บทที่ 5 ตอนที่ 1

1189 Words
 “เอพริล...เป็นอะไรน่ะลูกหืม...เห็นนั่งเหม่ออยู่ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว” “คุณพ่อ เอ่อ...เปล่านี่คะหนู ว่าแต่คุณพ่อเถอะวันนี้ทำไมกลับดึกจังล่ะคะ” เสียงทักคุ้นเคยทำให้หญิงสาวที่นั่งเหม่อลอยอยู่ตรงโขดหินที่ใช้ในการตกแต่งริมสระหันไปมอง วงศ์ศาสตร์บิดาของเธอซึ่งอยู่ในชุดนอนผ้าแพรสีเลือดหมูมีเสื้อคลุมสีเดียวกันกำลังยกแก้วกาแฟในมือขึ้นจิบดื่ม พร้อมกับเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น “อืม...ก็เรื่องงานนั่นแหละไม่มีอะไรหรอก แค่คุยกับลูกค้ายืดเยื้อไปหน่อยเท่านั้นเอง” “อ๋อค่ะ แล้วที่ทานข้าวหรือยังคะเดี๋ยวหนูเข้าไปจัดให้ก็ได้” “ไม่ต้องหรอก พ่อกินกับลูกค้าที่บริษัทมาแล้วล่ะ ลูกมีอะไรหรือเปล่าอย่าปิดบังพ่อเลย ไหนเล่าให้ฟังหน่อยสิ” วงศ์ศาสตร์ถามซ้ำด้วยความมั่นใจว่าบุตรสาวน่าจะมีความไม่สบายใจบางอย่างปกปิดเขาอยู่ คนเป็นพ่อที่เลี้ยงดูลูกมาเป็นอย่างดีมีเหรอจะดูไม่ออก “คือ...เพื่อนๆ หนูเขาได้ทำงานกันหมดแล้วนะคะคุณพ่อ...” เธอกล่าวอ้อมแอ้มมองบิดาซึ่งทอดกายนั่งเตียงนอนปรับระดับริมสระน้ำ ไม่ห่างจากเธอมากนัก “เฮ้อ...พ่อก็บอกแล้วนี่ว่าอยากให้ลูกพักผ่อนก่อนสักปีแล้วปีหน้าค่อยเรียนต่อก็ได้ พ่อรู้ว่าลูกเหงาไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ แต่พ่อเป็นห่วง...” “หนูดูแลตัวเองได้แล้วนะคะ อีกอย่างวัยของหนูก็ควรจะได้รับรู้โลกภายนอกบ้าง หนูเข้าใจว่าคุณพ่อรักหนูมากเป็นห่วงหนูมาก แต่ให้หนูเข้าไปทำงานที่บริษัทคุณพ่อก็ได้นี่คะจะได้อยู่ใกล้ๆ กัน”                                                     “ไม่ได้!!” เสียงใหญ่เกือบตะคอกดังสวนขึ้นทันควัน ก่อนที่เขาจู้สึกตัวและกะพริบตาถี่ๆ ถอนหายใจมองบุตรสาวที่กำลังจ้องตอบด้วยความตระหนกนิดๆ “คือ...มันยังไม่ถึงเวลา อีกอย่างบริษัทของเราก็ทำงานเกี่ยวกับการขนส่งไม่น่าสนใจหรอก เชื่อพ่อเถอะหนูอยู่บ้านไปพลางๆ ก่อนซักปีหรือถ้าเบื่อๆ ก็เข้าคอร์ดเรียนเสริมเตรียมตัวเรียนต่อที่ต่างประเทศก็ได้นะ” ผู้เป็นพ่อเสนอ เพราะสิ่งที่ลูกสาวเขาต้องการเข้าไปมาส่วนร่วมในบริษัทแน่นอน...เขาจะให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ “หนูอยากทำงานค่ะ...อยากช่วยคุณพ่อบ้างเท่านั้นเองตอนนี้หนูโตแล้วและคุณพ่อก็อายุมากขึ้นทุกวันนะคะ” “เฮ้อ!! อย่าดื้อสิลูก เอาอย่างนี้นะพ่อมีเพื่อนอยู่หลายคนเดี๋ยวจะฝากๆ ให้ไปดูงานที่บริษัทของพวกเขาดีไหม ถือเสียว่าไปหาประสบการณ์ถ้าไม่ชอบหรือเบื่อก็ออกมาอยู่บ้านเฉยๆ เหมือนเดิมเตรียมตัวรอไปเรียนต่อดีไหม” หญิงสาวยิ้มออกทันที รีบลุกแล้วเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ ผู้ให้กำเนิดก่อนจะสวมกอดและหอมแก้มที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาอย่างออดอ้อน “ขอบคุณค่ะคุณพ่อ...หนูรักคุณพ่อที่สุดเลย” “ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอ แต่พ่อก็ต้องดูที่ไว้ใจได้ก่อนนะถึงจะยอมให้ลูกไป” “ค่ะหนูเข้าใจค่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นมองบิดาที่กำลังพูดอย่างยินดี แค่ข้อแม้เล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ก็พอรับได้เพราะบิดาของเธอนั้นรู้จักคนในวงการธุรกิจมากหน้าหลายตาเรียกได้ว่าแทบทั่วฟ้าเมืองไทยเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้เป็นการยากเย็นอะไรเลยที่จะหาบริษัทเหมาะๆ ที่เขาไว้ใจได้และเหมาะสำหรับตัวเธอด้วย                                                              “อืม...วันก่อนเจอคุณทรงภูมิเห็นเขาเปรยๆ อยู่นะว่าอยากได้นักศึกษาจบใหม่เข้าไปทำงานนะ เดี๋ยวพ่อจะลองถามๆ ดูว่าพอจะมีตำแหน่งว่างให้หนูเข้าไปเรียนรู้สักพักไหม” “คุณทรงภูมิเหรอคะ...”                                                                                       “อืมใช่...คนนี้เขาไว้ใจได้ถึงเราจะไม่เคยร่วมงานกันก็เถอะแต่เขาเป็นคนใจซื่อมือสะอาด ลูกอยู่กับเขาจะปลอดภัย”                                                                                   อรุโณรีย์ค่อนข้างแปลกใจกับคำพูดของบิดา แม้รู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอมากแต่ตอนนี้เธอก็โตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว แล้วเหตุใดล่ะบิดาถึงได้คอยระมัดระวังเกี่ยวกับความปลอดภัยของเธอเหลือเกิน มีใครจะทำอันตรายต่อเธออย่างนั้นหรือ ถ้าไม่ใช่ทำไมเขาต้องคอยระแวงระวังอยู่ตลอดเวลาเช่นนั้นด้วย                “อ๋อค่ะ...” ฉับพลันก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ว่าคุณทรงภูมิคนนี้ก็คือประธานบริษัทที่ชายหนุ่มนามทอเลเมียสดำรงค์ตำแหน่งรองประธานอยู่ไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเธอจะได้ทำงานที่เดียวกับเขาใช่ไหม                “บ้าแล้วเอพริล...คิดอะไรเลยเถิดไปกันใหญ่แล้ว”                “มีอะไรเหรอลูก...” แม้เพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาแต่ด้วยความที่อรุโณรีย์ยังสวมกอดเขาอยู่วงศ์ศาสตร์จึงได้ยินแว่วเข้าหูทันที                “ออ...เปล่าค่ะ คือหนูกำลังคิดว่าเป็นบริษัทเดียวกันที่คุณทอเลเมียสเขาทำงานอยู่หรือเปล่าน่ะค่ะ วันนี้หนูไปเจอเขาเห็นเขาก็พูดเรื่องรับพนักงานอะไรนี่เหมือนกัน”                “อืมใช่...ว่าแต่นี่ไปรู้จักมักคุ้นกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอถึงได้พูดจาปราศรัยกันได้”                “ไม่ได้พูดคุยอะไรเป็นทางการหรอกค่ะ ก็แค่พบกันโดยบังเอิญก็เลยทักกันนิดหน่อย เพราะเคยเจอกันตอนที่เขามางานวันเกิดไงคะถ้าไม่ทักไม่ทายก็ดูเสียมารยาท”                “อ้อ...อืมใช่ คุณทอเลเมียสเขามางานที่บ้านเรานี่เนอะพ่อก็ลืมเสียสนิทเลย เขาเป็นมือขวาของคุณทรงภูมิ เป็นคนหนุ่มที่อนาคตไกลทีเดียว” อรุโณรีย์คลายอ้อมแขนจากตัวบิดาด้วยสีหน้าร้อนผ่าวแค่ได้ยินชื่อและกิตติศัพท์ของเขา ทำไมนะผู้ชายที่เพียงได้พบเจอกันไม่กี่ครั้งถึงได้มีอิทธิพลกับเธอนัก สาเหตุมาจากความใกล้ชิดเพียงเล็กน้อยและความอ่อนโยนของเขาในคืนงานวันเกิดแค่นั้นเองใช่ไหม นี่เธอ...ใจง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ                “เอ่อ...หนูง่วงแล้วล่ะค่ะ ขอตัวขึ้นไปนอนก่อนนะคะคุณพ่อ”                “เอาสิลูกนี่ก็ดึกมากแล้ว เรื่องงานเอาเป็นว่าเดี๋ยวพ่อจะลองถามคุณทรงภูมิกับเพื่อนๆ คนอื่นๆ ดูให้นะแต่สัญญากับพ่อก่อนว่าถ้างานที่ได้มันไม่เหมาะกับลูก ลูกก็ต้องตามใจพ่อนะ...”                “ค่ะ...คุณพ่อก็นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานอีกนอนดึกเดี๋ยวจะไม่สบายเอานะคะ” เธอกล่าวตอบพร้อมทั้งลุกยืนอย่างหงอยๆ เมื่อเงื่อนไขอีกข้อจากบิดาผุดโผล่ขึ้นมา ได้แต่หวังว่าบุพการีจะไม่หาหนทางกีดกันไปมากกว่านี้ก็พอ                “อืม...ขอนั่งอีกแป๊บ เดี๋ยวก็จะนอนแล้วล่ะ ลูกไปเถอะไม่ต้องเป็นห่วงพ่อหรอก ฝันดีนะลูก”                “ค่ะ...ฝันดีค่ะคุณพ่อ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD