขาดออกจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์
“เฮ้อ…ค่อยยังชั่ว…”
ทว่าเมื่อโดยรอบอย่างถ้วนถี่ ดวงเนตรสีฟ้าคู่งามพลันเบิกกว้างด้วยความตะลึง ปรากฏร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนอนหมดสติอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ร่างของงูเขียวมรกต
ชายหนุ่มผู้นั้นเเม้จะนอนหมดสติอยู่ ทว่าในมือของเขายังคงกอบกุมกระบี่สีแดงเลือดเอาไว้แน่นคล้ายกับว่ากระบี่เล่มนั้นเป็นสิ่งที่ตัวเขารักมากที่สุด
เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก็จะพบว่าไอสังหารที่กระเพื่อมอยู่ทั่วผืนป่านั้นแผ่ออกมาจากร่างของคนผู้นี้
“เป็นเขานั้นเอง…” ขณะกล่าวลั่วชิงอีก็ยกมือเขียวเนียนแตะไปที่บริเวณหัวใจของตนที่กำลังเต้นระรัวอย่างรวดเร็ว
นัยน์ตาสีฟ้าทะเลจ้องมองไปยังร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มเรือนผมสีเงิน รูปโฉมหล่อเหลาปานเทพบุตร ด้วยแววตาหลากอารมณ์
ร่างงามเย้ายวนกระโดดลงจากต้นไม้สูงใหญ่อย่างแผ่วเบาไร้ซึ่งเสียงกระทบจากการเหยียบย่ำผืนดิน นางก้าวเท้าเข้าไปหาร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีเงินอย่างช้าๆ
ดวงเนตรสีฟ้าอ่อนยวบลงอย่างไม่ค่อยเป็นมาก่อนขณะจ้องมองไปยังร่างของคนเบื้องหน้า ร่างงามอรชรอ้อนแอ้นประหนึ่งหงส์โน้มตัวลงกอบกุมข้อมือของชายหนุ่มเอาไว้อย่างอ่อนโยน
กระแสพลังปราณสีฟ้าอ่อนอันนุ่มนวลของหญิงสาวค่อยๆถ่ายเทเข้าสู่ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มรูปงามผู้สลบไสล
ทว่าพอพลังสีฟ้าอ่อนของลั่วชิงอีถ่ายเทเข้าสู่ร่างของชายหนุ่ม จู่ๆ พลังสีแดงเลือดแข็งกร้าวสายหนึ่งก็พวยพุ่งออกมาต้านพลังอันอ่อนนุ่มสีฟ้าอ่อนเอาไว้
“นะ…นี้มัน ใยพลังของเขาจึงได้เป็นปรปักษ์กับข้ากัน?” น้ำเสียงงงวยดังขึ้น ใบหน้าสง่างามฉายสีหน้าประหลาดใจ เมื่อเห็นพลังสีแดงเลือดกำลังต่อต้านพลังของนางที่ถ่ายเทเข้าสู่ร่างของคนตรงหน้า
“ลมปราณของเขาเหือดแห้งอย่างมาก หากไม่ได้รับการถ่ายเทพลังปราณเข้าไป อีกหนึ่งก้านธูปเขาตายแน่” ลั่วชิงอีกล่าวขึ้นอย่างร้อนรน แม้นางจะพยายามถ่ายเทพลังปราณของนางเข้าสู่ร่างของคนตรงหน้ามากแค่ไหน…สุดท้ายก็จะถูกพลังสีแดงเลือดแข็งกร้าวต่อต้านเอาไว้อยู่ดี
เมื่อเวลาผ่านไปจวนจะถึงหนึ่งก้านธูป จิตใจของลั่วชิงอียิ่งกระวนกระวาย ความเยือกเย็นที่เคยมีมลายหายไปจนสิ้น เหลือแค่เพียงความร้อนรุ่มระอุที่อยู่ในใจ
ทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรดี? ใช่! ใช่! ข้ายังมีโอสถฟื้นฟูลมปราณ…ทว่าเมื่อคิดได้ดังนั้นมือเรียวยาวขาวเนียนก็พลันสะบัดมือเหมือนดั่งทุกครั้งที่จะหยิบของด้านในแหวนมิติ
ทว่าดวงตาสีฟ้าคู่งามก็ต้องเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก เมื่อพบว่าแหวนมิติที่ตนมักจะสวมใส่ไม่มีอยู่บนนิ้วมือเรียวยาว
“วะ…แหวนมิติของข้าไปไหน!”
ลั่วชิงอีพยามหาแหวนมิติเท่าไหร่ก็หาไม่พบ ทว่า จู่ๆ ความคิดพิลึกก็โลดแล่นเข้ามาในหัวอย่างฉับพลัน
ช่วยไม่ได้ล่ะนะ…..คงมีแต่วิธีนั้นวิธีเดียว !
ไม่พูดอะไรมาก…ลั่วชิงอีกลับช้อนสายตาขึ้นอย่างหยดย้อย ร่างงามเย้ายวนค่อยๆโน้มตัวลงไปใกล้ แล้วประทับริมฝีปากแดงฉ่ำบนปากของชายหนุ่มเรือนผมสีเงินตรงหน้า รสสัมผัสอันอ่อนนุ่มแผ่ซ่านไปทั่วริมฝีปาก
ฉับพลันนั้นเอง คลื่นพลังปราณสีฟ้าอ่อนก็ถูกถ่ายเทผ่านริมฝีปากแดงระเรี่ยรูปกระจับและริมฝีปากชมพูของคนตรงหน้าที่ไร้ซึ่งสติ
ชายหญิงคู่หนึ่งแนบชิดพลางประกบริมฝีปากเข้าหากันแน่น ลั่วชิงอีที่หลับตาปี๋หาได้สังเกตไม่ว่า ชายหนุ่มเรือนผมสีเงินที่อยู่ใกล้นางเพียงคืบยักคิ้วขึ้นน้อยๆ รอยยิ้มยั่วเย้า พาดผ่านบนใบหน้านั้น
เขาฟื้นขึ้นมาตั้งแต่ถ่ายเทพลังปราณลงไปครั้งแรกแล้ว แค่เขาแกล้งหญิงสาวเฉยๆ
ทว่าลั่วชิงอีกลับไม่รู้อะไรสักอย่าง นางในยามนี้กำลังส่งถ่ายเทพลังปราณสู่ริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจนัก
ขณะที่ลั่วชิงอีกำลังจะผละออก จู่ๆ ชายหนุ่มก็เปลี่ยนท่าทีจากฝ่ายรับมาเป็นฝ่ายรุก เขาบดขยี้ริมฝีปากของหญิงสาว เรียวลิ้นร้อนผ่าวและว่องไวรุกล้ำเข้าไปในโพรงปากของนาง
เปลวไฟแห่งความใคร่ที่ลุกโชนถูกจุดติดยามที่ริมฝีปากและสองลิ้น เกี่ยวกระหวัดกัน เขาจุมพิตนางอย่างดูดดื่ม ฝ่ามือใหญ่เลื่อนต่ำลงไปปลดเข็มขัดของนางออก แล้วลูบไล้ไปบนผิวขาวเนียนเกลี้ยงเกลาดุจหิมะ
ริมฝีปากของลั่วชิงอีถูกบดขยี้อย่างดุเดือดจนบวมช้ำขึ้นมา ยิ่งทำให้น่าหลงไหลยิ่งกว่าเดิม เรือนร่างของนางอ่อนยวบ ไร้เรี่ยวแรงจะต้านทาน
พลันนั้นเองลั่วชิงอีก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง นางเรียกสติกลับคืนมาในทันที
เขาไม่ได้หมดสติ !
ยามนี้เองที่ลั่วชิงอีรู้ว่านางถูกหลอกเสียแล้ว! นางอุตส่าห์เป็นห่วงเป็นใย ยอมช่วยประกบริมฝีปากถ่ายเทพลังให้เพื่อช่วยชีวิตเขา แต่เขากลับหลอกนาง!
ผู้ชายร้ายกาจ...ทำดีไม่ได้ดี ทำคุณบูชาโทษ!
ในวินาทีต่อมา หลังจากถ่ายเทพลังปราณได้สำเร็จ ดวงเนตรสีน้ำหมึกลึกลับน่าค้นหาของชายหนุ่มพลันเบิกกว้างตะลึงวูบ เขากอดยกมือโอบเอวรัดกิ่วของหญิงงามสะคราญเบื้องหน้าโดยสัญชาตญาณ ขณะที่อีกฝ่ายบิดส่ายช่วงเอวเบาๆ ชวนให้ลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับริมฝีปากอันแดงฉ่ำกับแววตาหวานละมุนของหญิงสาว
ชั่วขณะนั้นใจกลางป่าพลันอบอุ่นละมุนกำซาบซ่านด้วยรสชาติแห่งเสน่หา
“จะ…เจ้า” นงคราญในอ้อมอกผละออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่มอย่างฉับพลัน ดวงหน้างามร้อนผ่าวประหนึ่งเป็นไข้สูง แก้มของนางนั้นแดงซ่านดั่งผลอิงเถา ดูแล้วสวยหยาดบาดลึกไปจนถึงจิตวิญญาณ
ร่างงามเย้ายวนอาภรณ์ขาวรีบเหยียดกายลุกขึ้นยืนอย่างฉับไว ดวงเนตรสีฟ้าคู่งามจับจ้องไปยังชายตรงหน้าด้วยแววตาเย็นชา ทว่าใบหน้างามประดุจเทพธิดาก็ยังคงแดงฉ่ำดุจผลอิงเถา
ขะ…ข้า ทะ…ทำอะไรกัน ? จะ…จูบแรกของข้า
“……..”
ผ่านไปชั่วอึดใจ หลังจากตั้งสติได้ น้ำเสียงเย็นชาพลันกล่าวขึ้นอย่างเร่งร้อนและตะกุกตะกัก
“ทะ…ท่าน อย่าเข้าใจผิดไป ข้าหาได้พิศวาส คิดอกุศลกับท่านไม่!”
กล่าวจบ ร่างงามสะคราญดุจนางพญาก็หายวับไปราวกับภาพมายา ปล่อยให้ชายหนุ่มเรือนผมสีขาวยืนงงงวยอยู่เพียงลำพัง
“ช่างเป็นหญิงสาวที่แปลกนัก….” ชายหนุ่มกล่าวเสียงทุ้มต่ำ พลางจับไปที่ปากชมพูของตนอย่างมีนัยยะ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประหนึ่งจิ้งจอกเผยออกมา
.
.
ทางด้านลั่วชิงอี หลังจากกลับมาถึงยังถ้ำหลังน้ำตก หญิงสาวตัวแข็งค้าง ใบหน้างามสะพรั่งพลันตะลึงงึงงัน มือขาวเนียนแตะไปที่ริมฝีปากแดงฉ่ำคล้ายกับว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องจริง
“ขะ…ข้าเสียจูบแรกให้กับชายแปลกหน้า” ดวงหน้างามแดงซ่านขณะกล่าว ในยามนี้…นางราวกับวิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่าง ลอยไปยังทะเลอันไกลโพ้น
ใยความคิดบ้านั้นจึงผุดขึ้นมาในหัวข้าได้กัน! บ้าที่สุด!
ลั่วชิงอีขณะนี้แทบจะร่ำไห้ ภาพรอยจูบระหว่างนางและเขายังคงตราตรึงในห้วงภวังค์จิตไม่เลือนหาย