“ไม่มีหรอกค่ะ หนูอยู่กับแม่หนูสองคน” เด็กหญิงเอ่ยออกมาเสียงเศร้า สิ่งที่เด็กหญิงบอกยิ่งทำให้คุณจักรพันธ์เกิดความเวทนามากกว่าเดิม
“โอเค งั้นหนูไปกับฉัน นั่นไง รถมาแล้ว เราประคองแม่หนูขึ้นรถกันเถอะ” คุณจักรพันธ์กล่าวก่อนที่จะเข้าไปช่วยเด็กหญิงประคองร่างไร้สติของมารดาขึ้นรถ แต่เพราะร่างไร้สติทิ้งตัวไร้น้ำหนัก ทำให้นายชมต้องลงมาช่วยอย่างทุกลักทุเล
และตอนนี้สิ่งที่คุณจักรพันธ์เห็นก็คือลมหายใจที่รวยริน ท่านนึกเป็นห่วงมารดาของเด็กหญิง แต่ตอนนี้สิ่งเดียวที่จะช่วยได้ ก็คือพามารดาของเด็กหญิงไปให้ถึงโรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุด แต่การช่วยเหลือของคุณจักรพันธ์ก็ช้าไปเสียแล้ว เมื่อไปถึงโรงพยาบาลได้ไม่นาน นางพิกุลก็เสียชีวิตลง
ตวิษาร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ในขณะที่คุณจักรพันธ์ก็กอดเด็กหญิงไว้ด้วยความเวทนา เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา คนอย่างคุณจักรพันธ์คงไม่มีทางปล่อยให้เด็กน้อยนี้ไประเห็ดระเหเร่ร่อนที่ไหน คงถึงเวลาที่ท่านต้องคุยกับคุณวลัยภรณ์ภรรยาของท่าน ถึงความช่วยเหลือที่ท่านจะมอบให้เด็กหญิงผู้นี้ ส่วนเรื่องศพของมารดาเด็กหญิง ท่านจะเป็นเจ้าภาพจัดการทุกอย่าง
คนเราหากไม่มีวาสนาต่อกัน ก็คงไม่มีทางได้เจอกันแน่นอน คุณจักรพันธ์คิดเช่นนั้น ดั้งนั้นเมื่อจัดการเรื่องศพของมารดาตวิษาเรียบร้อยแล้ว คุณจักรพันธ์จึงพาเด็กหญิงไปที่บ้าน เพื่อจัดการเปลี่ยนชุดที่มอซอ และคุยเรื่องอนาคตของตวิษากับคุณวลัยภรณ์ภรรยาของท่าน
“นี่เหรอคะ เด็กที่คุณเล่าให้ฟัง” คุณวลัยภรณ์กล่าวด้วยความมีเมตตา หน้าตาน่าเอ็นดูของเด็กหญิงที่ถูกปกปิดไว้ด้วยเสื้อผ้าที่มอซอ ทำให้คุณวลัยภรณ์มองด้วยความเวทนา
“สวัสดีค่ะ” แม้ว่าจะอยู่ในความเศร้าเสียใจ แต่เด็กน้อยก็ไม่ลืมที่จะไหว้คุณวลัยภรณ์ตามที่มารดาสอนมาตลอด
“หวัดดีค่ะ หนูชื่ออะไรคะ” คุณวลัยภรณ์สนใจเด็กหญิงเป็นอย่างมาก ตอนนี้ในใจของท่านมีคำตอบแล้วว่าจะทำอย่างไรกับเด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า
“หนูชื่อตวิษา ชื่อเล่นชื่อตาวค่ะ” เด็กหญิงรีบตอบทันที
“ชื่อเพราะนะเนี่ย ตอนนี้แม่หนูเสียแล้วมาอยู่ที่นี่มาเป็นลูกสาวของฉันอีกคนนะ” คุณวลัยภรณ์เป็นภรรยาที่ใจตรงกับคุณจักรพันธ์เสมอ เธอเอ่ยสิ่งที่ทำให้คุณจักรพันธ์ต้องยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ นี่สินะเขาถึงว่าศีลเสมอกันถึงสามารถอยู่ด้วยกันได้