“...ในคืนที่พระจันทร์ทอแสงทองอร่าม...” เสียงของธอนเวลานี้มีเสียงขู่ของงูดังซ้อนทับกันราวกับว่ามันคือเสียงที่ช่วยย้ำเตือนความทรงจำ “…เพียงแค่ปลดเปื้องอาภรณ์บนร่างกายออก...ทุกอย่างในชีวิตจะเปลี่ยนไปตลอดกาล...”
“อะ...” ฉันหลุดเสียงร้องเบาๆ เมื่อปลายนิ้วนิ้วชี้ถูกลากผ่านเนินออกไปแบบถากๆ พร้อมด้วยคำพูดประโยคต่อมารางกับต้องการย้ำให้ขึ้นใจ
“มาหาพี่...ที่ต้นโอ๊ค...คืนนี้ อย่าลืมล่ะ...โบอา”
ฉันไม่รู้ว่าธอนคิดจะทำอะไร ถึงได้ทวงคำสัญญาออกมาแบบนั้นและถึงแม้ว่าตลอกวันนี้ทั้งวัน เราจะนั่งเรียนข้างกันตลอดก็ตาม ฉันก็ไม่กล้าถามเขาอยู่ดี ว่าสิ่งที่เขาต้องการให้ฉันไปหาในคืนนี้ที่ต้นโอ๊คใหญ่ เขาต้องการอะไร...
เพราะแค่นึกถึงคำพูดที่เขาทิ้งไว้
‘เพียงแค่ปลดเปื้องอาภรณ์บนร่างกายออก...ทุกอย่างในชีวิตจะเปลี่ยนไปตลอดกาล...’ ฉันก็เหมือนคนหายใจไม่ออก ทั่วหน้ามันร้อนผ่าวไปหมดจนไม่อยากคิดต่อว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร ถึงได้พูดออกมาแบบนั้น
และเพราะเรื่องคำสัญญานัดหมายของธอนนั่นแหละ มันเลยทำให้วันนี้ฉันไม่มีสมาธิที่จะเรียนรู้อะไรเลยสักอย่าง ซึ่งมันก็เป็นอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งเสียงระฆังบอกเวลาคาบสุดท้ายของวันมาถึง
“เฮนเลย์!” ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงเรียกชื่อของธอนดังขึ้นที่หน้าคลาสเรียน มันคือเสียงของคุณแมทสัน “เดี๋ยวตามผมมาที่ห้องพักครูหน่อยนะ คุณด้วยล่ะ คุณเธอร์แมน”
ฟึ่บ...
“อะ...” และนี่คงเป็นอีกหนที่ฉันต้องสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ ธอนคว้ามือฉันไปกุมไว้บริเวณด้านข้างเก้าอี้หลบเลี่ยงให้พ้นจากสายตาคนอื่น
“วันนี้...คงกลับพร้อมเธอไม่ได้…” ธอนพูดแบบนั้นกับฉัน แต่สายตามองตรงไปที่หน้าคลาสเรียน หากไม่ใช่กับมือที่เริ่มสอดแทรกประสานแน่นผ่านช่องว่างระหว่างนิ้ว “กลับคนเดียวได้ใช่ไหม...โบอา”
“อะ อื้อ...ได้สิ” ฉันบอกเขาแบบไม่ค่อยชินนัก ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายมีสถานะเป็นพี่ชาย อย่างไรก็ตาม ก็ยังรู้สึกไม่ชินกับการมีใครสักคนอยู่ข้างแบบนี้อยู่ดี อีกอย่างการถูกเขากุมมือไว้แบบนี้มันทำให้ฉันเก็บข้าวของบนโต๊ะลงเป้สะพายหลังไม่ถนัด
“แล้วอย่าลืมล่ะ...” ธอนค่อยๆ เอียงหน้ามามองฉันอย่างเชื่องช้า ใช้สายตาคู่เดิมมองมาราวกับจะย้ำชัดต่อจากเมื่อเช้าให้ชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งยังอาศัยจังหวะในช่วงที่คนในห้องไม่สนใจเรา โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้หู และกระซิบ “คืนนี้...พี่จะรอนะ...โบอา”
ใบหูเริ่มเกิดอาการร้อนจัดหลังสิ้นเสียงกระซิบดังกล่าวเงียบไป ไม่ใช่เพราะเสียงเฉื่อยช้าและเย็นแต่เป็นริมฝีปากที่เขาประทับลงมาเบาๆ อย่างเอ็นดูต่างหาก
“คุณเฮนเลย์!” และเพราะเสียงของคุณแมทสันดังเร่งเร้าขึ้นเป็นหนที่สอง ธอนจึงยอมปล่อยมือที่กุมไว้ออก ก่อนจะใช้มือหยัดลงกับโต๊ะลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินผ่านนักเรียนคนอื่นๆ ในห้องตรงไปหาคุณแมทสันตามเสียงเรียก
ไม่ชิน ไม่ชิน อย่างไรก็ไม่ชิน...
ถึงจะบอกว่าธอน เฮนเลย์ คืองูพี่ชายที่เกิดมาพร้อมกับฉันก็ตาม แต่ว่าเขาในเวลาแบบนี้ก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น และฉันไม่รู้สึกชินเลยกับการมีเขาอยู่ข้างๆ
“เฮือก!”
แต่แล้วขณะที่ความคิดกำลังตบตีกับตัวเองอยู่นั้น หัวใจฉันก็เริ่มอาการคล้ายกับถูกบางสิ่งบางบีบรัดจากแววตาคู่หนึ่ง ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว นับตั้งแต่ย้ายมาเรียนที่นี่ เพราะไม่ได้เป็นที่สนใจกลับกันฉันคือตัวน่ารังเกียจ ไอ้ความรู้สึกที่เหมือนถูกใครจ้องมองมันเลยไม่เคยมีมาให้รู้สึก หากแต่ไม่ใช่กับตอนนี้...
ฉันเลื่อนสายตามองไปยังที่มาของความรู้สึกบีบรัดในอก ก่อนต้องสะดุดเข้ากับที่นั่งตัวสุดท้ายบริเวณประตูหลังห้อง ร่างสูงของใครคนหนึ่งซึ่งมีใบหน้าที่ไม่คุ้นตาเท่าไหร่นักตามประสาเด็กใหม่กำลังมองฉันอยู่
ครูส เธอร์แมน...
วินาทีที่เราบังเอิญสบตากัน เธอร์แมนก็ขยับยิ้มให้แทนคำทักทายและการบอกลา ก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้ลุกเดินออกประตูหลังห้องไป ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกจากสายตาแปลกๆ ที่เขาใช้มองก่อนหน้าเพียงเท่านั้น...
“ช่วงนี้คุณกับลูกอย่าออกจากบ้านตอนดึกๆ นะ”
จู่ๆ พ่อก็พูดขึ้นกลางมื้ออาหารค่ำพลางตักสลัดในจานตัวเองเข้าปากด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย แต่สีหน้ากลับดูจริงจังและเคร่งเครียด จนแม่ซึ่งกำลังจัดการกับอาหารในจานตัวเองต้องเอ่ยถามขึ้น
“มีอะไรหรือคะคุณ?”
“ช่วงนี้คนในเมืองเขาลือกันว่าโจรผู้ร้ายมันชุม…” พ่อตอบทั้งที่ปากยังเคี้ยวอยู่ แต่คราวนี้พ่อเลื่อนสายตามองหน้าฉันกับแม่ไปด้วย “ช่วงนี้มีเด็กหายบ้าง สัตว์เลี้ยงหายบ้างสลับกันไม่เว้นแต่ล่ะวัน จนตำรวจปวดหัวกันไปหมด”
“ตายจริง งั้นวันนี้เราคงต้องปิดบ้านกันให้เร็วขึ้นสักหน่อย...” แม่กล่าวเสริมอย่างนึกหวั่นหลังได้ฟังเรื่องเล่าจากปากของพ่อ ส่วนฉันก็ทำแค่เป็นผู้ฟังที่ดีนั่งกินอาหารในจานตัวเองเงียบๆ แต่แล้ว สายตาก็ดันเหลือไปเจอเข้ากับอะไรบางอย่างซึ่งกำลังเลื้อยพันไปตามกรอบไม้ของหน้าต่างด้านนอก ฉันได้ยินเสียงของมันเหมือนตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง
‘Sss…ที่ต้นโอ๊ค...ไพธอนรอเธออยู่...’
และมันทำให้ฉันนึกถึงสัญญาของธอนขึ้นมาได้
‘คืนนี้...พี่จะรอนะ...โบอา’
“บ้านของเรามีน้ำนมเหลือบ้างหรือเปล่าคะ?” เพราะแบบนั้นปากจึงขยับถามออกไป
“นมเหรอจ๊ะ?” แม่ย้อนขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย ก่อนจะพูดขึ้นเองแบบไม่ต้องการคำตอบ “มีจ๊ะ ลูกถามไมจ๊ะ?”
.”หนูต้องการใช้นมค่ะ” ฉันตอบแบบไม่รู้จะตอบอะไร ซึ่งดารตอบแบบนั้นก็ไม่ได้กลายเป็นเรื่องที่ต้องถูกซักถามอะไรมากนัก สำหรับลูกสาวที่คนทั้งคู่เชื่อมั่นว่าเป็นพรจากพระเจ้าอย่างฉันแล้ว การที่คนทั้งคู่หาในสิ่งที่ฉันต้องการได้ คือเรื่องที่จะทำให้พวกเขามีความสุข
“ลูกต้องการใช้เยอะหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ” ฉันส่ายหน้า
“ถ้างั้นก็อยู่ในตู้เย็นจ๊ะ เอาไปใช้ได้เลย” แม่พูดเพียงเท่านั้นก่อนที่อาหารมื้อค่ำจะเริ่มต้นขึ้นอีกหลังจากหยุดชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง คุณพ่อเองก็ไม่ได้ว่าหรือติติงอะไรแต่เลือกที่จะตักสลัดเข้าปากเงียบๆ มิหนำซ้ำยังดูเอร็ดอร่อยกับอาหารในจานเป็นอย่างมาก
“แม่คะ” และมันก็เป็นอีกครั้งที่ฉันนึกอะไรออก จึงต้องเอ่ยขึ้นขัดบรรยากาศบนโต๊ะอาหารออกไปเป็นหนที่สอง “นอกจากนมแล้ว หนูอยากได้น้ำหวานจากเกสรดอกกุหลาบด้วย ที่บ้านเราพอจะมีหรือเปล่า...”
มันอาจจะดูบ้าเกินไปหน่อยที่ฉันดูจะรักษาสัญญากับงูตัวนั้นจนเกินพอดี ทั้งที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่มันต้องการจากฉัน และสิ่งที่ฉันจะได้จากมันคืออะไร แต่ว่าธอนหรือไพธอนเองก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไรกับฉันสักนิด เพราะตั้งแต่เขาปรากฏตัวตรงหน้าในร่างของมนุษย์ หากไม่ได้คิดไปเอง มันก็หลายครั้งมาแล้วที่เขาพยายามแสดงตัวว่ากำลังปกป้องฉันจากการถูกแกล้ง...
‘Sss…ไม่ต้องกลัว...พี่แค่อยากดูแลเธอเท่านั้น โบอา’
อีกอย่างไพธอนเองก็เคยบอกไว้แบบนั้น แถมสิ่งที่เขาพูดมันก็ฟังดูดี
‘Sssss...เป็นเด็กดี เชื่อฟัง พี่จะทำให้โบอา เป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในเมืองนี้...’ ซึ่งถ้าหากว่าเขาสามารถช่วยให้ฉันมีความสุขได้ราวกับปาฏิหาริย์แบบตัวตนที่เขาเป็น มันก็คงไม่ใช่เรื่องน่าเสียหายอะไร หากจะเชื่อคำสัญญาจากพวกงูบ้าง
‘อยากทำ...แบบนี้กับเธอ...มานานแล้ว...’
โดยเฉพาะกับงูซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชาย
‘น้องสาวของพี่...’