ชายชาวต่างชาติขมวดคิ้ว พยายามทำความเข้าใจ เพราะลุงแหลมพูดเร็วไปหน่อย อีกทั้งสำเนียงก็ออกอีสาน
“กระเป๋าของคุณครับ”
เด็กหนุ่มอีกคนที่มักจะติดรถไปกับลุงแหลมเป็นประจำ มีชื่อว่าดำ รับหน้าที่คอยดูแลสัมภาระของผู้โดยสาร ปรี่เข้ามาอย่างรู้หน้าที่ รีบรับกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่สะพายอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม แล้วนำไปไว้ในช่องเก็บสัมภาระที่อยู่ด้านข้างของตัวรถในทันที
“ขอบคุณครับ”
ร่างสูงใหญ่หันไปกล่าวกับเด็กหนุ่มที่ช่วยเอาสัมภาระของตนไปเก็บ
จากนั้นขายาวๆก็ก้าวขึ้นไปบนรถ
เมื่อประมาณความสูงของเพดานหลังคารถคร่าวๆด้วยสายตา ชายหนุ่มรู้ว่าหากเขาเหยียดหลังให้สุดความสูง เชื่อว่าศีรษะต้องแตะเพดานหลังคารถอย่างแน่นอน เขาจำต้องก้มศีรษะเล็กน้อย เมื่อโผล่พ้นประตูเข้ามา ก็แจกยิ้มให้กับสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมองมาที่เขาเป็นตาเดียวกันอย่างให้ความสนใจ เพราะความแปลกแยกแตกต่างทางชาติพันธุ์ ด้วยโครงสร้างร่างกายที่ใหญ่โต อีกทั้งความสูงเกินกว่า 180 เซนติเมตรของเขา ยิ่งชวนให้สะดุดตาต่อผู้พบเห็น
เมื่อรถเริ่มออกเดินทาง น้ำค้างได้อธิบายถึงรายละเอียดเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้กับชายหนุ่มได้ฟังโดยคร่าวๆ เกี่ยวกับแพคเกจการเดินทางในครั้งนี้ พร้อมกับยื่นตารางทัวร์ให้กับเขา ก่อนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตารางทัวร์ในกระดาษแผ่นนั้นเป็นภาษาไทย ขณะที่เธอกำลังจะอธิบายด้วยภาษาที่ชาวต่างชาติคนนี้จะเข้าใจได้ จู่ๆเขาก็สร้างความประหลาดใจ ราวกับอ่านความคิดของเธอออก เมื่อเขากล่าวขึ้นมาว่า
“ผมพอจะอ่านภาษาไทยได้ครับ”
“เก่งจัง”
มีความฉงนอยู่ในน้ำเสียงของเธอ ทำให้หญิงสาวแหงนใบหน้าขึ้นมองเขา ก็เห็นว่าดวงตาสีสนิมเหล็กคู่นั้นประสานมา
“คุณชื่ออะไรคะ”
น้ำค้างถามเบาๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่รู้จักชื่อของเขา
“รอนนี่…แต่เรียกสั้นๆว่า ‘รอน’ ก็ได้ครับ”
เขากระตือรือร้นที่จะตอบ ชื่อเต็มของเขาคือ ‘รอนนี่ อัลวาโร’
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะรอน”
กล่าวจบหญิงสาวก็บ่ายหน้าไปทางโชเฟอร์ พร้อมกับสั่งให้ออกรถ
“Let’s go ค่ะลุงแหลม”
จากนั้นรถก็เคลื่อนออกจากหน้าบริษัททัวร์ซึ่งตั้งอยู่ย่านสุทธิสาร เลี้ยวขวาออกถนนวิภาวดีรังสิต
ฝ่าการจราจรซึ่งยังไม่หนาแน่นมากนัก เนื่องจากเวลาในขณะนั้นยั้งเช้าอยู่มากและเป็นเส้นทางขาออก
รถแล่นเรื่อยขึ้นไปตามถนนสายเอเชียที่ทอดยาวไปสู่ตอนเหนือของประเทศ น้ำค้างหยิบแผ่นซีดีเพลงยื่นให้ลุงแหลมเปิดคลอเบาๆไปตลอดทาง เป็นที่รู้กันว่าจุดหมายปลายทางของรถทัวร์คันนี้คือจังหวัดสุโขทัย ด้วยรูปแบบของทัวร์ในครั้งนี้เป็นทัวร์วัฒนธรรม จึงไม่แปลกที่ผู้โดยสารส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใหญ่ หากก็มีหนุ่มสาวปะปนมาประปราย
เรือนร่างระหงของหญิงสาวยืนอยู่ที่ด้านหน้าของรถทัวร์ เมื่อรถแล่นต่อมาได้อีกระยะหนึ่ง รอให้ลูกทัวร์ปรับสภาพจนคุ้นกับรถ จากนั้นน้ำค้างจึงริ่มแนะนำตัวเองกับลูกทัวร์ ผ่านโทรโข่งที่ถืออยู่ในมือ ทบทวนแผนการเดินทางโดยคร่าวๆ บอกถึงจุดหมายปลายทาง แต่ละสถานที่ซึ่งจะแวะชม รวมทั้งเรื่องอาหารและที่พักให้กับลูกทัวร์ได้ฟังอีกครั้ง ลูกทัวร์เกือบทั้งหมดเป็นคนไทย มีชาวต่างชาติเพียงคนเดียวคือรอนนี่
“ราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำกานท์กวี คนดีศรีอยุธยา”
เธอเริ่มชวนลูกทัวร์สนทนาด้วยการท่องคำขวัญประจำจังหวัดอยุธยา
“ที่น้ำท่องคำขวัญประจำจังหวัดอยุธยา เพราะว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เราก็จะก็ถึงอยุธยากันแล้วนะคะ จุดแรกที่รถจะหยุดก็คือพระราชวังบางปะอิน จากนั้นก็ไปแวะชมความสวยงามของตลาดน้ำอโยธยา ในบรรยากาศของศาลาเรือนไทยริมน้ำ สัมผัสกลิ่นอายของวิถีไทยในอดีต รับรองว่าทุกคนจะประทับใจอย่างแน่นอนค่ะ”
แม้ว่าตลาดน้ำแห่งนั้น น้ำค้างจะเคยเห็นมาแล้วหลายครั้ง เพราะนำทัวร์ก็หลายหน หากก็ยังคงรู้สึกประทับใจทุกครั้งที่ได้มาเยือน สภาพของบ้านเรือนและเรือพายขายของที่ล่องอยู่ริมน้ำ ล้วนจำลองขึ้นมาได้อย่างสมจริง
ฉากชีวิตเหล่านั้น ทำให้น้ำค้างรู้สึกราวกับว่าเธอได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต ไม่คิดว่าบรรยากาศของตลาดโบราณจะสร้างความรู้สึกผูกพันและความคุ้นเคยอันแปลกประหลาดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ทุกๆอย่างภายในตลาดน้ำทำให้เธอรำลึกย้อนไปถึงภาพที่เคยผุดพรายขึ้นในความฝันของเธอบ่อยๆ ทั้งที่เคยสงสัยถึงต้นสายปลายเหตุว่าอะไร? ที่ผูกพันเธอเอาไว้กับภาพอดีตเหล่านั้น
ทว่าท้ายที่สุด เมื่อไม่อาจหาคำตอบที่สมเหตุสมผลพอจะอธิบายได้ หญิงสาวกลับสรุปความสงสัยทั้งหลายทั้งปวงว่าอาจสืบเนื่องมาจากการที่เธอเรียนจบมาทางด้านประวัติศาสตร์ อ่านมาก รู้มาก ทำให้ซึมซับเข้าไปมาก อีกทั้งเธอยังชอบดูหนังละครย้อนยุคเป็นชีวิตจิตใจ แม้กระทั่งภายหลังจากเรียนจบ เธอก็ยังมายึดอาชีพไกด์นำทัวร์วัฒนธรรม ทุกครั้งที่รับงานทัวร์ หากต้องเลือกระหว่างทริปภูเขา ป่า ทะเล และแหล่งโบราณสถานที่เรียกกันว่า ‘ทัวร์วัฒนธรรม’ เช่นครั้งนี้ น้ำค้างก็มักจะเลือกอย่างหลังเสมอ คือทัวร์วัฒนธรรม
เมื่อจับต้นชนปลายถึงหลายๆเหตุการณ์ที่เธอพยายามผูกโยงเข้าด้วยกัน ก็พอจะอธิบายกับตัวเองได้ว่ามันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก หากความรู้สึกผูกพันกับอดีต จะยังคงวนเวียนอยู่ในความรู้สึกนึกคิด กระทั่งมันแทรกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในความฝันของเธอเสมอมา
แต่แล้วจู่ๆ ความคิดนั้นก็ถูกค้านให้ต้องตกไป เมื่อหญิงสาวหวนระลึกขึ้นมาได้ว่าการฝันถึงภาพชีวิตในอดีตเหล่านั้น ‘มันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เธอยังเป็นเด็กๆ ก่อนที่เธอจะได้เรียนและได้ทำงานมิใช่หรือ?’
ดังนั้นการที่เธอฝันถึงภาพในอดีตมาตั้งแต่เด็ก…ทำให้อีกหลายคำถามเกิดขึ้นตามมา
มีหลายครั้งที่น้ำค้างพยายามจะค้นหาความจริง อยากคลายปมเชือกของความสงสัยที่ขมวดเกลียวเอาไว้อย่างแน่นหนา ในบางเปราะบางปมของมันที่เธอพยายามคลี่คลายจนเกือบจะได้คำตอบ ทว่าสุดท้ายมันกลับขมวดเกลียวให้แน่นยิ่งกว่าเก่า ซึ่งมันทำให้เธอเริ่มเหนื่อยล้าที่จะหาคำตอบให้กับตัวเอง
“วันนี้เรามีชาวต่างชาติร่วมทัวร์มาด้วยนะคะ...” เสียงหวาน กังวานผ่านโทรโข่ง
แม้น้ำค้างไม่เอ่ยถึงรอนนี่ ทว่าด้วยร่างกายที่สูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาสะดุดตาไม้แพ้พระเอกหนังฝรั่ง ก็ทำให้เขากลายเป็นที่สนใจอยู่แล้ว และในทันทีที่เธอเอ่ยถึงเขา สายตาทุกคู่ก็พุ่งตรงไปที่รอนนี่ในทันที
“มีใครอยากรู้จักเพื่อนใหม่ที่เพิ่งร่วมทัวร์มากับเราด้วยความบังเอิญคนนี้มั้ยคะ”
คนพูดชำเลืองไปที่รอนนี่
มีเสียงกรี๊ดกร๊าดมาจากผู้หญิงสาวสองคนที่นั่งอยู่ตรงเบาะด้านหลัง ดั่งลั่นแทนคำตอบ
เมื่อได้ยินน้ำค้างเอ่ยชื่อของเขา รอนนี่รีบหยัดร่างขึ้นจากเบาะที่นั่ง หันหน้ามองเข้าไปภายในตัวรถ โค้งคำนับและยกมือไหว้ไปพร้อมๆกัน
“ซา-วัด-ดี-คร๊าบ ผมชื่อรอนนี่คร๊าบ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะคร๊าบ”
แม้สำเนียงไม่ชัดนัก แต่ก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงฉะฉาน ยิ้มแฉ่งตอบรับไมตรีจากใบหน้าของเพื่อนร่วมทัวร์ที่มองเขาอยู่ในเวลานั้นด้วยแววตาเป็นมิตร และดูเหมือนว่าสายตาทุกคู่ก็ทอดมองมายังรอนนี่ด้วยความรู้สึกเอ็นดูคนที่เดินทางไกลมากว่า 5,000 ไมล์ สร้างความประทับใจให้กับรอนนี่เป็นอย่างมาก
“ได้รู้จักคุณรอนนี่กันทุกคนแล้วนะคะ สำหรับใครที่นั่งอยู่ใกล้ๆ แต่ยังไม่รู้จักกันกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ...ก็ถือโอกาสทักทายทำความรู้จักกันไว้นะคะ เพราะเรายังต้องเจอหน้ากันไปตลอดสามวัน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หญิงสาวหยุดในช่วงสั้นๆ หันไปบอกกับเพ็ญซึ่งเป็นเพื่อนสาวร่วมทีมงานให้เริ่มแจกน้ำดื่ม ครั้นแล้วจึงหันมากระเซ้าเย้าหยอกกับลูกทัวร์อีกครั้ง เรียกเสียงหัวเราะครื้นเครง ชวนคุยให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายไปพร้อมๆกัน
“ใครมาเป็นคู่บ้างคะ...มีมั้ยเอ่ย”
มีลูกทัวร์สามสี่คู่ยกมือขึ้นทันทีที่เธอถาม
“ใครมาแบบไร้คู่บ้างคะ…โสดค่ะโสด” เธอถามอีก
คราวนี้ยกมือกันพรึ่บพรั่บ ทั้งที่โสดจริงและไม่จริง มีบางคนแกล้งจับมือเพื่อนยกขึ้นโดยเจ้าตัวไม่ทันตั้งตัว
“ใครมีคู่มาด้วยก็ดีไป...แต่ถ้าใครยังโสดก็อย่าได้เป็นกังวลนะคะ...เดี๋ยวเราไปหาเอาข้างหน้าค่ะ” ทันทีที่เธอพูดจบ เสียงฮาก็ดังลั่นขึ้นอีกครั้งด้วยความชอบอกชอบใจ
“พูดอย่างนี้แสดงว่าคนพูดยังไม่มีแฟนใช่มั้ยครับ”
หนุ่มใหญ่ ท่าทางใจดี ขี้เล่น แซวขึ้นเบาๆ
“อันที่จริงก็ไม่อยากโสดหรอกนะคะ...แต่ว่ามันขายไม่ออกค่ะ นี่ก็รออยู่ว่าจะมีหนุ่มตาถั่วคนไหนจะหลงมาติดบ่วงเข้าสักวัน อ้อ!...ขอโทษนะคะ ลืมแนะนำตัวว่าคนที่กำลังพูดอยู่นี้ชื่อ ‘น้ำค้าง’ นะคะ เรียกสั้นๆว่า ‘น้ำ’ ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวถือโอกาสแนะนำตัวอีกครั้ง
“ให้เรียกคุณ ‘น้ำ’ แต่ห้ามเรียกคุณ ‘ค้าง’ ใช่ไหมครับ’ ผู้ชายคนเดิมเอ่ยแซวขึ้นมาอีก
“ เอิ่มมม…”
เธอลากเสียงยาวที่ท้ายประโยค หยุดนิดนึง แกล้งเอียงคอ ทำสีหน้าคิดหนัก ไม่ได้รู้สึกตกใจกับคำพูดของชายคนนั้น ครั้นแล้วก็ตอบโต้โดยทันที