ตอนที่ 2 คู่ชีวิต? (2)

1836 Words
ผ่านมาเกือบเดือนแล้วที่สหัสวัตเอาแต่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ นางสาวิตรีเองก็ได้แต่จนใจจะห้ามปราม ด้วยรู้ว่าแม้ลูกชายจะรับปากเรื่องการแต่งงานกับผู้หญิงที่นางหาให้แล้ว แต่ลึกๆ ในใจเขา นางรู้ดีว่าลูกชายไม่ได้มีความสุขกับการตัดสินใจเลือกหนทางนี้นักหรอก จนกระทั่งวันนี้ที่นางอดรนทนไม่ไหวจำต้องเปิดปากเอ่ยคุยอย่างเป็นทางการ เพราะไม่อยากให้อะไรๆ ยืดเยื้อเรื้อรังอีกต่อไป อีกทั้งก็อยากให้มีผู้หญิงดีๆ เข้ามาในชีวิตของลูกชาย เผื่อเขาจะหายจากอาการซังกะตายซึมกะทือนี้ไปได้บ้าง นางเป็นแม่ย่อมรู้ดีเสียยิ่งกว่าใครว่าสหัสวัตชอกช้ำระกำใจแค่ไหน ภายนอกต่อหน้าคนอื่นเขาก็ดูปกติดี แต่ลึกๆ ในใจเป็นยังไง สิ่งเหล่านี้ไม่อาจพ้นจากสายตาของคนเป็นแม่อย่างนางไปได้ เมื่อร่างสูงเดินมาทรุดกายลงนั่งที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามเพื่อเตรียมรับประทานอาหารเช้า สาวิตรีก็ได้จังหวะเอ่ยพอดิบพอดี “ตอนเย็นแม่ว่าจะชวนบ้านนั้นมากินข้าวเย็นด้วยกัน ริวกลับบ้านเร็วหน่อยได้ไหมลูก” บ้านนั้นที่แม่พูดถึงคงไม่พ้นครอบครัวของว่าที่เจ้าสาวที่แม่เขาเลือกให้สินะ จะว่าแม่เลือกให้ก็ไม่ถูก เพราะเขาชี้เองกับมือ เพียงแค่ว่าไม่ได้สนใจพินิจพิเคราะห์ดูเท่านั้นเอง กระทั่งตอนนี้เขาบอกตามตรงว่าลืมเค้าโครงหน้าตาของน้องนางคนนั้นไปเสียสนิทติดลบ ด้วยตอนที่เลือกๆ ก็ไม่ได้เหลือบแลแม้แต่หางตา ชี้มั่วว่าง่ายๆ กระนั้นด้วยความเป็นสุภาพบุรุษและไม่เคยทำให้แม่ผิดหวังก็รับปากไปเรียบร้อย “ได้ครับ” “แล้วเรื่องแต่งงาน ริวจะเอายังไงล่ะลูก นี่มันก็ล่วงเลยมาเป็นเดือนแล้ว ตั้งแต่ที่แม่เคยคุยๆ เกริ่นๆ ไว้กับป้าอัญ” เขารู้ว่าเพื่อนแม่คนนั้นชื่ออัญชลี แม้จะไม่เคยเห็นหน้าแต่ก็เคยได้ยินแม่พูดถึงบ่อยๆ น่าแปลกที่ป้าอัญชลีเป็นเพื่อนสนิทของท่านแท้ๆ แต่เขากลับไม่เคยเห็นทั้งที่อีกฝ่ายก็เคยมาที่นี่หลายครั้ง คงเพราะมาตอนที่เขายังอยู่ต่างประเทศกระมัง หรือไม่ก็มาตอนที่เขาอยู่ออฟฟิศ “คุณแม่จัดการไปได้เลยครับ ผมไม่มีปัญหา ถ้าทางผู้หญิงมีวันดี เราก็ตกลงเลยก็ได้ครับ เอาที่เขาสะดวก” นางสาวิตรีพยายามมองหาร่องรอยความฝืนใจหรือความเบื่อหน่ายบนสีหน้าและดวงตาคมเข้มนั้น แต่ก็ปรากฏเพียงความเรียบเฉยที่แสดงบนใบหน้าหล่อเหลา นั่นเท่ากับว่าเขายินดีและเต็มใจอย่างปากว่า หาใช่เพราะนางบังคับจิตใจ สรุปเอาเป็นตามนี้ก็แล้วกัน ไม่ว่ายังไงงานแต่งงานก็ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ตามฤกษ์สะดวก นางตัดสินใจแล้ว นางเชื่อว่าคนที่จะเข้ามาในชีวิตของลูกชายคือคนที่จะทำให้สหัสวัตสามารถกลับมามีรอยยิ้มได้อีกครั้ง... “จอดตรงป้ายรถเมล์ได้เลยค่า” หญิงสาวหยิบเงินให้แท็กซี่พอดีไม่ต้องทอน ก่อนจะหอบข้าวของพะรุงพะรังลงมาจากรถอย่างไม่ค่อยถนัดนัก ข้าวกล่องอาหารกลางวันจำนวนสามสิบกล่องค่อนข้างถือลำบากพอสมควรสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ บอบบาง แต่ด้วยความที่เป็นลูกแม่ค้าขายอาหารตามสั่งที่เธอช่วยทำมาตลอดตั้งแต่จำความได้ สิ่งนี้จึงไม่เป็นอุปสรรคกับสาวน้อยคนนี้นัก เธอเดินหิ้วถุงพลาสติกใบใหญ่เข้าไปในตัวอาคารสูงสามสิบชั้น ผ่านลุงยามที่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาบ้างเนื่องจากเคยมาส่งข้าวกล่องที่นี่ราวๆ สี่ครั้งแล้ว เพียงยื่นนามบัตรของคนสั่งให้ ลุงยามก็ยอมให้เดินเข้าไปด้านในของตัวอาคารแต่โดยดี ธมนเดินหอบข้าวของไปแจ้งความจำนงต่อประชาสัมพันธ์ประจำอาคาร ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรรายใหญ่ของประเทศไทย เมื่อประชาสัมพันธ์แจ้งว่าโทรแจ้งคนที่สั่งข้าวให้แล้ว ธมนก็เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้รับแขกที่จัดแยกโซนไว้นั่งรอสำหรับผู้มาติดต่อ เพียงไม่นานร่างผอมสูงของคนที่โทรไปสั่งข้าวก็เดินออกมา พร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ธมนเดาว่าน่าจะเป็นลูกน้องของเขา หลังจากส่งมอบข้าวกล่องและเคลียร์ค่าใช้จ่ายกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ธมนก็เดินออกมาจากโซนรับรองนั้น ก่อนจะก้าวจากไปก็อดไม่ได้ที่จะหันกายกลับมามองสำรวจไปรอบๆ บริเวณเหมือนเช่นทุกครั้งที่เคยมาเยือน รู้สึกตกหลุมรักและชอบบรรยากาศของอาคารสถานที่และผู้คนที่นี่ ซึ่งอยู่กันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ครั้นมีผู้มาติดต่อประสานงานก็แย้มยิ้มต้อนรับขับสู้อย่างดี ธมนเพิ่งเรียนจบมาหมาดๆ และยังไม่ได้ลองยื่นสมัครงานที่ไหน ด้วยว่าอยากช่วยพ่อกับแม่ขายอาหารไปก่อน อีกอย่างสาขาที่เธอจบมาก็ค่อนข้างหางานทำลำบากในความคิดของเธอ และธมนรู้ตัวดีว่าเป็นคนหัวไม่ดี เรียนหนังสือไม่เก่ง กระนั้นเธอก็พยายามอย่างเต็มที่แล้วจนสามารถจบปริญญาตรีสาขาวิชาคหกรรมมาได้ด้วยเกรดเฉลี่ยระดับกลางๆ แต่อย่างไรก็ดีธมนก็อดหวังไม่ได้ว่าถ้ามีโอกาสได้มาสมัครงานที่นี่ก็จะไม่ลังเล ขณะที่สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ และกำลังจะหันหลังกลับไปที่ประตู พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับร่างสูงใหญ่และใบหน้าคมเข้มที่คุ้นตาและติดอยู่ในความทรงจำเสียก่อน “พี่คนนั้นนี่นา” ธมนไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง เมื่อเห็นว่าเขากำลังเดินเคียงข้างไปกับชายร่างสูงไล่เลี่ยกันแต่สูงวัยกว่า ไปหยุดที่หน้าลิฟต์และกดนิ้วจิ้มลงบนปุ่ม ธมนก็รีบเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาเขาทันที ท่ามกลางความตกตะลึงของเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ที่ร้องห้ามไม่ทัน “พี่ขา! พี่คะ!” เธอร้องเรียกเขาเอาไว้ และเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะก้าวขาเข้าไปในลิฟต์ก็ยิ่งเรียกเสียงดังขึ้น “พี่คะ รอหนูด้วยค่ะ” ได้ผล เพราะคนโดนเรียกเหมือนจะรู้ตัวว่ามีคนเรียกเขาอยู่ ชายหนุ่มที่ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้าชะงักขาที่จะก้าวเข้าลิฟต์ ก่อนจะหันกลับมามองหญิงสาวตัวเล็กบอบบางที่วิ่งมาหยุดหอบอยู่ตรงหน้าเขา ดวงตากลมโตเต้นระริกสุกสกาวราวกับยินดีนักหนา ยังไม่ทันที่สหัสวัตจะถามว่าเธอเป็นใคร สาวน้อยก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน “พี่ หวัดดีค่ะ” เธอยกมือไหว้เขา แล้วก็หันไปไหว้ผู้ชายสูงวัยที่ยืนอยู่ข้างเขาด้วยแม้จะไม่รู้จักก็ตาม ชายต่างวัยทั้งคู่ต่างยกมือรับไหว้อย่างงงๆ ธมนจึงรีบเอ่ย “หนูจะเอาเงินทอนมาให้ค่ะ วันนั้นที่พี่ไปกินข้าวที่ร้าน พี่ยังไม่ได้รับเงินทอนน่ะค่ะ” สหัสวัตนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง สีหน้าเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา สักครู่ก็เอ่ยว่า “เอ ขอโทษนะครับ พี่จำไม่ได้” “เอ่อ คือ วันที่ฝนตกแล้วพี่สั่งข้าวกะเพราไม่เอาถั่วฝักยาว แล้วร้านของหนูทำให้ผิดน่ะค่ะ” ธมนพยายามอธิบาย เมื่อเห็นว่าเขาขมวดคิ้วมุ่นก็หน้าหงอยลง คุ้นๆ สหัสวัตรู้สึกอย่างนั้น แต่ยังนึกภาพไม่ออกว่าที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร แต่เขาเชื่อว่าคนตรงหน้าไม่ได้โกหก เพราะเขาไม่กินถั่วฝักยาวจริงๆ สุดท้ายเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ยืดเยื้อต่อความกันยาวไปกว่านี้ จึงตัดสินใจพยักพเยิดไปให้จบๆ “อ้อ ครับ น่าจะใช่” “พี่จำได้แล้ว ขอบคุณมากค่ะ” เธอว่าเสียงดีใจ ก่อนจะก้มลงไปหยิบเงินในกระเป๋าหน้าของเสื้อกันเปื้อน นับจำนวนเสร็จก็รีบยื่นให้เขา เป็นจำนวนสี่ร้อยหกสิบบาท “เงินทอนค่ะ” “มาทำอะไรที่นี่เหรอ” ยังไม่ได้รับเงินมาแต่ตัดสินใจถามเธอก่อน ถึงจุดประสงค์ของการมาที่นี่ จนได้มาเจอเขา “หนูเอาข้าวกล่องมาส่งให้พี่ที่ชื่อศุภชัยค่ะ พี่เขาทำงานที่นี่ กำลังจะกลับแล้ว แต่เห็นพี่พอดีเลยรีบตามมาค่ะ” บอกเขาจ้อยๆ ราวกับรู้จักมักจี่กันมานาน ทั้งที่จริงๆ แล้ว ธมนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร มีตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน ณ ที่แห่งนี้ “อ้อ อย่างนี้นี่เอง” “เงินทอนค่ะ 460 บาท ค่าข้าวกับค่าน้ำวันนั้นแค่ 40 บาทค่ะ” ธมนย้ำเพราะเขายังไม่ยอมรับเงินไปเสียที “ไม่เป็นไร พี่ให้ หนูเก็บไว้เถอะ” เขาบอกเธอยิ้มๆ แล้วทำท่าจะหันหลังเดินเข้าลิฟต์ แต่ธมนรีบเรียกเขาไว้อีกครั้ง “พี่ขา ไม่ต้องให้หนูหรอกค่ะ รับคืนเถอะนะคะ” บอกเขาสายตาก็ละห้อยวิงวอน จนคนมองอดสงสารไม่ได้ สุดท้ายสหัสวัตจึงต้องยื่นมือไปรับเงินทอนนั้น และสิ่งที่เขาทำต่อมาก็คือ... “พี่ขอแค่สองร้อย ที่เหลือหนูไว้เป็นค่ารถกลับบ้าน รีบกลับ ฝนจะตกแล้ว” เขาว่าแค่นั้นแล้วก็ยัดเงินที่เหลือจำนวนสองร้อยหกสิบบาทกลับคืนสู่มือเล็กของเธอ จากนั้นก็หันไปพยักหน้ากับชายสูงวัยที่ยืนดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ และหายเข้าไปในลิฟต์ด้วยกันทันที โดยที่ธมนก็ได้แต่ยืนอึ้ง ความร้อนผ่าวจากฝ่ามือของเขาที่สัมผัสกับมือเล็กของเธอยังอุ่นวาบอยู่เลย ราวกับว่าเขายังไม่ได้ปล่อยมือ “ไปแอบกินข้าวตามสั่งที่ไหนมา” พ่อเขากระเซ้าขณะยืนอยู่ด้วยกันในลิฟต์ สหัสวัตยิ้มนิดๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจหรือคิดว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด ใครก็กินอาหารข้างทางกันทั้งนั้น “น่าจะร้านแถวบ้านครับ จำไม่ค่อยได้ แต่คุ้นว่าเคยไปกินแล้วเขาทำให้ผิดจริงๆ” “น่ารักดีนะ ตามหาจนเอาเงินมาคืนได้” พ่อเขาว่าอีก “ครับ” ชายหนุ่มตอบรับแค่นั้น ก่อนจะต่างคนต่างยืนนิ่งตกอยู่ในความเงียบสงบ จนกระทั่งลิฟต์เคลื่อนมาถึงชั้นที่เป็นห้องทำงาน ทั้งคู่จึงแยกย้ายกันเข้าห้องทำงานของตัวเองไปในที่สุด...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD