ตอนที่ 9

1745 Words
ชอบให้ถนนมีสภาพทุรดันดารเหมือนเดิม เพราะเมื่อใดที่ความเจริญคลืบคลานเข้ามาได้ง่ายๆ ตราบนั้นวิถีชีวิตเดิมๆก็จะถูกทำลายลงได้โดยง่ายเช่นกัน                 น้ำค้างเลือกมาพักที่โฮมสเตย์ของลุงเกษม เป็นเพราะชอบแนวคิดของแก ในการรักษาสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตเดิมๆเอาไว้ เรือนพักแต่ละหลังจึงแทรกเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมได้อย่างกลมกลืน ไม่ขัดแย้ง ปลูกสร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยไม้ ฝาผนังยังคงเป็นไม้ฟาก หลังคามุงด้วยใบจากและใบตองตึง มีนอกชานเชื่อมต่อกับตัวบ้าน ด้านในก็มีตู้ โต๊ะ เตียง พอดีกับความจำเป็น                 ที่นี่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ภายในเรือนแต่ละหลังจะมีแค่พัดลม ทว่าด้วยหน้าต่างและเพดานโปร่งโล่ง อีกทั้งความชื้นเย็นจากทิวเขาและราวป่า ก็ช่วยให้กระแสลมระบายถ่ายเทมามิได้ขาด เหนือขึ้นไปจากเตียงนอน ยังคงใช้มุ้งกันยุงที่เป็นผ้าสีขาว โปร่งบางแบบโบราณ แต่แทนที่จะขึงสี่มุม ก็ดัดแปลงด้วยการผูกโยงให้ระย้าย้อยลงมาจากคาน ชายของมันทิ้งเรี่ยไปกับพื้น คลี่คลุมลงมาทั้งเตียง หมอนและที่นอนดูสะอาดสะอ้าน ภายในเรือนพักแต่ละหลังจะมีตะเกียงลานแขวนแขวนเอาไว้หน้าบ้าน แสงสีส้มอมแดงที่เรืองสไว กลมกลืนไปกับบรรยากาศของป่าเขาลำเนาไพรในยามโพล้เพล้ได้อย่างลงตัว ลูกทัวร์ที่เคยมาพักต่างก็ประทับใจ เพราะลูกค้าที่เลือกมากับทัวร์วัฒนธรรมค่อนข้างจะมีความเรียบง่าย จึงไม่ได้คาดหวังความสะดวกสบายอย่างที่รีสอร์ตหรูๆหรือโรงแรมระดับห้าดาวเตรียมเอาไว้ให้                 แม้เรือนพักในโฮมสเตย์แห่งนี้จะมีห้องน้ำส่วนตัว ทว่าก็มีไม่น้อยที่อยากลงไปอาบน้ำในคลอง เมื่อตระหนักว่าคงมีโอกาสไม่บ่อยนักที่จะพาชีวิตมาสัมผัสกลิ่นอายธรรมชาติได้ใกล้ชิดถึงเพียงนี้                 ‘ใครเบื่ออาบน้ำในอ่างจากุซซี่…ที่นี่มีบึงให้ว่ายเล่น’                 คือคำพูดของลุงเกษมเมื่อนานมาแล้ว ที่เคยกล่าวกับลูกทัวร์ที่มาพักในโฮมสเตย์แห่งนี้ น้ำค้างยังคงจำได้ไม่ลืม                 “ลุงให้คนเตรียมห้องพักเอาไว้แล้ว อะไรขาดตกบกพร่อง เรียกใช้เด็กๆได้เลยนะ”                 เจ้าของรีสอร์ตกล่าวกับหลานสาว ด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเอง บ่งบอกถึสายสัมพันธ์ของความเป็นลุงกับหลานที่รู้จักมักคุ้นกันมาตั้งแต่น้ำค้างยังเป็นเด็กๆ น้ำค้างคิดเอาไว้ในใจว่าค่ำๆ ภายหลังเสร็จจากดูแลลูกทัวร์ จะแวะไปคุยกับลุงเกษมและป้าสำอางที่เรือนใหญ่ให้หายคิดถึง                                “ขอบคุณค่ะลุง”                 น้ำค้างตอบ ขณะที่เพ็ญกำลังคุยกับป้าสำอางเรื่องอาหารค่ำสำหรับคณะทัวร์ ซึ่งในขณะนั้นต่างก็แยกย้ายกันไปตามห้องพัก แต่ละหลังไล่เลียงเป็นแนวยาว เลาะเลียบไปตามบึงน้ำ นับได้ราวๆ 40 หลัง                 “ถ้าอาบน้ำเสร็จแล้ว หนึ่งทุ่มตรงให้ทุกคนมาพร้อมกันตรงนี้นะคะ สำหรับใครที่ไม่ชอบอาบน้ำในห้องน้ำ ชอบแบบโล่งโจ้งก็ลงอาบในบึงได้เลยนะคะ”                 น้ำค้างตะโกนผ่านโทรโข่ง ย้ำถึงเวลานัดหมาย ผายมือไปยังศาลาไม้ริมน้ำที่โอบล้อมไปด้วยบึงบัวหลวง อวดดอกสีชมพูสะพรั่งไปทั้งบึง กลิ่นเกสรหอมเย็นกำจายไปทั่วทั้งบริเวณ ได้ยินเสียงนกกระจาบทองเจื้อยแจ้วออกมาจากเกสรบัวที่มันกำลังลงไปตีปีกคลุกเคล้าเล่นอย่างสบายอุรา ราวกับลืมไปว่าเวลาจวนเจียนจะค่ำ                 “คุณน้ำจะลงเล่นด้วยกันใช่มั้ยครับ” ใครคนหนึ่งแซวขึ้นมา                 “เห็นทีว่าคงต้องขอตัว…น้ำกลัวปลิงค่ะ” เธอส่ายหน้า                   เมื่อลูกทัวร์เริ่มแยกย้าย น้ำค้างเดินสำรวจบริเวณที่เตรียมเอาไว้สำหรับกินข้าวเย็นร่วมกัน แลเห็นคนงานเริ่มนำโต๊ะ เก้าอี้ ออกมาตั้งเรียงราย ใกล้ๆกับระเบียงเตี้ยๆที่มีแสงตะเกียงเรืองไสว ตั้งห่างกันเป็นระยะๆอยู่บนราวระเบียงที่บางส่วนของมันยื่นเป็นสะพานออกไปสู่บึงบัว ได้ยินเสียงกระแสน้ำเอื่อยไหลลอดใต้ถุนระเบียงอยู่ตลอดเวลา                 ที่ชายป่า แลเห็นสายหมอกลอยเรี่ยยอดไม้ เป็นสายรางๆอยู่ในแสงแดดลำสุดท้ายของวัน บริเวณที่พักแห่งนั้นถูกโอบเอาไว้ด้วยอ้อมกอดของขุนเขา บางขณะที่กระแสลมหอบเอาความชื้นออกมาจากผืนป่า เดาได้ไม่ยากว่ากลางดึกอากาศคงหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ   ลุงแหลมและอ๊อด เด็กหนุ่มรูปร่างสัดทัดที่ติดรถมากับลุงแหลมเป็นประจำ พักรวมกันที่เรือนหลังแรกสุด ใกล้กับจุดที่จอดรถทัวร์ แรกทีเดียวลุงแหลมออกปากว่าจะนอนในรถ ทว่าน้ำค้างก็คะยั้นคะยอให้ลงมานอนในเรือนพัก ด้วยเห็นว่าลุงแหลมเองก็ขับรถมาเหนื่อยๆ ควรจะได้นอนหลับพักผ่อนให้สบาย ด้วยตระหนักว่าสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตของผู้โดยสารก็ขึ้นอยู่โชเฟอร์นั่นเอง ส่วนน้ำค้างและเพ็ญนอนรวมกันที่เรือนหลังท้ายสุดของโฮมสเตย์แห่งนั้น สาเหตุที่เลือกเรือนหลังนั้น ไม่ใช่ด้วยเหตุผลว่ามันเงียบสงบหรือพิเศษกว่าเรือนพักหลังอื่นๆแต่อย่างใด หากเป็นเพราะเห็นว่าเรือนหลังนั้นอยู่ไกล ไม่อยากให้ลูกทัวร์ต้องเดินไกล เวลาจะไปกินข้าวหรือทำกิจกรรมร่วมกันที่เรือนใหญ่ น้ำค้างจึงเลือกที่จะเดินไกลเสียเอง                 เมื่อใกล้เวลานัดหมาย หลังจากใช้เวลาไม่นานเพื่ออาบน้ำและแต่งตัว หญิงสาวทั้งสองก้าวออกมาจากเรือนพักพร้อมๆกัน ในฐานะคนนำทัวร์ จึงต้องไปสำรวจความเรียบร้อยล่วงหน้า ก่อนที่ทุกคนจะมารวมตัวกันเพื่อรับประทานอาหารค่ำ                 ระหว่างที่น้ำค้างและเพ็ญก้าวมาตามถนนสายเล็กๆ ทอดยาวออกไปจากเรือนพักหลังสุดท้าย ถัดไปก็เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ เห็นบัวดอกงาม เบ่งบานอยู่กลางบึง แลสะพรั่ง                 จู่ๆ…พลันสายตาของสองสาวก็เหลือบไปเห็นรอนนี่กำลังแหวกว่ายอยู่ริมฝั่งด้วยความสนุกสนาน เพลิดเพลินอยู่เพียงลำพัง                 “ทำอะไรคะ…คุณรอนนี่”                 เพ็ญตะโกนถามเป็นเชิงแซว ทั้งที่เห็นอยู่ว่าเขากำลังเล่นน้ำ                 “อาบน้ำครับ”                 ชายหนุ่มตะโกนตอบกลับมาเสียงดัง พร้อมกับทิ้งปลายเท้าลงไปสัมผัสพื้นโคลนเบื้องล่าง เปลี่ยนจากท่าที่กำลังลอยตัวอยู่ในขณะนั้นไปสู่ท่ายืนขึ้นจากน้ำ ครึ่งหนึ่งของร่างกายช่วงล่างยังคงแช่อยู่ในน้ำ ส่วนที่โผล่พ้นน้ำคือแผงอกและปั้นไหล่กำยำ ผึ่งผายอยู่ในเปลวแดดลำสุดท้ายของวัน อีกไม่นานพระอาทิตย์คงจมหาย ประกายสีทองอาบสะท้อนอยู่บนผิวอันเลื่อมพราวไปด้วยคราบน้ำ ขณะที่ผิวน้ำบริเวณนั้นยังทิ้งร่องรอยกระเพื่อมจากการดำผุดดำว่ายเมื่อครู่ แลเห็นเป็นระลอกคลื่น ค่อยๆเคลื่อนเข้าสู่ฟัง                 รอนนี่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเสยผม รวบน้ำที่เปียกชุ่มไปทั้งศีรษะเอาไปรวมกันไว้ที่หลังท้ายทอย ตอนที่เขาสะบัดผมเพื่อไล่น้ำ ละอองบางส่วนกระเซ็นอยู่ในลำแสงที่สาดย้อนมาจากทางด้านหลัง บ้างราดเรี่ยลงไปที่แผ่นหลัง ท่าทางที่เป็นธรรมชาติเหล่านั้น ยิ่งเพิ่มความเซ็กซี่มีเสน่ห์ให้กับชายหนุ่มโดยที่เขาอาจจะไม่รู้ตัว                 “อาบน้ำหรือยังครับ…มาเล่นน้ำด้วยกันมั้ยครับ” เขาตะโกนชวนคนที่เดินผ่านมาอย่างอารมณ์ดี                 “ตามสบายเลยค่ะคุณรอน ว่าแต่อย่ามัวเล่นน้ำเพลินจนลืมกินข้าวนะคะ”                 น้ำค้างเตือน ขณะที่สายตากวาดสำรวจร่างกำยำด้วยความลืมตัว ถ้าหากไม่สังเกตผ้าขาวม้าที่ชายหนุ่มปลดวางเอาไว้ข้างกอหญ้า ก็แทบจะไม่รู้ว่าท่อนล่างของรอนนี่อีกครึ่งที่แช่อยู่ในน้ำนั้นล่อนจ้อนเปลือยเปล่า                 “ระวังปลิงนะคะคุณรอนนี่” เพ็ญนึกอยากแกล้ง จึงตะโกนออกไปเช่นนั้น ไม่คิดว่าเขาจะกลัว                 “อะไรนะครับ”                 เขาทำท่ายกมือขึ้นป้องหู ฟังเสียง                 จากนั้นจึงตะแคงใบหน้าถามด้วยความไม่เข้าใจ                 “ว่าอะไรนะครับ”                 “ปลิงน่ะค่ะ…ปลิง”                 เพ็ญพยายามอธิบาย แต่ไม่เป็นผล รอนนี่ไม่เข้าใจคำว่า ‘ปลิง’                 “เอ่อ…Land leech” น้ำค้างตะโกนคำนั้นออกไป ซึ่งหมายถึง ‘ปลิง’ ในภาษาอังกฤษ                 “Oh my god” รอนนี่อุทานลั่น                 พรวดพราดขึ้นมาจากน้ำโดยลืมเสียสนิทว่าขณะนั้นตัวเองกำลังล่อนจ้อน บางส่วนของสรีระที่ควรปิดซ่อนเอาใต้น้ำ จึงโผล่เผยขึ้นมาอวดสายตาสาวๆอย่างไม่ตั้งใจ เหวี่ยงไหวไปกับจังหวะย่ำโคลนก่อนจะกระโจนขึ้นจากน้ำ พร้อมๆกับเสียงอุทานลั่นราวจะประสานของหญิงสาวที่เอามือปิดตาแทบไม่ทันว่า                 “ปลิงยักษ์”                 ได้ยินดังนั้น สีหน้าบ่งบอกถึงความอายขึ้นมาในทันที เมื่อรู้สึกถึงความเย็นวาบในจังหวะที่สายลมทุ่งวูบผ่านร่างกาย ไม่วายที่จะเหลือบไปเห็นสองสาวอ้าปากค้างจนริมฝีปากเป็นรูปตัวโอ ดวงตาเบิกโตขณะสายตาจดจ้องมองของสงวนของเขาอย่างไม่ตั้งใจนัก                 รอนนี่รีบกุมกล่องดวงใจด้วยสองมือซึ่งไม่มีทางจะปิดได้มิด จากนั้นก็โดดไปคว้าผ้าขาวม้า แลเห็นก้นขาวๆไหวๆเข้าไปหลบหลังพงหญ้ากกที่ขึ้นรกอยู่ริมตลิ่งด้วยความอาย                 “คราวนี้มีหวังได้เป็นตากุ้งยิงแหงๆ”                 น้ำค้างเปรยขึ้นลอยๆ ครั้นแล้วก็หันมามองหน้าเพ็ญที่อยู่ในอาการอึ้งกิมกี่เช่นกัน จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกันลั่นทุ่ง จูงมือกันวิ่งออกไปจากตรงนั้นราวกับได้เห็นการปรากฏตัวของปลิงยักษ์ หรือไม่ก็สัตว์ประหลาดอันน่าขนลุกขนพองที่ผุดขึ้นมาจากบึงบัว ทิ้งให้รอนนี่ก้มๆเงยๆสำรวจร่างกายตัวเองว่ามีปลิงแอบเกาะอยู่ตรงส่วนไหนของร่างกายหรือเปล่า                   
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD