ตอนที่ 9 หาทางกลับบ้าน/1

2500 Words
จวนสกุลเฉียน “โอโห่! คุณหนูเจ้าขางามจังเลยเจ้าค่ะ บ่าวยังไม่เคยพานพบสตรีที่มีความงดงามเช่นนี้มาก่อนเลย” อี๋นั่วพูดออกมาทันใดครั้นเห็นใบหน้าของมี่อิงอย่างชัดเจน ในขณะที่เจ้าตัวก้มลงสำรวจตัวเองไปทั่วก่อนจะเงยหน้ามองเพื่อนใหม่ต่างยุคที่กำลังยืนนิ่งมองใบหน้าของเธอจนตาค้างเลยทีเดียว “นี่พวกเธอเป็นกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่มีลักษณะแบบฉันเลยหรือไง” มี่อิงถามกลับไปอย่างสงสัย “ไม่เคยมีเช่นเจ้าแม้แต่ผู้เดียว!” สองนายบ่าวพูดพร้อมต่างส่ายหน้าไปมาอย่างพร้อมเพรียง ฉับพลันเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นอยู่ภายในประตูจวน “คุณหนูกลับมาแล้วอย่างนั้นหรือขอรับ” เสียงนั้นดังออกมาก่อนที่ตัวจะมาถึงพร้อมร่างสันทัดสูงไม่ถึง 165 เซนติเมตรก้าวออกมาจากประตูจวนสกุลเฉียน “คุณหนูมาพอดีเลยใต้เท้ากำลังถามหาอยู่ อีกอย่างคุณชายสกุลวะ..หวัง” เอ่ยได้เพียงเท่านั้นพลันต้องเงียบงันครั้นดวงตากระทบเข้ากับร่างงามระหงของมี่อิงซึ่งยืนอยู่เคียงข้างคุณหนูของตน และนั่นทำให้เฉียนจินเอ๋อต้องรีบแก้สถานการณ์อย่างรวดเร็วด้วยเพราะพ่อบ้านประจำตระกูลดันมาเห็นเพื่อนใหม่ของนางเข้าให้ด้วยความบังเอิญ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะเข้าไปหาท่านพ่อภายหลัง วันนี้เพื่อนสนิทของข้าเพิ่งเดินทางมาจากต่างเมืองจะพานางไปพักผ่อน” คุณหนูจินเอ๋อกล่าวจบ เฉียนจินเอ๋อหันกลับไปคว้าข้อมือของมี่อิงรีบเดินนำหน้าพาเพื่อนใหม่ของนางก้าวเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็ว โดยมีสาวใช้อี๋นั่วเดินตามหลังไปอย่างกระชั้นชิด ท่ามกลางสายตาของพ่อบ้านประจำตระกูลยืนมองตามหลังจนลับสายตา “เพื่อนของคุณหนูผู้นั้นเหตุใดจึงงดงามอะไรเช่นนี้ ใยจึงมิเคยพานพบมาก่อนมาจากต่างเมืองอย่างนั้นเหรอ ทว่าอาภรณ์ที่สวมใส่ก็ดุจเดียวกับสตรีฉางอาน ลวดลายปักหงส์สยายปีกบนเนื้อผ้าดูรึก็ช่างแปลกตาชอบกลนัก อีกทั้งสูงค่าเสียนี่กระไรมองเพียงปราดเดียวก็ล่วงรู้ว่าจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่...เพื่อนของคุณหนูชักจะอย่างไงอยู่นะ” พ่อบ้านเฒ่ายืนพึมพำด้วยความแปลกใจพลางรีบรุดก้าวเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็ว เรือนฉิงหลัน บานประตูเรือนปิดลงอย่างรวดเร็วครั้นก้าวเข้าสู่เรือนส่วนตัวของคุณหนูเฉียนจินเอ๋อ บุตรสาวเพียงคนเดียวในวัย 17 ปี บิดาคือเจ้ากรมคลังเฉียนฉิงกวาง นอกนั้นล้วนเป็นบุตรชายถึงห้าคนและที่สำคัญช่วงอายุของนางในเวลานี้กำลังอยู่ในระหว่างการเฟ้นหาคู่ครองที่เหมาะสมแต่งงานออกเรือน ร่างงามระหงของมี่อิงยืนอยู่ภายในเรือนนอก บริเวณห้องจิบชาซึ่งมีตั่งตัวใหญ่วางไว้จำนวนห้าตัวพร้อมโต๊ะตัวเตี้ยวางชุดน้ำชาและเตาไฟเพื่อให้อุ่นอยู่ตลอดเวลา ควันขาวพวยพุ่งออกมาบางๆ ส่งกลิ่นหอมของใบชามะลิตลบอบอวลไปทั่วห้อง ดวงตาคู่สวยกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณด้วยเพราะเธอไม่เคยเห็นบ้านพักอาศัยในยุคโบราณเช่นนี้มาก่อน เพราะส่วนใหญ่เธอจะรับรู้จากข่าวสารผ่านด้วยเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน ไม่เคยออกไปท่องเที่ยวในที่ไกลๆ จะใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ มีโอกาสได้ไปพิพิธภัณฑ์ของชาติก็คือโรงเรียนจัดทัศนศึกษา สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ประติมากรรมและสถาปัตยกรรมยุคราชวงศ์ถังรวมไปถึงราชวงศ์ก่อนหน้านั้นมีหลงเหลือให้เห็นน้อยมาก คนยุคหลังต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชนชาติจากการขุดค้นและรวบรวมข้อมูลบันทึกเป็นหลักฐานทางโบราณคดีผ่านจากหนังสือและสื่อการเรียนที่รัฐบาลต้องการให้เรียนรู้ในหลักสูตร ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอพอจะล่วงรู้ว่าชนชาติจีนมีวัฒนธรรมมาอย่างยาวนานนั้นก็คือมี่อิงชอบดูสารคดีผ่านทางยูทูบนั่นเอง หญิงสาวยืนมองเครื่องเรือนที่นำมาประดับอยู่ภายในห้องจิบชาอย่างสวยงาม ด้านนอกตัวเรือนเป็นสวนสวยต้นไม้งามและสระบัวตกแต่งด้วยศิลปะวัฒนธรรมของยุคถังอย่างเห็นได้ชัด “ของจริงเหรอเนี่ย! ในสารคดีจำลองภาพกราฟฟิก 3 D ยังไม่เหมือนแบบนี้เลย” มี่อิงยืนพูดพึมพำก่อนจะก้มลงมองมือของเพื่อนใหม่เอื้อมมาจับข้อมือของเธอพลางก้าวเดินนำหน้าโดยมีมี่อิงเดินตามหลัง “นั่งพักจิบชาด้วยกันกับข้าก่อนนะ...เดี๋ยวขนมและของว่างอื่นๆ กำลังมา ข้าให้อี๋นั่วไปโรงครัวจัดการอาหารมาให้ ดูท่าเจ้าคงจะหิวอยู่ไม่น้อยเลย” จินเอ๋อเอ่ยตามความคาดเดาของเธอพร้อมยื่นถ้วยชาที่นางเพิ่งเทน้ำสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอมละมุนชื่นใจส่งให้มี่อิง มือเรียวสวยยื่นมือมารับถ้วยชาเอาไว้ท่ามกลางสายตาของอีกฝ่าย ที่คอยมองสองมือของเธออยู่ตลอดเวลาด้วยของสวยงามย่อมเคียงคู่กับสตรีอยู่แล้ว โดยเฉพาะในยุคสมัยถังนั้นสตรีในยุคนี้ขึ้นชื่อยิ่งนักเรื่องอิสระในการแต่งกายและเครื่องประทินโฉมหามียุคสมัยใดเทียบเท่าได้แม้แต่น้อย มี่อิงยกถ้วยชาที่อุ่นกำลังดีขึ้นดื่มด้วยความกระหายน้ำ ครั้นได้ลิ้มรสชาติจากน้ำที่ไหลลงคอและกลิ่นหอมที่สัมผัสได้คนงามเอ่ยออกมาทันที “อือ!...ชาดี! รสเลิศ..อร่อยอะฉันชอบมากเลย” มี่อิงพูดพลางยกกาน้ำชาที่ตั้งอุ่นอยู่บนเตาเทใส่ลงในถ้วยของเธออีก ก่อนจะสังเกตเห็นสายตาของอีกฝ่ายคอยมองเล็บมือของเธออยู่ตลอดเวลา “มีอะไรอย่างนั้นเหรอเธอมองมือฉันทำไม” มี่อิงถามกลับไปด้วยความสงสัยพลางยกมือของเธอขึ้นมาสำรวจโดยรอบก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น “เหตุใดบริเวณเล็บมือของเจ้าจึงถูกแต่งแต้มสีสันตระการตาเช่นนั้นได้..ข้าไม่เคยพานพบมาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นสตรีต้าถังแต่งแต้มเล็บมือเช่นนี้ แม้แต่เหล่าพระสนมชั้นสูงต่างๆ ก็มิเคยปรากฏว่าจะมีการประทินโฉมให้แก่เล็บของพวกนาง” คุณหนูจินเอ๋อถามกลับไปอย่างสงสัยระคนใคร่รู้ มี่อิงยกมือเรียวของเธอขึ้นมามองพลางพลิกไปมาก่อนจะแย้มบางๆ ครั้นได้ยินเช่นนั้น “สิ่งนี้เรียกว่าสีทาเล็บ เป็นเครื่องหมายความสวยงามอย่างหนึ่งที่บ้านเมืองของฉันนิยมกัน” มี่อิงตอบกลับไปอย่างภาคภูมิใจในขณะที่อีกฝ่ายพยักหน้าขึ้นลงเป็นการรับรู้ ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันคล้ายมีคำถามที่ยังค้างคาใจ “แล้วเธอ! ฉัน! คืออะไรเหรอ! เจ้ากล่าวทุกครั้งยามที่พูดกับข้าไม่เข้าใจเลยหมายถึงสิ่งใด” คุณหนูจินเอ๋อถามกลับไปด้วยความสงสัย และนั่นทำให้มี่อิงที่กำลังจิบชาอยู่ในขณะนั้นหยุดชะงักทันทีครั้นได้ยินอีกฝ่ายถามกลับมาเช่นนั้น “จริงสิ! เราดันใช้คำพูดคนละยุคกับในสมัยนี้เข้า คำว่าเธอและฉันพวกเขาก็ไม่เข้าใจ...นี่ฉันจะต้องหัดพูดให้เข้ากับผู้คนในยุคนี้ด้วยละสิ โอ้ย! ไม่ละ..ไม่ละ..เดี๋ยวก็กลับบ้านเราแล้วเคยพูดแบบไหนก็แบบนั้นไปแล้วกัน เปลี่ยนไปใช้ทำไม..โอ้ย กลุ้ม! ทำอย่างไงจะหาทางกลับบ้านได้ละทีนี้” หญิงสาวเฝ้าครุ่นคิดอยู่ภายในใจพลางคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมเอ่ยขึ้น “เออ...คือว่าถ้าจะให้แปลก็หมายถึง เธอคือเจ้า...ฉันคือข้า! อะไรทำนองนี้แหละ...เฮ้อ!!!” มี่อิงพูดพลางทอดถอนหายใจออกมาอย่างแรงในขณะที่อีกฝ่ายเริ่มที่จะเข้าใจ “อ่อเป็นเช่นนี้เอง” จินเอ๋อพูดพลางพยักหน้าด้วยความเข้าใจ หากแต่สายตาจับจ้องอยู่ที่นิ้วมือเรียวสวยของมี่อิงบริเวณเล็บมือซึ่งถูกฉาบด้วยสีนู้ดชมพูกลีบบัว นิ้วเรียวดั่งลำเทียนและเล็บมือที่ตัดได้รูปสวยครั้นเคลือบด้วยสีสันหวานลออตาดังกล่าว ทำให้คุณหนูตระกูลเฉียนเฝ้าจับจ้องมิรู้คลายราวกับว่านางอยากแต่งแต้มเช่นนั้นบ้างท่ามกลางสายตาของมี่อิงจนอดไม่ได้ที่จะถามกลับไป “เธอเอาแต่มองเล็บมือของฉันอยู่ตลอดเวลาเลยแสดงว่าอยากมีเล็บแบบนี้ใช่ไหม” หญิงสาวถามกลับไป และนั่นทำให้คุณหนูตระกูลเฉียนตาลุกวาววับขึ้นมาทันที “อือ...เจ้าคาดเดาได้ถูกแล้ว ข้าอยากเรียนรู้การแต่งแต้มเล็บมือเช่นนี้บ้าง อีกทั้งอยากรู้ด้วยว่าจะสามารถหาซื้อสิ่งที่นำมาประทินโฉมนี้ได้จากที่ใดกัน และยังมีเครื่องประทินโฉมที่เจ้าใช้จนขับดวงหน้าสวยงามอะไรเช่นนี้ซื้อมาจากแหล่งใดบอกข้าได้หรือไม่ ข้าอยากรู้ บางทีถ้ามีเครื่องประทินโฉมดั่งเจ้าอาจทำให้ข้าได้ออกเรือนเร็วขึ้น” คุณหนูตระกูลเฉียนพูดออกไปอย่างไม่อ้อมค้อมต่อหน้าเพื่อนใหม่ของนาง มี่อิงแทบจะสำลักน้ำชาที่กำลังยกขึ้นจิบอยู่ในขณะนั้นออกมาทันทีครั้นได้ยินอีกฝ่ายกล่าวออกมาเช่นนั้น “นี่เธอ! อะไรจะรีบด่วนออกเรือน ปีนี้อายุเท่าไรกันเชียวทำไมถึงอยากมีสามีเร็วถึงเพียงนี้ทั้งๆ ที่อายุก็ยังน้อย” มี่อิงโวยวายออกมาทันใด “แต่ข้าอายุ 17 แล้วนะ สมควรที่จะออกเรือนได้แล้วสตรีรุ่นเดียวกับข้าล้วนแล้วแต่งงานตั้งแต่อายุ 15 ปีด้วยกันทั้งสิ้น จวบจนถึงอายุ 20 ปีหากข้ายังไม่ได้แต่งงาน จะต้องทำให้ท่านพ่อและตระกูลเฉียนของข้าอับอายยิ่งนัก การเป็นสาวเถือไร้สิ้นสามีคอยปกป้องดูแลเป็นสิ่งอัปยศอย่างยิ่งยวด” ห๊ะ! มี่อิงถึงกับอุทานขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น “โอโห่! ถึงขนาดนี้กันเลยเหรอ ถ้าอายุ 20 ยังไม่ได้แต่งงานถูกเรียกว่าเป็นสาวเถือแล้วฉันละมิยิ่งกว่าเถือไปอีกอย่างนั้นเหรอ” มี่อิงบ่นพึมพำออกมาโดยที่อีกฝ่ายฟังเข้าใจบ้างแต่ไม่เข้าใจจะมาเป็นประเด็นหลังจึงรอดตัวไปไม่ต้องอธิบายให้เหนื่อยก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “แล้วนี่ฉันจะออกจากจวนเธอกลับไปที่ประตูเมืองเพื่อกลับบ้านได้อย่างไงเหรอจินเอ๋อ” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ คุณหนูตระกูลเฉียนนั่งนิ่งไปชั่วขณะพลางครุ่นคิดตามครั้นได้ยินคำถามกลับมาเช่นนั้น “ตอนนี้ท่านแม่ทัพสั่งให้ทหารองครักษ์ตามล่าตัวเจ้าทั่วทั้งเมืองฉางอาน แต่ว่าการปิดประตูเมืองทำได้เพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้นตามกฎเมืองไม่สามารถปิดได้ตลอดทั้งวันและทั้งคืน อีกทั้งเป็นวันชีซีผู้คนจากต่างเมืองล้วนเดินทางมาชมงานนี้ที่เมืองฉางอานจึงทำได้เพียงชั่วคราว ยกเว้นจะเป็นพระบัญชาขององค์ฮ่องเต้สั่งลงมาเพราะฉะนั้นใช่ว่าจะไม่มีวิธีที่เจ้าจะกลับออกไปไม่ได้หรอกนะ เพียงแต่ว่าต้องรอเวลาที่เหมาะสม” ใบหน้าแสนสวยยิ้มกว้างออกมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น “ละ..แล้ว...จะออกไปได้เมื่อไรเหรอจินเอ๋อเธอช่วยฉันหน่อยนะขอร้องละ ฉันต้องกลับบ้านเมืองของตัวเองให้ได้และต้องเร็วที่สุดด้วย” มี่อิงบอกความต้องการของเธอให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ท่ามกลางความแปลกใจของคุณหนูตระกูลเฉียน “เจ้าช่างแปลกยิ่งนัก!ผู้คนมากมายจากต่างเมืองและต่างแคว้นมุ่งหน้ามาที่ฉางอานเพื่อต้องการใช้ชีวิตอยู่ภายในเมืองที่มั่นคงและมั่งคั่งเช่นนี้ แต่เจ้าเพียงผู้เดียวกลับไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเจ้านั้นเป็นคนของสกุลจ้าว ซึ่งเป็นตระกูลใหญ่และมีอำนาจมากที่สุดในเมืองฉางอานเหตุใดจึงมิรั้งอยู่” จินเอ๋อถามกลับไปด้วยความแปลกใจ “ก็เพราะที่นี่ไม่ใช่บ้านของฉันนะสิและเป็นสถานที่ซึ่งไม่มีทางที่จะอยู่ได้มันคนละ...” หญิงสาวพูดออกมาได้เพียงแค่นั้น ฉับพลันกลับต้องหยุดลงครั้นคิดได้ว่าอธิบายออกไปก็เหนื่อยเปล่าที่จะอธิบายให้คนในยุคอดีตล่วงรู้ยุคปัจจุบันของเธอ “ช่างมันเถอะ!อย่าไปใส่ใจเลย แต่ถึงอย่างไงฉันจะต้องกลับไปที่ประตูเมืองให้ได้ภายในคืนนี้ เพราะชีวิตของฉันขึ้นอยู่กับที่ประตูเมืองแห่งนั้นจริงๆ นะ” มี่อิงพูดน้ำเสียงจริงจังและเคร่งเครียดออกมาอย่างเห็นได้ชัด คุณหนูตระกูลเฉียนนิ่งฟังอย่างสงบและพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างออกมาจากที่ลำดับเหตุการณ์เอาเองคร่าวๆ “หากข้าเดาไม่ผิดเจ้าผลัดหลงกับคนของเจ้าใช่หรือไม่ เพราะตอนที่ข้ายืนอยู่บนกำแพงเมืองกำลังชมดอกไม้ไฟข้าเหลือบเห็นเจ้าเดินออกมาจากมุมมืดท่ามกลางกลุ่มคนที่กำลังเดินทางผ่านประตูเมืองเข้ามาในฉางอาน” ครั้นมี่อิงได้ยินเช่นนั้นเธอมองหน้าของอีกฝ่าย คนงามพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเพราะการคาดเดาของคุณหนูตระกูลเฉียนไม่ใช่ก็ใกล้เคียง แต่จะบอกได้อย่างไรว่าแม้แต่ตัวเธอเองยังไม่รู้เลยว่าเหตุใดจู่ๆ จึงมาเข้ามาอยู่ในยุคอดีตนี้ได้เช่นกัน “ฉันจำเป็นต้องกลับไปที่นั่นจริงๆ เผื่อบางทีคนที่มาด้วยกันพวกเขาอาจจะกำลังตามหาฉันอยู่” มี่อิงพูดออกมาตามความคาดเดา เพราะคิดว่าเจ้าของร้านชุดฮั่นฝูที่เธอสวมอยู่ในขณะนี้ คงกำลังตามหาตัวเธอจนจ้าละหวั่นเพราะจากเวลาที่เธอหายไปนี่ก็ผ่านมาเกือบห้าชั่วโมงแล้ว ครั้นคิดได้เช่นนั้นเธอยกข้อมือด้านซ้ายถลกชายแขนเสื้อก้มดูนาฬิกาข้อมือที่สวมติดตัวมาเพื่อดูเวลา “เอ้า!...นาฬิกาตาย! ตายได้อย่างไงเนี่ยซื้อมาตั้งหลายหมื่นหยวนเพิ่งใส่ได้ไม่ถึงเดือน หยุดเดินได้อย่างไงกันแล้วนี่เวลาบนนาฬิกาหยุดตั้งแต่สองทุ่มเก้านาที แล้วตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้วก็ไม่รู้” หญิงสาวบ่นพึมพำพลางหันกลับไปมองเพื่อนใหม่ “จินเอ๋อ...ตอนนี้กี่โมงแล้ว” มี่อิงถามกลับไปตามความเคยชิน ฮือ...อีกฝ่ายส่งเสียงอยู่ในลำคอด้วยความแปลกใจครั้นได้ยินคำถาม “เจ้าหมายถึงอะไรเหรอ” จินเอ๋อถามกลับไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD