ที่สวนดอกไม้นั้นงดงามแต่ก็ไม่ได้มีอะไรให้ทำเท่าใดนัก สุดท้ายแล้วหญิงสาวจึงทำแค่เพียงเลือกเด็ดดอกไม้สวยๆ ส่งไปยังตำหนักของพระมารดาและเสด็จย่าเนื่องจากแต่ก่อนตนก็ทำเช่นนี้บ่อยครั้งซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกินความสามารถ จากนั้นจึงเดินทางไปยังห้องทรงงานของพระบิดาตามที่ได้ส่งคนไปแจ้งไว้ ครั้นพอมาถึงหน้าตำหนักดันพบคนที่ไม่ได้ต้องการอีกแล้ว…
“ถวายพระพรองค์หญิงใหญ่ พระองค์มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มทรงเสน่ห์ที่นางเฝ้าตามรักตามหลงมาหลายภพชาติทำเอาเกือบขมวดคิ้วใส่อย่างลืมตัว ยังดีที่ใบหน้างดงามยังคงรักษารอยยิ้มรับแขกเอาไว้ได้
“ใช่แล้ว เช่นนั้นเปิ่นกงขอตัว” หากเป็นเว่ยซินอี้เมื่อก่อนที่จะได้รับความทรงจำของชาติก่อนๆ กลับมาคงรีบเข้าหาแล้วชวนคุยด้วยถ้อยคำไพเราะ แต่จะให้นางยังคงทำตัวเช่นนั้นกับบุรุษที่เคยสังหารตนได้อย่างไรกัน
ดวงตาคมมองตามแผ่นหลังเล็กไปจนสุดตา ริมฝีปากหยักยกยิ้มกับท่าทางคล้ายลูกแมวของอีกฝ่าย ยามอยากคลอเคลียก็เข้ามาหา แต่ยามไม่สนใจกลับเชิดหน้าใส่ ช่างดูน่ารังแกยิ่งนัก โฉมงามรู้สึกเสียวสันหลังวาบคล้ายจะมีลางสังหรณ์ไม่สู้ดีนัก แต่ก็ปัดมันทิ้งไปเสียในเมื่อตอนนี้มีเรื่องสำคัญมากกว่า
“ถวายพระพรเสด็จพ่อ” ครั้งที่แล้วโดนบ่นเรื่องทำตัวมากพิธี ครั้งนี้นางจึงตั้งใจมาเล่นงิ้วเป็นพระธิดาผู้แสนออดอ้อนโดยเฉพาะ
“มาแล้วหรืออี้เอ๋อร์ มานั่งนี่สิ” ตงหยางฮ่องเต้แย้มสรวลทันทีที่บุตรสาวคนโตมาหา
“ลูกมารบกวนเวลาทรงงานรึเปล่าเพคะ” องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเว่ยนั่งลงยังเบาะรองด้านข้าง
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน พ่อย่อมมีเวลาให้เจ้าเสมอ” ฎีกาในมือถูกวางลงก่อนกงกงคนสนิทจะเข้ามารินน้ำชาเพื่อต้อนรับแขก
“ที่ลูกมาหาเสด็จพ่อวันนี้เพื่อทูลขอให้เฉิงหว่าหวามาเป็นองครักษ์เงาของลูกเพคะ แน่นอนว่าหมายถึงเป็นคนของลูกจริงๆ มิใช่ขึ้นตรงต่อผู้อื่นเพคะ” ดวงตาเรียวหรี่ลงเล็กน้อยยามได้ยินคำขอนั้น แต่ไหนแต่ไรมาการที่เชื้อพระวงศ์จะมีกองกำลังลับเป็นของตนเองย่อมมีบ้าง แต่ไม่มีใครจะมาเอ่ยขออย่างเปิดเผยเช่นนี้ นั่นเพราะถ้าเกิดปัญหาอันใดขึ้นมาคนที่จะถูกสงสัยเป็นอันดับแรกคือคนที่ซ่องสุมกำลังพลเอาไว้
“อืม…เฉิงหว่าหวา…” ตงหยางฮ่องเต้ทำท่านึกเจ้าของนามที่เหมือนจะเคยได้ยินผ่านหู
“ขอประทานอภัยที่ต้องเข้ามาแทรกพ่ะย่ะค่ะ นางคือบุตรสาวคนเล็กของกระหม่อมทั้งยังเป็นสหายตั้งแต่เด็กขององค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ” ร่างเงาสายหนึ่งปรากฏขึ้นเป็นร่างสูงโปร่งในชุดสีดำเข้ารูปและปิดหน้ามิดชิด
“ตระกูลเฉิงเองสินะ” บุรุษสูงศักดิ์พยักหน้ารับ ตระกูลเฉิงคือตระกูลที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ประจำพระองค์มาหลายชั่วอายุคนย่อมไว้ใจได้
“คารวะท่านลุงเจ้าค่ะ ขออภัยที่ข้ามิได้ไปขออนุญาตท่านลุงก่อน ตั้งแต่ประสบเหตุร้ายข้าก็คิดถึงหว่าหวาเป็นอย่างมาก ถ้าอย่างน้อยมีนางคอยดูแลคงเบาใจมากยิ่งขึ้น” หญิงสาวทักทายบิดาของสหายก่อนจะตีหน้าเศร้าประหนึ่งสาวน้อยโดนรังแก ทั้งยังหยิบยกเรื่องการลอบปองร้ายมาอีก
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ อย่าได้ทรงกังวล กระหม่อมมิบังอาจโกรธเคืององค์หญิง” แม้จะรู้จักอีกฝ่ายมาเนิ่นนานแต่ชายหนุ่มก็ยังคงวางตัวเหมาะสมกับฐานะของทั้งสอง
“ชิวซา เจ้าติดขัดอันใดรึไม่” มังกรหนุ่มกลั้นขำจนตัวโยน เขาเป็นถึงผู้ครองแคว้นมีหรือจะมองมารยาสตรีไม่ออก แม้บุตรสาวจะเล่นงิ้วได้อย่างแยบยลก็ตามที
“กระหม่อมไม่มีปัญหาถ้าองค์หญิงใหญ่ทรงต้องการ อย่างไรเสียหว่าหวาเองก็กำลังส่งคำร้องขอย้ายไปอยู่ภายใต้การดูแลของพระองค์อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฉิงชิวซาผู้เป็นหัวหน้าองครักษ์ตอบรับราวกับรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะบุตรสาวแสนรั้นของตนเฝ้าตามตื้อเช้าเย็นจนทุกหน่วยแทบทำงานกันไม่ได้ สุดท้ายจึงได้แต่ยอมรับปาก
“เช่นนั้นพ่อก็จะให้ตามที่เจ้าขอ” เขาเองก็อยากรู้ว่าเด็กน้อยในวันวานจะลงมือทำสิ่งใด ยิ่งยามนี้นางดูรอบคอบและมีเล่ห์เหลี่ยมยิ่งทำให้เขาคาดหวังว่าบุตรีคนโตจะไม่หลงผิดเหมือนเหล่าสตรีที่หน้ามืดตามัวไปกับความรัก
“ขอบพระทัยเพคะเสด็จพ่อ ขอบคุณท่านลุงด้วยเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นลูกไม่รบกวนพวกท่านแล้ว ทูลลาเพคะ” เสียงหวานรับคำอย่างยินดีก่อนจะหนีหายไปอย่างรวดเร็ว การที่หัวหน้าองครักษ์ปรากฎตัวคงมิใช่แค่มาตอบคำถามของนางเป็นแน่
“ดูนางทำเข้าสิ พอได้สิ่งที่ต้องการก็ทิ้งเราเสียอย่างนั้น” ฮ่องเต้หนุ่มส่ายหน้าพลางยกน้ำชาขึ้นจิบ
“แต่พระองค์ดูพอพระทัยกับการเติบโตขององค์หญิงใหญ่นะพ่ะย่ะค่ะ” เรียกได้ว่าเปลี่ยนจากเด็กเอาแต่ใจเป็นผู้ใหญ่ที่คิดอ่านเท่าทันคนภายในเวลาไม่ถึงเดือนจะดีกว่า
“ใครๆ ก็มองว่าที่ฝ่าบาททรงรักองค์หญิงแบบออกหน้าออกตาเพราะต้องการคานอำนาจในวังหลวง แต่แท้จริงแล้วในการแสดงนั้นเป็นความจริงทั้งหมดต่างหาก เรียกได้ว่าหลอกด้วยความจริงก็มิผิดนัก” ช่ายกงกงเอ่ยต่อจากองครักษ์คนสนิท ถ้าจะให้บอกว่าใครคือผู้ที่ร้ายกาจและแนบเนียนที่สุดก็คงไม่พ้นผู้เป็นนายของเขา
ยามเป็นเพียงองค์ชายองค์เล็กพระองค์ทำตนให้ดูไร้พิษสง ใช้ชีวิตด้วยการใส่หน้ากากมาโดยตลอด แม้แต่ไทเฮาเองก็ยังพูดได้ไม่เต็มปากว่ารู้จักบุตรชายของตนดี เพราะพระนางวาดหวังกับบุตรชายอีกคนมากกว่าจึงปล่อยปละละเลยคนที่ไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้ชิงบัลลังก์ได้ ความอดทนขององค์ชายหนักแน่นแม้นถูกบรรดาพี่ๆ ทั้งหลายตัดหนทางครองอำนาจโดยการยุแยงให้ฮ่องเต้องค์ก่อนมอบตำแหน่งฉีอ๋องแล้วไล่ไปเฝ้าหัวเมืองทางใต้ก็ตามที และเพราะเหตุนั้นกำลังพลที่แอบซ่องสุมไว้จึงอยู่ไกลหูไกลตาพวกเขาไปด้วย
โรคระบาดในเมืองหลวงแท้จริงพระองค์ก็พอทราบข่าวมาบ้างว่ามีผู้ป่วยรวมอยู่ในขบวนของราชทูตจึงได้ส่งคำเชิญให้พระมารดาของตนมาเยี่ยมเยือนโดยไม่คิดจะแจ้งข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ เพราะถึงบอกความจริงไปใช่ว่าทุกคนจะเชื่อในสิ่งที่พระองค์พูดและไม่แน่ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงอย่างที่กังวล โชคดีที่ไทเฮาทรงเบื่อหน่ายวังหลวงจึงได้รอดพ้นจากหายนะในครานั้น
“เราก็รักบุตรทุกคนเหมือนกันหมดนั่นแหละ” เว่ยตงหยางเหลือบมองกงกงคู่พระทัยที่กล้าพูดอย่างที่ใจคิดมิกลัวการถูกตัดหัว
“แต่องค์หญิงใหญ่พิเศษกว่าองค์หญิงองค์ชายคนอื่นๆ” เสียงทุ้มเข้มของเฉิงชิวซายอกย้อนนายเหนือหัวเช่นกัน
“นี่เราคงใจดีกับพวกเจ้ามากไปสินะ” พอถูกรุมเช่นนี้สุดท้ายแล้วฮ่องเต้แห่งแคว้นเว่ยจึงใช้อำนาจข่มขู่เสียแทน
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ” ข้ารับใช้ทั้งสองรับคำด้วยรอยยิ้มเล็กๆ นานทีปีหนฝ่าบาทจึงจะได้ผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อยจากการสู้รบปรบมือกับบรรดาจิ้งจอกเฒ่า
“เอาล่ะ เข้าเรื่องได้แล้ว” สารลับฉบับหนึ่งถูกนำขึ้นมาเป็นหัวข้อในการพูดคุย ซึ่งสีหน้าทุกคนแปรเปลี่ยนจากสดใสเป็นถมึงทึงในทันที
……………..
………
..
ตำหนักของหวงกุ้ยเฟย
ร่างบางเจ้าของตำหนักกำลังนั่งจัดดอกไม้ที่ได้รับมาจากบุตรสาวอย่างมีความสุข ใบหน้าหวานแต่งแต้มรอยยิ้มจางๆ มองดูดอกไม้สีสันสวยงามถูกวางในแจกันพระราชทาน ถึงการแสดงออกจะไม่ทุกข์ร้อนแต่ใครจะรู้ว่าภายในใจของสวีโม่โฉวเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
ตั้งแต่เกิดเรื่องราวมากมายในงานล่าสัตว์ ผลการสอบสวนกลับพบว่าเป็นเพียงฝีมือของขุนนางระดับล่างตระกูลหนึ่งเท่านั้น แค่มองจากตรงนี้ยังรู้เลยว่านั่นเป็นเพียงแพะรับบาป คนที่ลงมือยังคงอยู่อย่างสบายใจ ในวังหลังอาจดูเหมือนมีเพียงนางและฮองเฮาที่ห้ำหั่นกันหากแท้จริงแล้วเหล่าสนมขั้นเฟยทั้งหมดล้วนพร้อมเป็นมือมืดที่แทงข้างหลังคนที่ล้ม นอกจากนั้นสนมตัวเล็กตัวน้อยทั้งหลายก็อยากจะเสียบแทนตำแหน่งที่ว่างเมื่อมีโอกาส การใช้ชีวิตอยู่ที่แห่งนี้ใครว่ามีความสุขกันมิรู้ทำไมสตรีมากมายจึงขวนขวายที่จะมายืนยังจุดนี้