Chapter 3 หัวใจเหนื่อยล้า

1277 Words
หญิงสาวเก้อไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อน ความรู้สึกเหมือนเด็กขโมยของแล้วโดนจับได้ เมื่อนึกถึงใบหน้าคนที่เพื่อนกำลังพูดถึง แทนที่เธอจะดีใจที่เขายังนึกถึงเธอ แต่ยิ่งเพิ่มความเดือดดาลในใจของหญิงสาวไปอีก ‘ดีนะ! คนที่เรียกตัวว่าแฟน กลับมาเมืองไทย ไม่คิดจะติดต่อหา เป็นอย่างนี้สู้เธอไม่รู้ว่าเขากลับมาจะดีเสียกว่า’ “ติดต่อ แต่ไม่ค่อยเจอ พักนี้ฉันก็งานยุ่ง” ป่านฝันตอบปัดไป ชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างรินนี่ยิ้มบาง แล้วเขาก็ขอตัวออกไป เพราะคิดว่าพวกเธอคงอยากคุยกันสองคนมากกว่า คล้อยหลังชายหนุ่ม รินนี่ก็หันกลับมาถามเพื่อนสาวอีกครั้ง “สายตาของหล่อนปิดฉันไม่ได้หรอก หล่อนกำลังหนีความจริงบางอย่างอยู่ใช่มั้ย” “เปล่า!” ป่านฝันกลอกตาตอบเสียงสูง รินนี่จ้องเพื่อนสาวเหมือนจับผิด ก่อนจะมองไปบนหน้าจอโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของเพื่อนสาว เธอไม่ได้กำลังทำงานเหมือนที่บอกสักนิด ป่านฝันเหมือนรู้ตัวว่าโดนจับผิด เธอรีบตอบเลี่ยง “คือ... ฉันมีเรื่องเครียดนิดหน่อยน่ะ ข้างในก็อบอ้าว ฉันก็เลยออกมารับลม” ป่านฝันเลี่ยงตอบไปอีกครั้ง อย่างน้อยสิ่งที่เธอตอบเพื่อนก็ไม่ผิดทั้งหมดซะทีเดียว ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องราวน่าเบื่อหน่ายต้องมารวมกันหมดในวันนี้ ทั้งเรื่องงานที่คุยกับลูกค้าไม่ลงตัวจนกินเวลานัดหมายกับเพื่อนเอาไว้เกือบชั่วโมง จนเธอรู้สึกขาดความมั่นใจครั้งแรกในรอบสิบปี แล้วยังต้องเจอผู้ชายแย่ๆ แบบนายนั่นอีก จนกระทั่งเข้ามาในงาน เพื่อนของเธอยังจะมาตอกย้ำความรู้สึกของเธออีก “หล่อนอายที่มาคนเดียว เลยไม่อยากเข้าไปเจอเพื่อนในงานใช่มั้ย” คำถามของเพื่อนจี้จุดในใจของเธอ เหมือนมีแรงอัดกระแทกมาที่ตัวอย่างแรง “ฉันเข้าใจความรู้สึกของหล่อนดี บางทีการได้ระบายก็จะทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้นนะ” หญิงสาวถอนหายใจ พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับเพื่อนเสียงเนือย “อือ ถ้าเธอให้ฉันตอบตามความจริง บางทีมันก็มีบ้าง ที่ผ่านมาฉันคิดว่าฉันเพอร์เฟคที่สุด บ้านก็ไม่ได้ยากจนอะไร การศึกษาก็ดี แถมยังมีดีกรีเกียรตินิยมต่อท้าย และจบปริญญาโทจากเมืองนอกถึงสองใบ การงานก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร ถ้าจะว่าไปแล้วความสวยของฉันก็เป็นถึงดาวมหาลัย พอย้อนกลับมาดู และถามตัวเองว่า ฉันมีข้อเสียตรงไหน...” “แล้วพ่อเทพบุตรสุดหล่อ กัปตันนวินล่ะ ยังมีอีตาพี่ราเมทอีกคน เห็นยัยพราวบอกว่าเขาเพิ่งเลิกกับภรรยา กลับมาเกาะแกะหล่อนอยู่ไม่ใช่เหรอ หล่อนไม่เลือกเองต่างหาก หรือจะรอให้นังดาวฉกไปก่อนอีกคน” รินนี่เหน็บเพื่อนขำๆ เพราะรู้กิตติศัพท์ของเพื่อนสองคนดี คนฟังได้แต่ฝืนยิ้มออกมาแกนๆ จะมีใครรู้ดีมากไปกว่าเธออีกละ ชื่อผู้ชายที่เพื่อนบอกมา เธอเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นแฟนเธออยู่หรือเปล่า เพราะแม้กระทั่งเขากลับมาเมืองไทยเป็นสัปดาห์ เขายังไม่ติดต่อหาเธอด้วยซ้ำ “อืม... พี่ราเมท ฉันก็แค่แข่งกับยัยดาวเอาสนุกไปอย่างนั้นเอง” เธอพยายามฝืนหัวเราะออกมากลบเกลื่อนความรู้สึกข้างใน “แล้วพ่อยอดขมองอิ่มคนหล่อล่ะ หล่อนเพิ่งบอกว่ายังไม่ขาดการติดต่อกับเขา” “ทั้งคุณนวินและฉันเองก็งานเยอะอย่างที่เธอเห็น เราสองคนเหมือนเส้นขนานที่กั้นด้วยเวลา หลายปีที่คบกัน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะไปต่อกันดีหรือเปล่า เขากลับมาก็ยังไม่ติดต่อ และจนถึงวันนี้เขายังไม่เคยคุยเรื่องอนาคตกับฉันเสียที” หญิงสาวแหงนหน้ากลอกตามองโคมไฟระย้า กลั้นน้ำตาไม่ให้ลู่ไหลออกมาให้อับอายเพื่อนรัก รินนี่กับพราวลดาเป็นเพื่อนเพียง 2 คนที่เธอสนิทที่สุด สามารถบอกเล่าเกือบทุกอย่างให้ฟัง เมื่อเพื่อนเอ่ยออกมาอย่างนั้นความคิดที่ถูกกดไว้ในก้นบึ้งของหัวใจก็หลุดออกมาในที่สุด แม้เรื่องนี้เธอไม่เคยคิดจะบอกให้ใครรับรู้ก็ตาม แต่บางทีก็คงเหมือนอย่างที่รินนี่บอก การได้ระบายออกมาบ้าง อาจจะลดความหนักอึ้งในใจของเธอให้บางเบาลงไปได้ “ผู้หญิงสมัยนี้มันหมดยุคนั่งรอแล้วย่ะ เขาไม่พูดหล่อนก็ถาม ไม่เห็นยากอะไร” คำพูดแรกทำให้ความกระจ่างในใจเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย ป่านฝันเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อน รินนี่ส่งยิ้มอ่อนโยนมาที่เธอ วางมือบนหัวไหล่ของเพื่อนสาวและบีบเบาๆ ให้กำลังใจ “ถ้าไปต่อกันไม่ได้ อย่างน้อยเธอก็เหลือเวลาที่จะได้เปิดใจกับคนอื่น ไม่ต้องรออย่างเลื่อนลอยอยู่บนคานทองอย่างนี้” ‘คานทองอีกแล้วหรือ’ ทำไมคนรอบข้างช่างตอกย้ำคำนี้กับเธอเหลือเกินนะ “อืม... ขอบใจนะ ฉันจะลองเอาไปคิดดู เธอเข้าไปในงานก่อนเถอะ” “หล่อนไม่เข้าไปพร้อมฉันจริงๆ เหรอ” อีกคนถามย้ำ “ฉันขอนั่งตรงนี้สักพัก แล้วจะตามเข้าไป” “ย่ะ! แม่คนหลากอารมณ์ หลายสีสัน ตามใจหล่อนเถอะ เจอกันในงานแล้วกัน ป่านนี้ยัยดาวกับเพื่อนในงานคงเริ่มเมาแล้วล่ะ” รินนี่เดินไปคล้องแขนแฟนหนุ่มที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วพากันเดินเข้าไปในงาน ป่านฝันลอบถอนหายใจ หยิบมือถือมาเปิดดูภาพในแกลอรี่ฆ่าเวลาเบื่อหน่ายสิ่งแวดล้อมรอบข้าง แต่กลับแยกรอยร้าวที่มีให้เปิดกว้างขึ้นไปอีก เมื่อเมมโมรี่การ์ดล้วนมีแต่ภาพถ่ายงานแต่งงานเพื่อนร่วมรุ่นนับสิบงาน ยิ่งตอกย้ำความขมขื่นในอก ภาพที่เธอถ่ายคู่กับบ่าวสาวหน้างาน มีหลายภาพที่เธอฝืนยิ้มแบบเจื่อนๆ แม้บางภาพท่าทางจะแสดงออกว่ามีความสุข แต่แววตาเศร้าที่สื่อออกมาก็ไม่สามารถปกปิดความรู้สึกหม่นหมองเอาไว้ได้ หญิงสาวเป่าลมหายใจหลายเฮือกติดต่อกัน ฝ่ามือกำโทรศัพท์แน่นสั่นระริกอย่างไม่รู้สาเหตุ สภาพของเธอตอนนี้เหมือนคนกำลังจมน้ำ ขาดอากาศหายใจ มือปัดป่ายตะเกียกตะกายหาที่ยึดเกาะเพื่อพึ่งพิง แต่เธอก็ต้องกัดฟัน ฝ่าฟัน ตะกายออกมาจากวังวนให้เร็วที่สุด ขาของเธอต้องตั้งมั่นเพื่อยืนได้อย่างมั่นคงไม่สั่นไหว คอต้องตั้งเชิดพร้อมเผชิญปัญหา นึกถึงภาระหน้าที่ รวมทั้งหน้าตาทางสังคมที่ตัวเองแบกรับอยู่ สิ่งแวดล้อมรอบข้างทำให้ความสุขของเธอเริ่มลดน้อยลงทุกที สวนทางกับอายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน คำพูดตอกย้ำยิ่งเพิ่มความรู้สึกกดดัน ปวดปร่าให้เธอ แม้จะพยายามมองผ่าน แต่ในความเป็นตัวตนที่หล่อหลอมเป็นป่านฝันกลับยิ่งตะโกนก้องให้เธอเอาชนะคำพูดเหล่านั้น “ฮึ! นี่เป็นอีกสิ่ง ที่ฉันต้องพยายามวิ่งเข้าหาสินะ! ฉันต้องเอาชนะคำพูดเหล่านั้นให้ได้” หญิงสาวพูดกับตัวเอง แหงนหน้ามองแสงไฟเบื้องหน้าที่ทอระยับลงมาข้างตึกโรงแรมหรู เธอจะทำให้ได้ตามที่พูด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD