“เสี่ยวหลิง…!”
เสี่ยวหลิงไม่รีรอ มันระเบิดพลังปราณแดนนภาไร้ขอบเขตขั้นที่ 4 ออกมาทันที พร้อมกับพุ่งเข้าโรมรันใส่พยัคฆ์ภูผาอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
“อย่าวอกแวกสิ แม่หนูน้อย”
ในจังหวะที่ลั่วชิงอีหันไปสนใจการปรากฏตัวของเจ้าเสี่ยวหลิง ทว่าในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ลั่วหยงชุนก็พุ่งเข้ามาประชิดพร้อมกับซัดหมัดเข้าใส่ร่างอรชรอย่างแรง
ปังง!
ร่างงามเย้ายวนปลิวกระเด็นไปหลายก้าว จากแรงกระแทกอย่างหนักหน่วงของหมัด
หมัดของลั่วหยงชุนช่างรุนแรงนัก!
“ยื้อไว้ต่อไปคงไม่ดีแน่!” ลั่วชิงกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ใบหน้างามหยดย้อยเย็นชาประดุจน้ำแข็งจ้องเขม็งไปยังลั่วหยงชุนอย่างไม่วางตา สุรเสียงเย็นเยียบของนางดังขึ้นมาอีกครั้ง
“กระบวนท่านี้รับให้ดีล่ะ…”
น้ำเสียงเย็นเยียบดังก้อง ร่างงามชดช้อยในชุดคลุมดำประกบมือเข้าหากัน ฉับพลันนั้นเอง ลำแสงสีฟ้าเจิดจรัสก็พวยพุ่งออกมาจากร่างลั่วชิงอี ลำแสงนั้นพุ่งตรงดิ่งทะลุชั้นบรรยากาศแผ่กระจายไปทั่วท้องนภาด้านนอกเมืองฟ้ากระจ่าง
“สายธารหลั่งริน ปักษาขับร้องบรรเลงห้วงทำนองบทกวี สรรพสิ่งล้วนเปรมปรีดิ์ มวลชีวีก่อกำเนิด หวนกลับคืนสู่โลกหล้า”
สิ้นเสียงอันเย็นชา เลือดในกายของลั่วชิงอีเดือดพล่านราวกับมันกำลังจะระเบิดออกจากร่างอย่างไรอย่างนั้น
ลำแสงสีฟ้าที่พุ่งขึ้นไปยังชั้นบรรยากาศค่อยๆ ก่อตัวเป็นดอกบัวสีฟ้าครามขนาดมหึมากลางอากาศ
“การโจมตีนี้ ต้องแลกกับพลังชีวิตของข้าถึง 10 ปี เป็นเกียรติเสียเถอะ...ที่ได้ตายภายใต้วิชาลับแห่งแดนเซียน” ลั่วชิงอีกล่าวเสียงเย็นยะเยือก มือเรียวยาวโบกพลิ้ววูบวาบ ฉับพลันนั้นดอกบัวสีฟ้าครามก็ทอประกายแสงเจิดจรัส แสงสีแดง สีฟ้า ระยิบระยับไปทั่วท้องนภา
ครืน ครืน ครืน
ไอพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากดอกบัวสีฟ้าครามนั้นรุนแรงอย่างมากราวกับว่าสามารถถล่มฟ้าทลายดินให้ราบเป็นหน้ากลอง
“มหาบัวพุทธพิโรธ..”
ร่างงามอันเย้ายวนเพียงแค่สะบัดมืออย่างแผ่วเบา ดอกบัวสีฟ้าครามที่เปี่ยมไปด้วยพลังฟ้าดินและการผลาญพลังชีวิตก็พุ่งตรงดิ่งเข้าหาร่างกำยำของลั่วหยงชุนอย่างฉับไหวประหนึ่งดาวตกที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้า
ลั่วหยงชุนเมื่อเห็นดังนั้น เขาจึงรีบยกมือแกร่งขึ้นมาพลางรวบรวมลมปราณในร่างกายเคลือบไปยังมือข้างนั้น ไอพลังปราณสีน้ำตาลเข็มพวยพุ่งออกมาจากร่างกำยำราวกับสายน้ำ
ในฉับพลันนั้นเองหมัดที่เคลือบไปด้วยลมปราณก็ยิงลำแสงสีน้ำตาลออกไป พร้อมกับเสียงกู่ก้องคำรามดังลั่นประหนึ่งเสียงคำรามของพยัคฆ์ และในจังหวะเดียวกันนั้นเองลั่วหยงชุนก็อ้าปากกว้างลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปากของเขาอย่างวูบวาบ ลำแสงสีน้ำตาล สีดำ สองสายพุ่งตรงเข้าปะทะกับดอกบัวสีฟ้าครามที่เปล่งประกายระยิบระยับสีฟ้า สีแดง
บู้ม!
ทว่า...ไฉนเลยการโจมตีธรรมดาสามัญของจอมยุทธ์แดนนภาไร้ขอบเขตจะต่อต้านวิชาลับของแดนเซียนที่อัดแน่นไปด้วยพลังฟ้าดินและการผลาญพลังชีวิตได้
เมื่อพลังทั้งสองสายปะทะกันกลางอากาศ แรงกระเพื่อมคลื่นพลังอันกล้าแกร่งของมหาบัวพุทธพิโรธก็ทะลุทะลวงผ่านลำแสงสองสายนั้น
ในจังหวะที่มหาบัวพุทธพิโรธทะลุทะลวงผ่านลำแสงสองสายของลั่วหยงชุน ฉับพลันก็เกิดแสงเจิดจรัสสีฟ้า สีแดง ระรัวไปทั่วท้องนภา ทันใดนั้นเอง...เสียงกึกก้องสนั่นหวั่นไหวประหนึ่งเสียงของระเบิดปรมาณูดังสะท้านฟ้า
ตู้ม!
มหาบัวพุทธพิโรธ ระเบิดออกอย่างรุนแรง...จนผืนดิน ต้นไม้ ใบหญ้า พลันสลายหายไปราวกับภาพมายา ไม่ต้องกล่าวถึงกลุ่มคนที่อยู่ใกล้กับมหาบัวพุทธพิโรธ พวกเขาเหล่านั้นล้วนสลายกลายเป็นผุยผงราวกับไม่เคยยืนอยู่ตรงนั้นมาก่อน
ทางด้านลั่วหยงชุนที่รับแรงระเบิดของมหาบัวพุทธพิโรธเข้าไปเต็มๆ ร่างกำยำของเขาไม่ได้สลายหายไปเหมือนกันกับคนในตระกูลลั่วคนอื่นที่เขาพามาแต่อย่างใด แต่ทว่าร่างกำยำของเขาขาดครึ่ง ส่วนล่างกระเด็นไปอีกทาง ส่วนบนกระเด็นไปอีกทาง เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็น เปอะเปื้อน เอ่อหนองไปทั่วบริเวณโดยรอบอย่างน่าหวาดกลัวราวกับทะเลเลือด
“ปะ...ปีศาจ”
ลั่วหลิงเฟยกรีดร้องออกมาอย่างหวั่นวิตก เมื่อเห็นดังนั้น...นางจึงรีบสะบัดมือนำหินที่มีอักขระบางอย่างสลักอยู่ออกมาจากแหวนมิติพร้อมกับบีบทําลายจนแหลกละเอียด
วูซชชช
เพียงแค่พริบตาเดียว ก็ปรากฏประตูน้ำวนเหนือฟากฟ้า พร้อมกับเผยให้เห็นร่างของชายชราผมขาว เครายาวคล้ายหางม้า กำลังเดินออกมาจากประตูน้ำวนด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
ชายชราผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหนเขาคือ ประมุขตระกูลลั่วคนปัจจุบัน ลั่วเชียนอวี้ จอมยุทธ์ขุมพลังขอบเขตจักรพรรดิขั้นที่ 4 หนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองฟ้ากระจ่าง
หินสลักอักขระอาคมที่ลั่วหลิงเฟยบีบทำลายไป คือหินสําหรับเคลื่อนย้ายมิติที่สามารถเปิดประตูมิติระหว่างหินสลักอักขระอาคมทั้ง 2 ก้อน ซึ่งก้อนหนึ่งนั้นอยู่กับลั่วเชียนอวี้ที่เป็นประมุขตระกูล อีกก้อนหนึ่งนั้นอยู่กับลั่วหลิงเฟย
“ท่านปู่!! ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย” ลั่วหลิงเฟยที่เห็นลั่วเชียนอวี้ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ไม่รอช้านางก็ตะโกนดังก้องเรียกหาผู้เป็นปู่ด้วยเสียงโหยหวน
ลั่วเชียนอวี้ที่ได้ยินเสียงตะโกนของหลานสาว ชายชราเหลือบมองลั่วหลิงเฟยครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวร่างอรชรเย้ายวนในชุดคลุมดำด้วยสายตาพิจารณา
“เสี่ยวหลิง...ถอยก่อน”
ลั่วชิงอีที่เห็นชายชราจ้าวตระกูลลั่วจ้องมองลงมา นางก็รับรู้ได้ทันทีว่า ในยามนี้ตัวนางยังไม่อาจต่อกรกับชายชราผู้นี้ได้ ดังนั้นจึงจะให้เสี่ยวหลิงพานางออกไปจากที่แห่งนี้ ขืนยังดึงดันที่จะสู้ต่อย่อมจะต้องพบจุดจบอันโหดร้ายอย่างแน่นอน
พรึบ พรึบ พรึบ
ร่างงามเย้ายวนในชุดคลุมดำรีบกระโจนขึ้นหลังของอินทรีย์ยักษ์อย่างรวดเร็ว เพียงแค่พริบตาเดียวหนึ่งสตรี หนึ่งอินทรีย์ยักษ์ ก็พุ่งเป็นลำแสงสายฟ้าถลาขึ้นสู่ท้องนภาอย่างรวดเร็วปานอัสนีบาต
.
.
.
ถ้ำหลังนํ้าตก ป่านอกเขตเมืองฟ้ากระจ่าง
ลั่วชิงอีที่หลบหนีมาได้แล้ว ขณะนี้กำลังหลอมโอสถรักษาบาดแผลและโอสถฟื้นฟูลมปราณอยู่ภายในถ้ำหลังน้ำตก
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม หลังจากรักษาบาดแผลและฟื้นฟูลมปราณเป็นที่เรียบร้อย ลั่วชิงอีก็ลุกขึ้นเดินไปลูบหัวเจ้าเสี่ยวหลิงด้วยท่าทางอ่อนโยนและเอ็นดู
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบใจเจ้ามาก”
ลั่วชิงอีไม่ได้คิดที่จะไปทวงความแค้นโดยเร็ววัน ความแข็งแกร่งของตระกูลลั่วนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะต่อกรได้โดยง่าย ไหนจะประมุขตระกูลที่มีความแข็งแกร่งถึงระดับปราณจักรพรรดิ อีกทั้งยังมีบรรพชนตระกูลลั่วที่ไม่รู้ว่ามีความแข็งแกร่งถึงระดับใดแล้ว อย่างคำกล่าวที่ว่า จะทำการใดให้อดทนรออย่างสุขุมจนถึงโอกาสอันสมควร
“เลือดต้องล้างด้วยเลือด”
.
.
หลังผ่านคืนวันแห่งความเคียดแค้น ลั่วชิงตอนนี้กำลังหลอมโอสถลมปราณระดับกลางจากสมุนไพรที่ซื้อมา พร้อมกับหลอมโอสถลมปราณระดับสูงเอาไว้ให้กับเจ้าเสี่ยวหลิง
ผ่านไปราวยี่สิบลมหายใจ
ลั่วชิงอีก็ทำการหลอมโอสถลมปราณระดับกลางจำนวน 100 เม็ด ระดับสูงอีก 10 เม็ด รวมกับโอสถลมปราณระดับสูงที่มีอยู่ก่อนหน้านี้อีก 10 เม็ด เป็น 20 เม็ด ทำให้สมุนไพรสำหรับหลอมโอสถลมปราณระดับกลางที่นางมีก็หมดลงเป็นที่เรียบร้อย โดยเหลือเพียงสมุนไพรระดับสูง และสมุนไพรระดับกลางสำหรับรักษาบาดแผลกับฟื้นฟูลมปราณเท่านั้น
“เสี่ยวหลิง กินโอสถเม็ดนี้เข้าไปเสีย...” ลั่วชิงอีกล่าวเสียงอบอุ่น พร้อมกับยื่นโอสถลมปราณระดับสูงให้เจ้าเสี่ยวหลิงกิน 5 เม็ด พร้อมกับลูบหัวของเขามันอย่างเอ็นดู
กรีซซ
เจ้าเสี่ยวหลิงเมื่อได้ยินดังนั้น มันก็กู่ร้องด้วยอาการดีอกใจ พลางกระพือปีกด้วยความชอบใจที่ลั่วชิงอีลูบหัวของมัน
สาเหตุที่ลั่วชิงอีไม่เก็บโอสถลมปราณระดับสูงไว้ใช้เอง เพราะการที่จะซึมซับลมปราณจากโอสถลมปราณระดับสูงจะต้องมีร่างกายระดับจักรพรรดิเสียก่อน ถึงจะสามารถซึมซับลมปราณจากโอสถได้
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยจนหมด ลั่วชิงอีทำการกลืนโอสถลมปราณระดับกลางลงคอทันที จากนั้นก็ทำการเริ่มดูดซับปราณจากโอสถในทันที
.
.
.
3 วันผ่านไป
หอการค้าจินหลง สาขาเมืองฟ้ากระจ่าง
นับตั้งแต่ที่ลั่วชิงอีมาเยือนหอการค้าจินหลงครั้งสุดท้าย ประมาณ 3 วันก่อนหน้านั้น กงซุนหนานหยานก็ได้ทำการปล่อยข่าว ที่ตนมีโอกาสได้เห็นวิธีการหลอมโอสถอันเหนือมนุษย์ราวกับเทพเจ้าของเทพโอสถเฟิ่งฮวง ทําให้ชื่อเสียงของเทพโอสถเฟิ่งฮวงขจรขจายไปทั่วดินแดนฝูหรง ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงของนักปรุงโอสถอันดับหนึ่งแห่งดินแดนฝูหรง เทพโอสถเฟิ่งฮวง
.
.
.
ณ ชายแดนแคว้นจินหลง บริเวณป่าใกล้เมืองฟ้ากระจ่าง
ในป่าของเมืองฟ้ากระจ่าง มีบุรุษเรือนผมสีเงินผู้หนึ่งกำลังประจันหน้ากับงูยักษ์สีเขียวมรกตอย่างองอาจและเด็ดเดี่ยวประหนึ่งนายพรานกำลังล่าเหยื่อ
ทว่าในตัวของบุรุษเรือนผมสีเงินนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลลึก อาภรณ์สีขาวของเขาย้อมไปด้วยสีแดงคล้ายกับโลหิตแดงสด ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มเย็นชาสุดขั้ว น้ำเสียงฉืดชาดังขึ้นอย่างโอหัง
“ในเมื่อเจ้ากล้าเข้ามาในทวีปเทียนฉี่ของข้า ก็อย่าได้ริอาจจะได้กลับออกไป”
งูเขียวมรกตขนาดมหึมาที่มีความยาวถึง 20 เมตร เกล็ดของมันเป็นสีเขียวมรกตแวววับสวยงาม ทว่าในความสวยงามกลับแฝงไปด้วยพิษรุนแรงที่สามารถพรากชีวิตของคนที่สัมผัสได้อย่างฉับพลัน ทว่ามันไม่ได้กล่าวตอบบุรุษเรือนผมสีเงินแต่อย่างใด หางยักษ์ของมันฟาดลงไปยังร่างสูงโปร่งของบุรุษผู้นั้นอย่างแรง
“อ่อนหัด...” บุรุษเรือนผมสีเงินเค่นเสียงเย็นชา กระบี่สีแดงเลือดในมือของเขาเปล่งประกายวูบวาบ ไอสังหารสีแดงเลือดที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความตายพวยพุ่ง เพียงแค่ยกกระบี่สีแดงขึ้นมา หางยักษ์ของงูเขียวมรกตก็หยุดชะงักกลางอากาศคล้ายกับว่าถูกพลังบางอย่างต่อต้านเอาไว้
“หนึ่งกระบี่สะเทือนรอบทิศ!”
บุรุษเรือนผมสีเงินยกกระบี่สีแดงเลือดขึ้น ในวินาทีต่อมาปราณกระบี่สีแดงก็พุ่งทะลุทะลวงราวกับลูกธนูพุ่งทะลุผ่านร่างของงูเขียวมรกตยักษ์ จนลำตัวยาวเหยียดของมันเกิดบาดแผลฉกรรจ์ลึก เลือดสีแดงสดพวยพุ่งไปทั่วชั้นบรรยากาศดั่งน้ำตกที่ปะทุขึ้นจากใต้ดิน
“พะ...พรหมยุทธ์ มะ....” ไม่ทันที่งูเขียวมรกตยักษ์จะได้กล่าวจนจบ ลำคอของมันก็ถูกสะบั้นจนขาดอย่างฉับพลันจากคลื่นกระบี่สีแดงเลือดที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหาร
ปึ๊ก!
หัวของงูเขียวมรกตร่วงลงกับพื้นพร้อมกับเลือดสีแดงสดที่พุ่งกระฉูดออกมาราวกับสายน้ำ ลำตัวยาวเหยียดนับ 20 เมตร ล้มลงดังปึ้งอย่างแรง จนเกิดฝุ่นควันขวุ้งไปทั่วชั้นบรรยากาศ
“อั๊กก” บุรุษเรือนผมสีเงินกระอักเลือดสีแดงสดคำโตออกมา พร้อมกับร่างสูงโปร่งที่ค่อยๆ ทรุดตัวลงกับพื้น พร้อมสติที่ค่อยๆ เลือนราง
“ข้ามาได้แค่นี้งั้นหรือ? โชคชะตาช่างเล่นตลกกับข้ายิ่งนัก ฮ่าๆ”
เสียงทุ้มต่ำของบุรุษเรือนผมสีขาวดังขึ้น เขากล่าวเป็นเชิงตัดพ้อ และในวินาทีต่อมาสติของเขาก็ดับวูบลงพร้อมกับร่างสูงโปร่งที่ทรุดลงไปนอนกองกับพื้นด้วยลมหายใจที่อ่อนระทวย