“พี่ใหญ่จูบลิน พี่ใหญ่...” ไพลินรวบรวมสติอันกระเจิดกระเจิงเพื่อกล่าวต่อต้านพี่ชาย ในหัวหมุนติ้วด้วยความสับสน
“ก็จูบไง”
“เราจูบกันไม่ได้ เราเป็นพี่น้องกัน”
“ไม่เห็นเป็นไร” เขาอยากบอกความจริงกับเธอใจแทบขาด แต่คำพูดของแม่ย้ำเตือนเขาอยู่ทุกลมหายใจ แล้วความรู้สึกที่เขามีต่อไพลินเล่าจะทำอย่างไร ปล่อยทิ้งไปหรือว่าเขาต้องหนีออกจากบ้าน มาอยู่ต่างหากจะได้ไม่พบไม่เจอน้องสาวนอกไส้คนนี้ แล้วจะหาเหตุผลอะไรบอกแม่ ทั้งๆ ที่ดูแลกันมาตลอด
หรือ...มีเมีย ให้รู้แล้วรู้รอด เพื่อจะได้หลุดพ้นจากความรู้สึกทรมานนี้
พอได้ฟังคำว่าไม่เห็นเป็นไรจากปากที่เคารพและนับถือ ไพลินไม่อาจทานทนแรงเสียดทานในคำว่าพี่น้องได้ จึงพุ่งออกไปจากห้องด้วยหัวใจแตกยับและร้าวราน
“ลิน !!” พี่ใหญ่ได้แต่เรียกหากแต่ขาที่ควรก้าวตามไพลินไปกลับก้าวไม่ออก ได้แต่ยืนมองร่างบอบบาง นุ่มละมุน หอมกรุ่นแห่งวัยสาวเต็มตัววิ่งจากไป
ทุกคนที่เห็นไพลินวิ่งออกจากห้องวีไอพีต่างมองด้วยหญิงสาว และเกิดมีคำถาม หากแต่เข้าใจตรงกันว่าคงโดนผู้เป็นพี่ชายดุ เพราะดันเข้าไปขัดจังหวะช่วงเวลาหรรษากิจกรรมเข้าจังหวะพอดี
“นี่หล่อนมีอิทธิพลต่อเจ้านายมากเลยนะยะ” เพื่อนร่วมงานสายเดียวกัน สายนั่งดริ้งกล่าวเย้าแหย่จี๊ด สาวสวยประจำ โซบิ๊ก ผับหรูแห่งนี้
“ยังไง” จี๊ดที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ มีแก้วเครื่องดื่มถืออยู่ในมือหันมาทางเพื่อนร่วมงาน คนที่เปรยขึ้นเมื่อกี้
“อ้าว ก็ทำให้พี่น้องเขาแตกคอกันได้”
“หึ...มือระดับนี้แล้ว เจ้านายหลงฉันยังกับอะไรดี ยัยเด็กบ้านั่นดันทะเล่อทะล่าเข้าไป ก็สมควรโดน แหมฉันกำลังจะอมของกลางอยู่แล้วเชียว ยัยเด็กนั่นดันพรวดเข้ามาพอดี อดกินของอร่อย” จี๊ดคุยโวจะไม่ให้คุยได้อย่างไร ในเมื่อเด็กนั่งดริ้งทุกคนไม่มีใครเคยได้บริการเจ้านายสักคนยกเว้นหล่อนเท่านั้น แล้วทุกครั้งที่ไปรับใช้บริการเจ้านายถึงเตียง หล่อนก็ได้ทิปเป็นฟ่อนๆ คืนนั้นแทบไม่ต้องนั่งเชียร์แขกให้เมียปาก เมื่อยจิ๊เลยทีเดียว
ไพลินไม่รู้จะไปที่ไหนดีนอกจากกลับบ้าน เรื่องราวที่เธอประสบวันนี้ยอมรับมีสองขั้วในสมอง สับสน มึนงง แล้วไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับหัวใจ พี่ใหญ่จูบเธอ แล้วยังบอกว่า ก็จูบไง ไม่เห็นเป็นไร หน้านิ่งๆ ไม่มีทุกข์ร้อน ทั้งๆ ที่ผิดศีลธรรมความเป็นสายเลือดอย่างร้ายแรง
แต่...สำหรับเธอได้รู้สึกมากมายแปลกประหลาด กับพี่ชายตัวเองไม่ผิดหรืออย่างไร ร่างบอบบางทรุดนั่งลงม้านั่งในสวนหน้าบ้าน คิดอะไรไม่ตกสารพัด ภายในบ้านยังคงเปิดไฟสว่าง แม่นวลคงยังดูโทรทัศน์อยู่เพราะยังไม่ดึกมาก ตอนที่วิ่งออกจากผับนั่งแท็กซี่ตรงมาบ้านไม่ได้ดูเวลา เพียงแต่อยากหนีออกห่างพี่ใหญ่เพื่อทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นเท่านั้น
โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงกรีดร้อง มือบางล้วงหยิบออกมาดู พบว่าเป็นพี่ใหญ่ที่โทร.เข้ามา ไพลินลังเลในการจิ้มรับสาย ไม่รู้จะปั้นเสียงอย่างไรให้แนบเนียน เธอทุกข์ปลงไม่ตก แต่พี่ใหญ่มองเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขา
ขณะกำลังจะกดรับสายพลันเสียงแม่นวลดังขึ้น ไพลินจึงไม่ได้กดรับ หันไปมองแม่นวลซะก่อน
“นั่นใครน่ะ ใช่ลินไหม”
“อ๋อ...ใช่ค่ะแม่” ไพลินตอบแม่นวลกลับไป พร้อมกับปรับเสียงให้ปกติที่สุด เก็บอาการสับสนไว้ภายใต้ดวงหน้าสวยน่ารัก ช่างอ้อนให้มากที่สุด ร่างบอบบางก้าวเดินไปหยุดตรงหน้าแม่นวล รู้สึกอยากกอดท่านมากจึงยกแขนสวมกอดแม่นวล
“อะไรทำอย่างกับไม่เคยกอด ทำไมกลับมาเร็ว แล้วพี่ใหญ่ล่ะ”
“พะ...พี่ใหญ่ติดงานค่ะ เห็นว่าลินเบื่อๆ เลยให้กลับมาก่อน”
“ตายจริงเวลาแบบนี้ทำไมปล่อยให้น้องมาเองไม่มาส่งแย่จริงเชียวลูกคนนี้” ลูกคนนี้ปกติก็ดูแลน้องดี ไม่ปล่อยให้ไปไหนมาไหนในยามค่ำคืนลำพัง ดังนั้นเชื่อว่าใหญ่ต้องมีเหตุผลในการทำแบบนี้
“ลินขอตัวก่อนนะคะแม่ เหม็นควันเหม็นบุหรี่ที่ผับ แสบตาไปหมดแล้ว” ไพลินหาข้ออ้างเพื่อจะได้ผละไปจากแม่นวล วันนี้สิ่งที่ประสบมารู้สึกไม่ค่อยดี แต่กลับรู้สึกดีอยู่ลึกๆ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องใดๆ เลย
“จ้ะ” แม่นวลยิ้มอ่อนหวาน อบอุ่นแก่ไพลิน
ว่าแต่ได้ยินลูกชายบอกว่าจะให้ไพลินทำงานแต่ในสำนักงาน ไม่ให้ออกมาตรงส่วนผับ แล้วทำไมไพลินบอกว่าเหม็นควันบุหรี่ หรือเพราะออกไปตรงส่วนผับอาจจะโดนพี่ชายดุ ไพลินจึงงอนแล้วรีบกลับบ้านลำพัง แม่นวลได้แต่คิดตามรางบอบบางผู้สวยวันสวยคืน ที่ก้าวจากไปแม่นวลนางได้แต่แอบยิ้ม ไม่นึกรังเกียจอะไรในตัวไพลินเลย หากต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูอีกในฐานะหนึ่ง เพราะเท่ากับว่านางได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบตามที่มรกตขอไว้ ก่อนจากไปชั่วนิรันดร์ นวลยังรู้สึกว่าตัวเองกุมมือสัญญากับมรกตอยู่หมาดๆ
เผลอแป๊บเดียวไพลินโตเป็นสาวเต็มตัว นี่ผ่านเวลาไปนานขนาดนี้ได้อย่างไร
ตกกลางดึกพี่ใหญ่กลับมาที่บ้าน ปกติเขาจะไม่กลับมาเวลานี้ แต่เพราะมีเรื่องให้คิด จึงต้องกลับมาก่อนกำหนดเวลา ก่อนก้าวเข้าห้องเขามองไปยังห้องน้องสาวที่อยู่มุมสุดตรงข้ามห้องพ่อกับแม่ มองแล้วก็มองไม่รู้ควรทำอย่างไร เขาเองก็คิดมากเรื่องที่อดใจไม่ไหว เขาเองก็คาใจในปฏิกิริยาที่ไพลินแสดงออก
เธอไม่รังเกียจไม่ขัดขืน ปล่อยให้เขาจูบ ลูบคลำ ทั้งใช้ลิ้นพันเกี่ยว อยู่นิ่งๆ ซ้ำยังมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อจูบ เขาประลาดใจรู้สึกได้ รับรู้เป็น หรือจะปล่อยเรื่องนี้ให้หายไปตามกาลเวลา ทำประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาจะทนได้แค่ไหน เท่านี้ก็หึงหวงไพลินจนระงับไม่อยู่ ในเวลาที่เห็นน้องสาวนอกไส้คนนี้อยู่กับผู้ชาย โปรยยิ้มหว่านเสน่ห์กับผู้ชายหลายๆ คน แค่หญิงสาวขยับยังไม่ทันยิ้ม ผู้ชายมากหน้าหลายตา ต่างพร้อมสยบแทบเท้าเธอแล้ว
เขาผู้เป็นมดที่แฝงอยู่พวงมะม่วง ควรแสดงความเป็นเจ้าของอย่างไร บอกความจริงที่ถูกเก็บงำไว้ตลอดระยะเวลายี่สิบปี ตนจะได้มีสิทธิ์ครอบครองในตัวน้องสาว อย่างไม่ต้องปิดบังความรู้สึก หรือ...อยู่ห่างจากเด็กในปกครองให้มากที่สุดว่าแต่ยากทุกกรณี
พี่ใหญ่ทิ้งกายลงนอนบนเตียงนุ่ม ยกมือขึ้นก่ายหน้าผากด้วยความร้อนรุ่ม คิดมากคิดถึงสัมผัสกับไพลินแล้วหัวใจหนุ่มใหญ่ที่เคยแข็งแกร่ง ควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่ครั้นพอได้ประกับจูบปากกับน้องสาวนอกไส้ ที่ตัวเองค่อนข้างคิดไม่ซื่อหมักบ่มไว้นานแล้ว การควบคุมในตัวเองพลันแปรเปลี่ยนเป็นใจง่าย หมายจับน้องในปกครองกินเป็นอาหาร
หรือว่าเขา...ควรรอเวลาอีกสักหน่อย พี่ใหญ่พยายามปลง สุดท้ายจึงตอบตัวเองได้อย่างนั้น แล้วข่มตาให้หลับหลังจากจัดการชำระล้างร่างกายเรียบร้อยแล้ว
ครั้นพอเช้าพี่ใหญ่ถูกแม่ปลุกให้ตื่น เพราะต้องไปส่งไพลินไปเรียน เขาปั้นหน้าไม่ถูกในตอนที่เข้าไปนั่งในรถเคียงข้างกับไพลิน เธอเองก็เงียบเขาจึงเลือกเงียบไปตลอดทาง
ตลอดทางไปยังมหาวิทยาลัยโดยที่ปีนี้ไพลินเรียนปีสุดท้ายจะได้จบเป็นบัณฑิตสมใจ เธอตัดใจนั่งเงียบมองออกไปนอกกระจกรถเพียงอย่างเดียว ครั้นพอหันกลับมาก็เจอดวงหน้าหล่อเหลาคมคร้าม มองมือ มองหน้า มองคาง พร้อมเผลอไปมองริมฝีปากบางได้รูปที่เคยประกบจูบบดขยี้ปากเธอจนร้อนผ่าว ราวกับต้องการดูดวิญญาณออกจากร่าง
“นี่...” เสียงทุ้มทรงอำนาจดังขึ้น
ปลุกความคิดเตลิดเปิดเปิง ไปถึงจูบเมื่อคืนจนร้อนรุ่มนั้น ร่างบอบบางที่เอาแต่นิ่ง สายตาจับจ้องมองพี่ใหญ่อยู่เงียบๆ ถึงกับสะดุ้งโหย่ง