III ชีวิตประจำวัน ต่อจากนี้ [1/3]

1405 Words
เช้าของอีกวันของหนูนารถไฟใต้ดินเป็นยานพาหนะที่เธอใช้เดินทางจากหอพักไปสตูดิโอเหมือนอย่างทุกวัน  นิวยอร์กเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาความเจริญมากที่สุด เมืองที่ไม่เคยหลับไหลซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจรวมถึงบันเทิง แต่สำหรับหนูนาตั้งแต่เธอได้เป็นสมาชิกเมืองที่ไม่เคยหลับใหลชีวิตต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดต้องประหยัดและต้องหางานที่สามารถเรียนไปด้วยได้นั้นเวลาในแต่ละวันของเธอก็ไม่พออยู่แล้ว  เธอมีเป้าหมายในชีวิตสำหรับเด็กกำพร้าที่ไม่รู้จักพ่อแม่  เติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้บั่นทอนชีวิต กับเป็นแรงกระตุ้นให้เธอต้องเติบโตมาอย่างคนมีคุณภาพ และปัจจุบันเธอก็สามารถมาเรียนต่อระดับปริญญาโทที่อเมริกา อีกสองปีเท่านั้นเธอบอกกับตัวเองว่าเธอต้องทำให้ได้ หนูนาเมื่อมาถึงสตูดิโอก็จัดการงานตามหน้าที่ แต่วันนี้เธอได้หอบหิ้วถุงอาหารมื้อเช้าสำหรับกลุ่มศิลปิน   “ไม่แน่ใจว่าปกติพวกเขากินอะไรเป็นมื้อเช้า เอาน่า!...ถือซะว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง มี ดีกว่าไม่มีอะไรเลย” คิดได้แบบนั้นก็จัดวางทุกอย่างที่โต๊ะกลางตรงมุมโซฟาที่ทั้งเธอและกลุ่มศิลปินชอบมานั่งพักผ่อนและนั่งคุย เพราะมุมนี้จะอยู่ริมห้องใกล้หน้าต่างเห็นวิวแห่งนครนิวยอร์ก และหยิบกระดาษเขียนอะไรบางอย่างวางไว้ที่โต๊ะและคว้าเป้ออกจากห้องไป “WOW!!!!” ทันทีที่ปีเตอร์ผลักประตูสตูดิโอเข้ามาก็ได้ยินเสียงของพอล กับเห็น ไรอัล ยืนกอดอกมองบางสิ่งที่วางอยู่และกระดาษ............... “สวัสดีตอนเช้าค่ะ  นีน่าขอโทษค่ะ เมื่อวานไม่ได้แจ้งให้ทราบว่าช่วงสายวันนี้ มีเรียน ขออนุญาตนะคะ ถ้าหากพวกคุณต้องการทานมื้อเที่ยงที่นี่ รบกวนแจ้งให้ทราบได้ที่..XXX..ตามเบอร์นี้นะคะ ทานอาหารเช้าให้อร่อยนะคะ   นีน่า” หลังจากที่อ่านแล้วปีเตอร์นั่งลงทันที และเริ่มจัดการกับอาหารตรงหน้าไม่ได้พูดอะไรกับสองหนุ่มที่ยืนมองพฤติกรรมของเขาอย่างงงๆ แต่ก็นั่งลงและจัดการกับอาหารเช่นเดียวกัน แต่เมื่อสองคนเริ่มให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้าปีเตอร์ก็หยิบกระดาษโน้ตโดยที่อีกสองหนุ่มไม่ทันสังเกตและเป็นที่สนใจเลย ในห้องเรียนของหนูนา จู่ๆโทรศัพท์ของหนูนาก็สั่นเป็นสัญญาณข้อความเข้า “พวกเรารอมื้อเที่ยงจากหนูนา ตามสบาย”ข้อความเพียงเท่านี้ หนูนาก็รู้ได้ทันทีว่ามาจากใคร แต่ที่ทำให้หนูนาจ้องตาไม่กะพริบคือคำว่า ‘หนูนา’เป็นภาษาไทย ครั้งแรกที่ได้ยินจากปากของนักร้องนำของวง และนี้ก็เป็นข้อความอีกได้แต่เก็บความสงสัยไว้ก่อนและบ่นกับตัวเอง “ไม่ได้...ไม่ได้.!! ตั้งใจเรียนซิยายหนูนา”  เมื่อจบชั่วโมงหนูนาก็รีบเก็บของ และกล่าวลาขอตัวกับเพื่อนร่วมคลาสต่างชาติอีกหลายคน ไม่มีใครที่นี่ทราบว่าเธอทำงานที่ค่ายเพลงดังของที่นี่ และเธอก็ไม่คิดจะบอกให้ชีวิตต้องวุ่นวาย ทุกคนทราบเพียงว่าเธอมีงานพาร์ทไทม์เท่านั้น หนูนาเคาะประตูเป็นสัญญาณพร้อมผลักประตูเข้าไปอย่างไม่ต้องรอขออนุญาต หนูนาเข้ามากับสัมภาระเต็มมือ ทุกคนอยู่ในห้องซ้อมประจำตำแหน่งของแต่ละคน แต่ “เอ๊ะ!.” เพลงนี้ไม่เคยได้ยิน คงเป็นเพลงใหม่สินะหนูนาหันไปมองแค่แว๊บเดียวก็จัดการหน้าที่ของตัวเอง  เมื่อทุกคนในห้องซ้อมเห็นเธอตั้งแต่เดินเข้ามาแต่ก็ยังซ้อมกันต่อ แต่เมื่อเธอจัดเตรียมมื้อเที่ยงเรียบร้อยต่างก็ออกจากห้องซ้อม แต่ยังพูดคุยกันถึงแนวดนตรีสำหรับเพลงใหม่ “สวัสดีค่ะทุกคน ทานให้อร่อยนะคะ” ทักทายเท่านั้น และกำลังจะเดินออกไปยังทิศทางของประตู ปล่อยให้พวกเขาทานมื้อเที่ยงกันตามสบาย ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงที่สุดแสนจะห้วนเยือกเย็นยังกับน้ำแข็งขั้วโลกราดลงบนศีรษะ “จะไปไหน?!!!”  “ไปพบคุณเอียนค่ะ” ตอบเท่านั้น และกำลังจะก้าวเท้าออกไปตามความตั้งใจแรกก็ต้องชะงักอีกครั้ง “ไปนานเหรอเปล่า?” คำถามที่สอง น้ำเสียงไม่ต่างกันเท่าไหร่ตามสวนกลับมาทันที แต่คราวนี้สำหรับคำถามนี้ทุกคนหยุดการสนทนาระหว่างกันทันทีทำให้ทั้งห้องเงียบสนิท เมื่อสมาชิกในวงต่างก็หันไปมองเจ้าของคำถามเมื่อสักครู่ เพราะทุกคนต่างคิดตรงกันโดยไม่ต้องนัดหมาย    การกระทำที่แปลกอีกอย่างของปีเตอร์ ปกติเขาเป็นคนที่ทุกคนเข้าถึงยากแต่ก็เข้าใจได้ เพราะร่วมงานกันมานานและเป็นที่ทราบกันดีว่านักร้องนำคนนี้แทบจะไม่เปิดบทสนทนากับใครก่อน แต่พฤติกรรมหลายอย่างสองวันมานี้ของปีเตอร์ทำให้ทุกคนคิดว่า เขาอาจจะกำลังจะกลายมาเป็นมนุษย์แล้วมั้ง “ไม่นานค่ะ คุณต้องการอะไรเพิ่มเหรอเปล่าคะ?” หนูนาตอบคำถามพร้อมตั้งคำถามกลับ เพราะเริ่มจะไม่ค่อยเข้าใจ นายปีเตอร์คนนี้ยังไงก็ไม่รู้ แต่ก็แค่คิดว่าเขาคงอยากได้อะไรเพิ่มมั้ง...แต่สิ่งที่หนูนาเห็นตอนนี้ คือสีหน้าที่เหมือนเมื่อวันก่อนที่เขาจะผลุนผลันออกไป “อะไรของเขา” ซึ่งเธอได้แต่คิดในใจ  “พูดมาได้ว่าคุณต้องการอะไรเพิ่ม ถ้า...ตอบว่า อยากได้หนูนาละ...จะได้มั้ย?” ได้แต่คิดในใจอย่างโมโห ไหนจะสมองกลับความจำเสื่อมเหรอไง? เขาบอกให้เรียกเขาว่า ‘พีท’ แต่จนแล้วก็ไม่ได้พูดตอบกลับเธอไป...ได้แต่ส่ายหัว เพราะไม่อยากเป็นที่สนใจของเพื่อนๆมากกว่านี้ เพราะรู้สึกได้ถึงความเงียบของบริเวณโดยรอบ  ซึ่งในความรู้สึกของเขาตอนนี้คือ อยากตะโกนบอกไปว่า “คิดถึง อยากหอม อยากกอด อยากจูบ”  ก็ได้แค่คิด ณ เวลานี้ยิ่งทำให้อารมณ์ขุ่นมัวมากขึ้น   “เป็นไรมากมั้ยเนี่ย!!! ตาพีท” ทันทีที่ออกจากห้อง หนูนาก็บ่นพึมพำกับตัวเองเป็นภาษาไทย แต่ถ้าคำบ่นของหนูนาได้ยินถึงผู้ที่ถูกกล่าวถึง แทนที่เขาจะโกรธคงดีใจยิ้มแก้มแตกแน่นอน “ก๊อกๆ...”เสียงเคาะประตูทำให้เอียนเงยหน้าจากแฟ้มงาน แล้วกล่าว  อนุญาตเพราะรู้ดีอยู่แล้วคนที่เคาะจะเป็นใครไปไม่ได้ คือ นีน่า   “สวัสดีคะคุณเอียน” หนูนาเดินเข้ามาทันทีหลังจากได้รับอนุญาตและก็มานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหน้าโต๊ะของเอียนตามคำเชิญของเขา และเขาก็หยิบแฟ้มตารางงานของกลุ่มศิลปินให้หนูนา   “นีน่า คุณเหลือเวลาอีกนานแค่ไหน ที่ต้องเรียนปรับพื้นฐาน”  ถามออกไปอย่างเป็นทางการ “อีกสองสัปดาห์คะ”  “อืม!…เยี่ยม!...งั้นเดี๋ยวคุณไปเช็คตารางนะ เพราะผมจะให้คุณเดินทางไปกับพวกเขาดูแลความเรียบร้อยที่จะไปแสดงคอนเสิร์ตอีกสามอาทิตย์ข้างหน้าที่แมนฮัตตั้น ยังไงก็ฝากคุณแจ้งพวกเขาและให้เตรียมงานได้เลยนะ” “ค่ะ” หลังจากรับแฟ้มงานหนูนากำลังจะขอตัวกลับแต่เสียงของเอียนก็พูดมาซะก่อน    “อ้อ! อย่าลืมไปที่ฝ่ายการเงินด้วยนะ เขาแจ้งว่าคุณยังไม่ได้เข้าไปรับค่าแรงนะ ผมเซ็นเอกสารแล้ว” พูดไปและมองหน้ายิ้มๆ   “ขอบคุณค่ะ”  และกำลังจะออกจากห้องอีกครั้ง   “เดี๋ยว! นีน่า คุณมีงานด่วนอะไรมั้ย? ผมยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยงเลย พอดีผมให้เจสสิก้าไปทำธุระ คุณพอจะมีเวลาไปทานข้าวมื้อเที่ยงกับผมหน่อยได้ไหม?” “อืม...ได้ค่ะ” ตอบตกลงไปโดยลืมคำพูดที่บอกกับ คุณชายชาเย็นไปเลยว่ามาไม่นาน   “โอเค งั้นเดี๋ยวคุณไปจัดการธุระของคุณที่ฝ่ายการเงินนะ เดี๋ยวผมไปรอที่ร้านอาหารด้านล่างไม่อยากไปไหนไกล ผมมีงานด่วนเยอะเลยวันนี้”  “ค่ะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD