บทที่ 3 ตอนที่ 1

2247 Words
หญิงสาวในชุดเดรสชีฟองสีโอลด์โรสอ่อนเปิดไหล่ข้างเดียว ชายกระโปรงพลิ้วเหนือเข่าประดับลูกไม้เบาๆ แลดูสวยงามรับกับรูปร่างอรชรนั้นยิ่งนัก เธอกำลังยืนสำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องนอน วันนี้เป็นวันสำคัญที่พิเศษมากๆ อีกวันหนึ่ง เพราะนอกจากจะเป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบยี่สิบปีบริบูรณ์แล้ว ยังเป็นวันฉลองที่เธอเรียนจบปริญญาตรีอีกด้วย โลกของอรุโณรีย์ วรวงศ์นุเดช ลูกสาวคนเดียวของผู้บริหารระดับสูงในบริษัทหลายแห่งอย่างวงศ์ศาสตร์ วรวงศ์นุเดช ค่อนข้างอยู่ในหนทางที่สวยหรู เธอเป็นดวงใจของบิดา เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขาเนื่องจากมารดาได้เสียชีวิตไปตั้งแต่คลอดเธอได้สามเดือนแล้ว หลังจากนั้นวงศ์ศาสตร์ก็ไม่เคยมีผู้หญิงคนอื่นเข้ามาในชีวิต และไม่มีบุตรธิดาคนอื่นนอกจากเธอ หญิงสาวค่อนข้างภูมิใจในตัวบุพการีของเธอเป็นอย่างมาก แม้เขาจะไม่ค่อยมีเวลาทำหน้าที่ของพ่อมากมาย แต่ก็ถือได้ว่าในขณะที่เขาต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เธอก็ยังเป็นดวงใจเพียงหนึ่งเดียวของท่าน และทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอได้รับไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนสถานที่ศึกษา หรืออะไรก็ตามรอบตัวจะต้องดีที่สุดเสมอ เท่านี้ก็พอจะพิสูจน์ให้แล้วว่า แม้จะไม่ค่อยมีเวลาเป็นส่วนตัวให้กัน แต่ก็เพราะเขาต้องการสร้างรากฐานที่มั่นคงสะดวกสบายให้กับเธอนั่นเอง “คุณหนูเสร็จหรือยังคะแขกเริ่มทยอยกันมาแล้ว คุณท่านให้ป้ามาตามค่ะ”หญิงสาวในชุดงามหันไปตามต้นเสียงก็พบว่าจวงแม่บ้านเก่าแก่กำลังยืนยิ้มรออยู่ “เสร็จแล้วค่ะป้าจวง...ไปกันเลยก็ได้ค่ะ” “คุณหนู...คุณหนูของป้า สวยจริงๆ ค่ะ ดูซิแม่คุณทำไมสวยขนาดนี้คะเนี่ย” เมื่อเห็นเด็กสาวที่ตัวเองฟูมฟักมาตั้งแต่แบเบาะหันหน้ามา ป้าจวงก็รีบรุดเข้าไปโอบกอดด้วยความรัก คุณหนูของนางไม่ค่อยชอบแต่งองค์ทรงเครื่องสักเท่าไหร่ นอกจากจะต้องไปในงานสำคัญๆ บางครั้งบางคราวเท่านั้น แต่วันนี้ อรุโณรีย์ช่างงดงามเหลือเกินในสายตาของนาง หรืออาจเพราะด้วยวัยและสรีระ รูปร่างหน้าตาที่ดูเป็นสาวขึ้นกระมัง อรุโณรีย์ถึงได้ดูอิ่มเอิบ รับกับชุดที่ใส่อย่างลงตัวไม่มีที่ติ ทั้งเครื่องหน้าก็ดูเหมาะเจาะ กลีบปากสีชมพูสดทาทับเพียงลิปกลอสให้พอดูแวววาว คิ้วดกดำโก่งดั่งคันศรนั้น แทบไม่ต้องตกแต่งอะไรเลยปล่อยตามธรรมชาติก็สวยแล้ว ใบหน้าเรียวรูปไข่รับกับดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่ทอประกายระยิบระยับถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางนิดๆ หน่อยๆ ก็ดูงามล้ำอย่างไม่มีที่ติแล้ว พวงแก้มขาวเนียนที่ปัดบรัชออนบางๆ สีชมพูอ่อนให้เข้ากับสีของริมฝีปากเย้ายวน เท่านี้ คุณหนูของบ้านวรวงศ์นุเดช ก็งามเลิศยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนในค่ำคืนนี้แล้ว “ชมเกินไปแล้วค่ะป้าจวง...หนูตัวลอยแล้วนะคะ” “ไม่หรอกค่ะคุณหนูเอพริลของป้าสวยที่สุดจริงๆ ยิ่งได้แต่งตัวแบบนี้ยิ่งสวยที่สุดเลยค่ะ...คุณหนูรีบลงไปดีกว่าคุณท่านกับคนอื่นๆ คงรอกันนานแล้วนะคะ” จวงผละตัวออกจากการกอด แล้วใช้มือข้างหนึ่งลูบไปตามเรือนผมที่ถูกเกล้าไว้เหนือศีรษะแล้วปล่อยปลายที่ม้วนเป็นลอนให้ทิ้งตัวตามความยาวสยาย “ขอบคุณค่ะป้าจวงที่ขึ้นมาตาม เดี๋ยวตอนหนูตัดเค้กป้าจวงต้องไปอยู่ใกล้ๆ หนูนะคะ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงและสายตาที่แสดงออกถึงผูกพันกับผู้ที่เลี้ยงดูมาเหมือนแม่คนที่สอง ซึ่งจวงก็พยักหน้าและยิ้มอบอุ่นส่งให้เช่นเคย “ค่ะ...แล้วป้าจะตามไปนะคะตอนนี้ขอไปดูแลพวกเด็กๆ ที่อยู่ช่วยในงานก่อน” “โอเค...ถ้างั้นหนูลงไปก่อน ป้าจวงห้ามทำงานจนลืมเด็ดขาดนะคะ” อรุโณรีย์ยิ้มสดใสอีกครั้งก่อนจะหอมแก้มที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของกาลเวลาฟอดใหญ่แล้วเดินออกจากห้องลงไปยังชั้นล่างของคฤหาสน์ หญิงสาวหันมองไปรอบๆ ห้องโถงที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ด้วยดอกไม้และของประดับประดาต่างๆ แล้วก็อดที่จะยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้ แม้จะกำพร้าแม่ชีวิตของเธอก็ไม่เคยรู้สึกว่าขาดอะไรไปเลย บิดาได้ทำหน้าที่ไม่เคยขาดตกบกพร่อง แม้จะค่อนข้างมีปัญหาเรื่องเวลา ที่อยู่ด้วยตามประสาพ่อลูกจะไม่บ่อยนัก แต่เธอก็เข้าใจว่าท่านต้องทำงาน และแบกภาระทุกอย่างไว้บนบ่าเพียงคนเดียว สำหรับเธอแล้วพ่อคือผู้มีพระคุณและประเสริฐที่สุดกว่าผู้ชายคนไหนๆในโลก หากจะมีใครสักคนในภายภาคหน้าที่จะมายืนข้างกายนี้ อรุโณรีย์ก็อยากให้คนคนนั้นมีคุณสมบัติเทียบเท่าได้สักครึ่งของท่าน แค่นั้นเธอก็คงจะมีความสุขไปชั่วชีวิตแล้วล่ะ “อ้าวเอพริลมาแล้วเหรอลูก...มาทางนี้สิมารู้จักเพื่อนพ่อก่อน” เสียงทุ้มของบิดาผู้ให้กำเนิด เรียกให้เธอทิ้งห้วงฝันหวานสำหรับวัยสาว แล้วรีบเดินตรงไปยังกลุ่มเพื่อนของท่าน ทุกคนกำลังมองมายังเธอด้วยสายตาตื่นตะลึง สถานที่จัดงานจริงๆ คือบริเวณสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์ที่กว้างขวางและถูกตกแต่งสวยงามด้วยดอกไม้ และแสงไฟหลากสี เธอเดินออกมายืนอยู่ตรงนี้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วยซ้ำไป เพราะมัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามของบรรยากาศ บวกกับความคิดอันหลุดลอยไปชั่วครู่ “คุณสันต์ คุณพนา คุณอรัญครับนี่ลูกสาวของผมเอพริลครับ เจ้าของงานในคืนนี้...” “สวัสดีค่ะคุณลุง...” “สวัสดีจ้ะ/สวัสดีจ้ะหนูเอพริล” หญิงสาวยกมือไหว้ผู้อาวุโสและทุกคนก็รีบยิ้มรับไหว้เธอทันที พร้อมพยักหน้าให้อย่างผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็กเมื่อเห็นความสดใสน่ารักนั้นแบบเต็มๆ ตา “สวย...สวยครับสวยจริงๆ สวยเหมือนแม่ตอนสาวๆ ไม่มีผิดเลย” พนากล่าวชื่นชมบุตรสาวของเพื่อน ในวงการธุรกิจด้วยกัน “จริงครับ...มิน่าล่ะคุณวงศ์ศาสตร์ถึงได้หวงราวกับไข่ในหิน ที่เคยเจอหลายครั้งก็แค่เห็นหนูเอพริลห่างๆ นะ ได้มาเห็นตรงหน้าแบบนี้ ลุงแทบอยากเป็นหนุ่มอีกสักรอบแล้วสิ” อรัญกล่าวเสริมขึ้นอีกเสียง กลุ่มผู้ใหญ่ที่อยู่ล้อมรอบบิดาของเธอ คอยแต่จะยกยอปอปั้นถึงรูปลักษณ์ภายนอกของเธอเท่านั้น อรุโณรีย์ยิ้มให้ทุกคนอย่างเสียไม่ได้ จะมีไหมสักคนจะมาเพื่อยินดีกับความสำเร็จ ที่สามารถเรียนจบในระดับปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง หญิงสาวถอนหายใจหงอยๆ มองไปรอบๆ ก็แทบไม่เห็นเพื่อนฝูงร่วมรุ่นเดียวกันมาร่วมงานเลย นั่นเพราะตัวเธอค่อนข้างเป็นเด็กเรียนและถูกดูแลอย่างเข้มงวดมาตลอด จึงมีเพื่อนที่สนิทๆ ด้วยอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น “ทุกท่านก็ชมกันเกินไปครับ อย่างหนูมิ้งลูกคุณธนาเอง ก็สวยใช่ย่อยที่ไหน มาๆ ครับไปนั่งโต๊ะกันดีกว่าจะได้ไม่เมื่อยจะได้หาอะไรมารองท้องกันด้วยไงครับ” “ดีครับ...พวกเราไปกันเองก็ได้เกรงใจคุณวงศ์ศาสตร์กับหนูเอพริลจะได้ไปดูแลแขกท่านอื่นๆ บ้าง นี่ก็เห็นเริ่มทยอยกันมามากพอดูแล้วนะครับ” “อ๋อครับๆ ถ้าอย่างนั้นเชิญทุกคนตามสบายเลยนะครับไม่ต้องเกรงใจคิดเสียว่าคืนนี้ต้องสนุกกันให้เต็มที่นะครับ ฮะๆๆ” วงศ์ศาสตร์ยกแก้วในมือขึ้นดื่มแล้วชูส่งให้บรรดาเพื่อนๆ ซึ่งทุกคนก็ยิ้มให้ก่อนจะแยกย้ายกันไปทักทายแขกคนอื่นๆ ที่รู้จักมักคุ้น “เอพริล...เป็นอะไรลูกหืม ไม่ร่าเริงเลย” “อ๋อ...เปล่านี่คะคุณพ่อหนูเหนื่อยค่ะ เราไปดูแลแขกผู้ใหญ่คนอื่นๆ กันดีกว่า จะได้ไม่น่าเกลียดที่มากันตั้งนานแล้วยังไม่เจอเจ้าภาพเสียที” อรุโณรีย์เบี่ยงเบนประเด็นปรับสีหน้าให้ยิ้มสดใสกับผู้เป็นบิดาอีกครั้งก่อนจะเดินจูงมือกันไปต้อนรับแขกเหรื่อคนอื่นๆ ตลอดเวลาที่ต้องตามบิดาไปพูดคุยทักทายกับคนโน้นคนนี้ หญิงสาวรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง เพราะในงานเลี้ยงฉลองของเธอ ล้วนแล้วแต่มีคุณหญิงคุณนายไฮโซ นักธุรกิจชั้นแนวหน้าของประเทศ หรือไม่ก็พวกดาราละครทีวีซึ่งเธอไม่รู้จักมักคุ้นเลย เจ้าของวันเกิดสาวลอบถอนหายใจหลายต่อหลายรอบ กว่าจะฝ่าดงสังคมชั้นสูงเหล่านั้นมายืนเงียบๆ คนเดียวตรงริมสระน้ำด้านข้างตัวตึกได้ งานในปีนี้ดูคึกคักและยิ่งใหญ่กว่าปีก่อนๆ หลายเท่าตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนมันไม่ได้ถูกจัดขึ้นเพื่อเธอเลยสักนิด เหมือนกับเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ของเหล่าคนในวงการธุรกิจเสียมากกว่า เพื่อนผองก็มีแต่ที่ไม่สนิท ซึ่งส่วนมากมักจะติดสอยห้อยตามบิดามารดาที่ถูกเชิญมาร่วมงานเท่านั้น อรุโณรีย์ชะเง้อคอคอยมองตรงประตูครั้งแล้วครั้งเล่า รอเพียงว่ากลุ่มแก๊งของเธอจะมาเสียที จะได้พอมีเพื่อนคุยคลายความเหงาได้บ้าง เพราะถ้าเข้าไปในงานอีกก็คงเป็นอะไรที่เดิมๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่เธอไม่ถนัดเสียเท่าไหร่ “เอพริลๆ...มายืนอยู่นี่เองพวกเราตามหาแทบแย่แน่ะ” เสียงดังมาจากข้างหลังทำให้หญิงสาวผู้รอคอยยิ้มออกและรีบหันไปตามเสียงทันที “เอมี่...เฟื่อง มล ทำไมมาช้ากันจังเรารอตั้งนานแล้วรู้ไหม” เจ้าของงานจับมือเพื่อนแล้วถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดีใจ เพื่อนที่เธอตั้งหน้าตั้งตารอมาถึงเสียที “ก็แวะไปรับมลแล้วรถเสีย...เลยต้องให้คนขับรถที่บ้านเฟื่องมารับแล้วก็พามานี่แหละ ขอโทษทีนะจ๊ะ” เอมี่ หรืออัฉจิมาหญิงสาวหน้าตาหวานยิ้มตอบ มองเพื่อนอย่างสำนึกผิดที่มาสายจนเกินไปทั้งๆ ที่นัดเจอกันตั้งแต่ตอนหัวค่ำ “ช่างเถอะไม่เป็นไรหรอกว่าแต่พวกเธอปลอดภัยก็ดีแล้วนะ ไปในงานกันดีกว่านะหิวกันรึเปล่า” “ไม่ค่อยหิวกันหรอกเอพริลแต่ดูของในงานน่าจะอร่อยๆ ทั้งนั้นเลยลองดูหน่อยก็ดีนะ...เออนี่เอพริลแล้วของขวัญพวกนี้จะเอาไปไว้ไหนเนี่ย พวกเราไม่อยากเอาตั้งรวมกับคนอื่นๆ ที่หน้างาน” เฟื่องหรือพรมกนกกล่าวชูกล่องของขวัญในมือให้เจ้าของงานดู แล้วทำหน้ามุ่ยๆ รอคำตอบ “งั้นเอาขึ้นไปไว้บนห้องเลยก็แล้วกัน ของพวกเธอสามคนต้องพิเศษกว่าคนอื่นๆ อยู่แล้วจริงไหมล่ะ เดี๋ยวให้เด็กเอาไปก็ได้พวกเธอเจอพ่อเราหรือยัง” พูดจบเธอก็กวักมือเรียกพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งให้เข้ามาหาเธอ พร้อมทั้งรวบรวมกล่องของขวัญทั้งสามใบให้เด็กคนนั้นเอาไปเก็บ ก่อนจะหันมาสนทนากับเพื่อนฝูงต่อ “ยังเลยแต่เห็นแล้วล่ะว่าคุณลุงยืนคุยกับเพื่อนๆ ของท่านอยู่ทางโน้น พวกเราเข้ามาก็มัวแต่หาตัวเธอยู่น่ะสิยังไม่ได้เข้าไปไหว้ท่านเลย นี่ๆ เอพริลทำไมงานเธอมีแต่คนใหญ่คนโตทั้งนั้นเลยล่ะ ยังกะงานชุมนุมนักธุรกิจแห่งชาติ เพื่อนๆ ที่รู้จักมีไม่กี่คนเองตอนแรกฉันนึกว่ามาผิดงานซะอีก” อรุโณรีย์มองกรกมลที่พูดพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ งานก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะให้คำตอบนี้กับเพื่อนอย่างไร เพราะมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แทนที่จะเป็นงานที่มีแต่เด็กๆ รุ่นราวคราวเดียวกับเธอมาร่วมแสดงความยินดี สนุกสนานกันกลับมีแต่ผู้ใหญ่ซึ่งเป็นที่นับหน้าถือตาในสังคม จนเธอแทบกระดิกตัวไม่ได้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะบิดาของเธอเห็นว่าเธอโตมากพอที่จะเรียนรู้ และทำความคุ้นเคยกับสังคมเหล่านี้เอาไว้บ้าง และกำลังฝึกให้เธอคุ้นเคยกับพวกเขา หลังจากขังเอาไว้แต่ในกรงทองถึงยี่สิบปี พ่อของหล่อนทั้งหวงและห่วง ไม่เคยพาออกงานสังคมที่ไหนเลย ทั้งๆ ที่เขาก็ไปร่วมสังสรรค์บ่อย หลักๆ นอกจากไปเรียนแล้วเธอก็จะอยู่แต่บ้านหรือถ้าจะไปเที่ยวที่ไหนกับเพื่อนๆ ก็ต้องมีบอดี้การ์ดคุมแจเป็นโขยง ไปกลับต้องตรงต่อเวลาและห้ามค้างคืน ทุกอย่างเป็นกฎเหล็ก แต่เธอก็เข้าใจดีว่าเพราะบิดามีเธอเพียงคนเดียวท่านจึงดูแลยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในชีวิตของท่าน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD