7

2099 Words
ช่างมัน เธอเลิกสนใจโทรศัพท์เมื่อเห็นว่าแบตหมด และเธอควรจะเลิกคิดได้แล้ว ลืมไปหรืออย่างไรว่าถูกเขาหลอก คิดได้แบบนั้นจึงลุกเอาโทรศัพท์ไปเสียบชาร์ต แล้วตรงไปเปิดเพลงให้ดังลั่นๆห้อง กลบความรู้สึกหมองหม่นในใจ ค่อยตรงไปล้างหน้าอาบน้ำ หาอะไรกินหน่อย กินยาตามอาการพวกนั้นก็คงดีขึ้น ฝืนเต้นไปตามเสียงเพลงสนุกๆที่เปิดดังลั่นนั่น แต่มันไม่สนุกเลยสักนิด บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าช่างมันเถอะ ช่างมัน เลิกคิดอะไรที่ทำร้ายตัวเองเสียที แล้วเลือกเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้สบายตัว ของกินในห้องไม่มีเลยรวมทั้งยาลดไข้ด้วย จึงไปคว้าเอาเสื้อคลุมมาสวมทับเพื่อจะออกไปดูที่ร้านสะดวกซื้อๆใกล้ๆนี่ ทันทีที่เปิดประตูออกมา ใจที่เหมือนถูกมีดกรีดก็รัวจังหวะขึ้นมาทั้งที่มันยังเจ็บปวดอยู่ยิ่งทำให้เธอเจ็บมากยิ่งขึ้น “จะกลับทำไมไม่บอกผม” ปุญญ์ยืนกอดอกมองมาด้วยสายตาเครียดๆ แถมน้ำเสียงของเขาก็ฟังดูคล้ายจะคาดคั้นอยู่ในที พิชชาอรกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ข่มความประหม่า พยายามควบคุมตนเองไม่ให้สั่น ย้อนถามเขากลับไป “มีอะไรหรือคะ” “ผมเป็นห่วงคุณน่ะสิ” เขาบอกทั้งยังเดินเข้ามาหาพร้อมกับกวาดสายตามองใบหน้าซีดๆของเธอ “ไม่สบายหรือ ผมนึกว่าคุณมีงานด่วน ไปหาที่ทำงานเขาบอกว่าคุณไม่ได้ไป” เขาเล่าเป็นฉากๆ แล้วยังยกมือจะมาแตะใบหน้าของเธออีก แต่พิชชาอรเบี่ยงหน้าหนีทั้งยังปัดมือของเขาออกไป บอกเสียงดุ “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” “คุณเป็นอะไรกี๋” “อย่ามาเรียกชื่อฉันเหมือนเราสนิทสนมกัน ถ้าไม่มีอะไร ฉันขอตัว” เธอพยายามแล้ว แต่เสียงก็ยังคงสั่นอยู่ อดไม่ไหวที่น้ำตาทำท่าจะหยดลงมาในท้ายประโยค จนต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทางรับยกมือแตะเช็ดมันเสียโดยไว อย่าให้คนแบบนั้นเห็นความอ่อนแอของเธอ “เดี๋ยวก่อนกี๋คุณเป็นอะไร เราต้องคุยกันแล้วล่ะ”            พิชชาอรคิดว่าตนเองตะเบ็งเสียงบอกเขาอย่างดังเสียอีก แต่มันฟังดูแผ่วเบาเหลือเกิน “ขอร้องเถอะคุณปุญญ์ อย่ามายุ่งกับฉันอีก...ได้ไหม” น้ำตาที่เช็ดไปเมื่อครู่ไหลพรากๆลงมาอีกราวกับหยาดฝนบนฟ้าในฤดุของมันอย่างไรอย่างนั้น ปุญญ์มองท่าทีของเธออย่างงงันทั้งยังหงุดหงิดหน่อยๆ เขาไม่เคยต้องมาตามง้อใคร บอกด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นทางการ “ไม่ยุ่งได้ยังไงกันกี๋ ก็เรายุ่งกันแล้ว” “งั้นเอาเช็คมา แล้วคุณก็ไปได้” “เช็คอะไร” “เช็คเงินสด คุณเอามาด้วยหรือเปล่า ถ้าเอามาก็ขอฉัน แล้วคุณจะกลับก็เชิญ” “เดี๋ยวสิ ทำไมเป็นแบบนี้ เลิกพูดแบบนี้ทีเถอะ ผมรู้นะว่าคุณไม่เคยมีใคร และผม…” “แล้วยังไง ไม่เคยอะไร ถ้าจะไม่จ่ายก็ไปได้แล้ว เสียเวลาฉัน” “ก็ได้ ถ้าคุณอยากได้เงินผมจะให้ แต่ตอนนี้ผมไม่มีเช็คติดตัวมา มีเงินสดแค่หมื่นกว่าบาท พอไหม” ปุญญ์เน้นคำประชดประชันใส่เธอ “ก็เอามาสิ ฉันต้องการเงิน” เธอแกล้งแบมือ แล้วเขาก็ล้วงกระเป๋าออกมาดึงธนบัตรออกมาจนหมดส่งให้ “รวยระดับชาติมีเงินติดตัวมาแค่นี้เองหรือ แต่ก็ดีกว่าเสียตัวฟรีๆ” พิชชาอรแกล้งว่าเสียงเยาะ ได้ผลที่ปุญญ์หน้าตึงทันทีที่เธอพูดจบ “ผมมีเงินติดในบัญชีอีกหน่อย ผมจะโอนให้”   “โอนตอนนี้เลยได้ไหมคะ” เธอแกล้งก้มหน้านับเงินที่ไม่ได้มีสมาธินับนักว่ามีอยู่กี่ใบแน่ แล้วเงยหน้ามาประจันเขายืนกอดอกพิงกรอบประตู บอกเขา “หมายเลขบัญชีนะคะ …” เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาจิ้มๆอยู่ครู่แล้วส่งจอให้เธอดู “ผมโอนให้แล้ว” เธอเดินกลับหยิบโทรศัพท์มากดดูก็เห็นว่ามีข้อความเข้าบอกจำนวนเงิน เลยแกล้งทำตาโต เงินเจ็ดหลักที่โอนเข้าบัญชียิ่งทำให้หัวใจของเธอร้าวราน พิชชาอรฝืนยิ้มเงยหน้าบอกเขาด้วยสีหน้าเอือมเล็กน้อย “คงพอแล้วมั้งคะระหว่างเรา คุณได้ฉัน ฉันได้เงิน แฟร์ๆดี วินกันทั้งคู่” ใบหน้าหล่อเหลาปุญญ์ดูเครียดขรึ้งมากขึ้นหลายเท่านัก เขาพยายามระงับอารมณ์ตนเองที่อยากจับคนตรงหน้ามาลงโทษให้หายพยศเสียนัก เขาไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงมีท่าทีแบบนี้ ได้แต่บอกออกไป “ผมกลับก่อนดีกว่า ไว้อารมณ์คุณดีกว่านี้ เราค่อยคุยกันใหม่ ผมไม่เชื่อหรอกที่คุณบอกว่าต้องการเงินน่ะ” “ใครจะปฏิเสธเงินได้ลงคอล่ะคะจริงไหม ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะ...สำหรับทุกอย่าง โดยเฉพาะเงินนี่” ปุญญ์มองเธอด้วยสีหน้าแคลงใจ ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อตามที่เธอพูดโดยเด็ดขาด แต่ไม่อยากรบเร้าเธอในตอนนี้ ระหว่างเขาและเธอคงมีบางสิ่งบางอย่างเข้าใจผิดกัน แล้วจึงยอมถอยหลังหนึ่งก้าว เพื่อให้เธออ่อนลง แล้วค่อยคุยกัน ตอนนั้นคงจะทำความเข้าใจกันง่ายดายมากกว่านี้ คล้อยลงเขาแล้วพิชชาอรกลับเข้าห้องด้วยอาการตัวร้อนหนักกว่าเดิม เธอป่วยอยู่อีกสามวันอาการค่อยดีขึ้นแล้วกลับไปทำงานด้วยหัวใจเหี่ยวเฉาเหมือนต้นไม้ใกล้ตาย “ได้ค่ะคุณหงส์ ขอบคุณมากนะคะ” พิชชาอรวางสายลงแล้วค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก ฝ่ายบุคคลโทรมาแจ้งว่ารับผู้จัดการสาขาพัทยาได้แล้ว และทางนั้นก็พร้อมจะเริ่มงานได้ทันที เธอจึงเข้ามาเคลียร์งานที่เหลือจนเรียบร้อยก็ร่ำลาเด็กๆในร้าน ก่อนจะกลับไปเก็บกระเป๋า พรุ่งนี้อีกหนึ่งวันก็จะได้กลับเสียที ส่วนเรื่องอื่นๆเธอจะปล่อยทิ้งมันไปเสียที่นี่นั่นแหละ “เอ...แปลกแฮะ วันนี้พี่ปุญญ์มาแบบไม่ต้องชวน มีอะไรหรือเปล่าฮะ” นาวินทักญาติผู้พี่ที่นั่งจิบเหล้าคนเดียว ที่เด็กในร้านบอกว่ามาได้ครู่ใหญ่แล้ว มาถึงก็สั่งเหล้ามานั่งดื่มไม่พูดไม่จากับใครสักคน ปุญญ์ไม่ตอบอะไรเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งจิ้มๆอยู่อึดใจ แล้วยกขึ้นแนบหู ก่อนจะเขวี้ยงลงอย่างหงุดหงิด หลังจากวันนั้นเขาก็ต้องกลับไปจัดการปัญหาที่กรุงเทพโดยด่วนหนึ่งสัปดาห์ที่คิดว่าจะปล่อยพิชชาอรให้สงบลงค่อยมาคุยกันดีดี ปรากฏว่าตอนนี้เขาติดต่อเธอไม่ได้เสียแล้ว มันน่านัก เขายอมรับว่าติดใจในเรือนร่าง รสสัมผัสแนบแน่นจากเธอ และ...อะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างในใจที่รู้สึกกับเธอนั่นอีก ไม่อยากมั่นใจว่าแบบนี้จะใช่ความรัก แต่ตอนนี้เขาอยากพบเธอ อยากคุยกับเธอให้เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่างกัน นาวินที่มองพฤติกรรมแปลกๆของปุญญ์ถามอย่างใคร่รู้ “มีอะไรหรือฮะ” ปุญญ์ทิ้งเรื่องส่วนตัวแล้วคุยเรื่องงานกับญาติผู้น้องทันทีราวกับมืออาชีพ “ลูกน้องเราทำเรื่องอีกแล้วนะวิน แต่ยังไม่มีใครรู้ พี่ให้เด็กที่รับผิดชอบมันหุบปากเอาไว้ก่อน” นาวินวางแก้วในมือลง บีบกันแนบแน่น ชื้นเหงื่อเมื่อรู้ว่าถูกคนของปุญญ์จับได้เสียแล้วกับการทุจริตจัดซื้อจัดจ้างครั้งล่าสุดที่เขาเป็นหัวหอกคนสำคัญในทีม แต่มาทำผิดเสียเอง บอกเสียงอ่อย “คือ...พี่ปุญญ์ฮะ ผมร้อนเงินจริงๆนะพี่” “ทำไมไม่บอกพี่ ไปยักยอกเงินในเครือได้ยังไง” “แล้วพี่จะให้ผมทำไง” “รับสารภาพเองเถอะ วันประชุมมะรืนนี้” “พี่ปุญญ์!” “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะวิน พี่ช่วยเราปิดมาหลายครั้งแล้ว คราวนี้เราต้องยอมรับเสียที พี่ช่วยได้เท่านี้” ท่าทางเครียดๆของปุญญ์ทำเอานาวินไม่กล้าเซ้าซี้อีก ทั้งยังลอบมองอีกฝ่ายที่ตั้งท่าดื่มด้วยสายตาขัดเคืองใจ เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกันถ้าคณะกรรมการบริหารรู้ว่าเขาทุจริต และเรื่องนี้ก็มีปุญญ์คนเดียวที่รู้เรื่อง ถ้าไม่มีปุญญ์บนโลกนี้ล่ะ ใช่! เขาก็จะรอดตัวไปได้อย่างไรเล่า มันผิดกับความคิดชั่ววูบนั่น แต่แล้วมีหนทางอื่นอีกหรืออย่างไร นาวินคิดกลับไปกลับมาก่อนจะลุกพรวดออกจากตรงนั้นเพื่อยกโทรศัพท์สั่งการกับลูกน้องของตนเอง ปุญญ์ยังคงหมกมุ่นกับโทรศัพท์เลยไม่สนใจใครอีก เขาต่อสายหาพิชชาอรอีกทีและคราวนี้เธอก็ยอมรับสายเขาแล้ว “ผมอยากคุยกับคุณ” ปุญญ์บอกเสียงยินดี “คุยมาได้เลยค่ะ” “ธุระสำคัญ คุยแบบนี้ไม่สะดวก คุณอยู่ที่ห้องใช่ไหม ผมไปหานะ” “ค่ะ ฉันกลับห้องแล้ว” “ผมจะไป” ปุญญ์ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อยหลังวางสายแล้วเขาผลุนผลันออกจากร้านของนาวินตรงไปยังที่ห้องพักของพิชชาอร แต่พอไปถึงก็ได้รับคำตอบว่าเธอย้ายกลับกรุงเทพไปแล้ว ด้วยความโมโหที่เธอทำให้เขาเหมือนไอ้งั่ง คอยตามตื๊อตามหาอยู่แบบนี้ ปุญญ์ตัดสินใจขับรถเข้ากรุงเทพในคืนนั้นทันที ระหว่างทางก็ได้แต่คิดวุ่นวายสับสนอยู่ในหัว มันเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของเขา ทำไมเขาถึงต้องมาตามผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งแบบนี้ด้วย ตั้งแต่ที่ไปเกาะด้วยกันนั่นแล้ว ที่พิชชาอรทำตัวแปลกๆ เขาได้ลิ้มรสความหอมหวานรัญจวนใจจากกายของเธอ ที่มันเป็นครั้งแรกสำหรับพิชชาอร แล้วเหตุใดเธอจึงวิ่งหนีเขา หรือเธอต้องการเงินจริงๆ จะเป็นไปได้เช่นไร หากเช่นนั้นสู้จับเขาปล่อยให้ท้อง จะไม่ได้มากกว่าวันที่เขาให้อีกหรือ ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน ปุญญ์เหยียบเท้าลงไปที่คันเร่งจนเกือบสุด เมื่อถนนเบื้องหน้าว่างเปล่าจากการจราจรเนื่องจากเป็นเวลาเข้าวันใหม่ไปแล้ว และยังเป็นคืนวันทำงานที่ไม่ใคร่จะมีใครสัญจรกันนัก ความง่วงงุนบวกกับฤทธิ์ของเครื่องดื่มที่รับเข้ามา ทำให้เขาหลับไปวูบหนึ่ง ก่อนจะสะดุ้งตื่น เมื่อมีเสียงแตรดังลั่นที่ด้านหลัง รถของปุญญ์เบียดเข้าไปในเลนกลางจน รถคันนั้นตกใจ เขาสะดุ้งเฮือกตั้งสติ ยกมือขยี้ตาตนเอง ให้ฝืนขับไปต่อ อีกไม่กี่มากน้อย เขาจะเข้าเขตของกรุงเทพแล้ว แต่เส้นทางของถนนที่ตรง บวกกับร่างกายที่อ่อนเพลียทำให้ร่างกายของปุญญ์หลับวูบไปอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีสิ่งใดมาเตือนเขา โครม! รถหรูเบียดเข้าไปชนกับรถอีกคันที่อยู่ในเลนข้างๆ จนกระเด็นพลิกคว่ำไปมาอยู่สามสี่ตลบ เดชะบุญที่มันไม่ตกจากทางด่วนลงไปด้านล่าง แต่อย่างนั้นแล้วก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ชายหนุ่มถูกดึงห้อยศรีษะด้วยเข็มขัดนิรภัยในรถสมรรถสูง เลือดไหลเปรอะซึมออกมาจนย้อยหยด ภาพเบื้องหน้าเขากลับพลิกตีลังกาอยู่ ปุญญ์หลับตาแล้วลืมขึ้นมาใหม่ก็เห็นภาพคนวิ่งไปมา แสงไฟสีแดงวูบวาบอยู่ไม่ไกลจากเขานัก แต่สติของปุญญ์ไม่สามารถรับรู้อะไรแล้ว เขาถูกนำตัวขึ้นนอนพาดยาวภายในรถกู้ชีพ ชายหนุ่มปิดตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกว่าถูกเคลื่อนย้ายอีกครั้ง พร้อมกับเห็นแสงไฟสีขาวด้านบน เหมือนร่างถูกนำไปบนรถเข็นพาวิ่งเข้าไปยังที่ไหนสักที่ ก่อนสติสัมปะชัญญะของเขาจะดับวูบลงอย่างสุดฝืนได้อีกต่อไป  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD