หย่งฉีมารแดงผู้ลักลอบฝึกคัมภีร์ต้องห้ามสัวกู่เซียน ฝึกจนสำเร็จกลายเป็นมารแดง สูบเลือดข้าศึกศัตรูนำมาอาบต่างน้ำ ดื่มกินเลือดสดๆเป็นอาจิณ สมสู่สาวงามและสตรีพรรมจรรย์เป็นนิจศีล มารแดงทำร้ายจับตัวเข่นฆ่าผู้คนจนยุทธภพปั่นป่วนไปทั่ว มารแดงหย่งฉีนั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลา มีอกตึงแน่นไปทุกส่วน สตรีรายรอบล้วนเต็มใจให้ตนสูญหาย ปรารถนาซักคราว่าจะถูกคร่าพรรหมจรรย์ ยามใดธงแห่งมารแดงโบกสะบัด ยามนั้นสตรีล้วนมิอยากจะหลับนอน ออกท่องไปทั่วเมือง ตามหาหัวหน้ามารแดงผู้เลื่องชื่อ
หย่งฉีแห่งพรรคมารแดง มีริมฝีปากแดงชาด เนื้อตัวขาวผ่องเป็นยองใย แม้แต่บุรุษด้วยกันยังชื่นชมในรูปโฉม แต่ทว่ามารนั้นย่อมเป็นมาร ดวงตาสีแดงฉานและใบหน้าที่มิเคยยิ้ม ยามยิ้มคือยามที่เห็นเลือดรินรดไปทั่วทั้งผืนปฐพี หย่งฉีดื่มเลือดที่ชะโลมอยู่บนดาบ ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใดก็ยังหาผู้ต่อกรด้วยยังมิพบ
หย่งฉีว่องไวดุจปีศาจนรก ยามที่ประมือกับหย่งฉี ผู้หาญกล้าที่จะต่อกรจะต้องพบกับฝนเลือดหลั่งรินลงมาจากฟากฟ้า และยามนั้นคือยามที่ม้วยมรณา ในยามที่ดวงตางดงามนั้นได้เคลื่อนมาใกล้เพียงแค่คืบ
หย่งฉีผู้เป็นฝ่ายอธรรม ในยามที่พบพานสตรี ล้วนคล้ายกับพบสิ่งของที่ดาดดื่น สตรีมีไว้ดื่มกินเลือดเนื้อและฉีกคร่าพรหมจรรย์ มิใช่สิ่งที่เป็นของล้าค่าอันใดเลย หย่งฉีนั้นชอบการล่า ทุกสิ่งที่ดิ้นได้ วิ่งไปมา ล้วนถูกใจมารแดงไปทุกสิ่ง สตรีวิ่งกรีดร้องในป่าทึบ สัตว์ที่บาดเจ็บหนีตายตัวสั่นเทา บุรุษเพศชาวยุทธภพที่ถูกล่า เฉกเช่นกวางที่กำลังผลัดเขาในป่าทึบ วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปมา หย่งฉียิ่งชมชอบ มารแดงเสพติดความตาย ความทุกข์ทรมาน ยิ่งมนุษย์กรีดร้องเท่าใด มันยิ่งสำราญใจอย่างยิ่งยวด สุขอันใดจะสุขเท่าผู้อื่นทุกข์ทรมาน
"กรีดร้องเข้าซิ ยามที่อยู่ต่อหน้าข้า จงกรีดร้อง ให้คอเจ้าแตกสลายเป็นผุยผง ยามเมื่อเจ้าร้องจนหมดสิ้นลม ข้าจะพรากทุกสิ่งไปจากเจ้า "
เสียงเย็นยะเยือกล่องลอยมาที่ริมหูติดค้างในสมองของผู้คนทั่วยุทธภพ ช่างน่าหวาดผวานัก ผู้คนจึงร้องถึงทางการ ให้หาคนมากำราบมารแดงซะ เรื่องนี้จึงร้อนไปถึงสำนักง้อไบ๊ ผู้ผดุงคุณธรรมอันงดงาม มีวิชายุทธเป็นเลิศ แม้เกิดเป็นสตรี แต่ยังมิพบว่ามีบุรุษใดสามารถกำชัยเหนือนางได้ เรื่องนี้จึงร้อนไปถึงนางในทันใด ซึ่งนางผู้นั้นก็คือสตรีอันดับหนึ่งของง๊อไบ๊ ชื่อของนางคือเจี้ยนหวานั่นเอง
“เจ้ามารแดงบ้าราคะ ข้าจะกำราบเจ้าให้สิ้น หากเจ้ามิตกตายไปอย่าได้เรียกข้าว่าเป็นศิษย์ของสำนักง๊อไบ๊ต่อไปอีก “
เจี้ยนฮวากู่ร้องตะโกนลั่น นางจะต้องกำราบมารแดงตนนี้ให้สิ้นไปจากปฐพีให้จงได้
"อา...ช่างน่าสนใจนัก มารแดงหรือ หึ หึ หึ "
เจี้ยนฮวานั่งฟังศิษย์น้องแห่งเขาง้อไบ๊ สำนักปราบอธรรมค้ำฟ้า สำนักแห่งผู้กล้า ที่ล้วนเป็นสตรีในชุดขาว
แต่เจี้ยนหวานางแตกต่าง นางชื่นชอบสีแดงเพลิง นางจึงคล้ายศิษย์ทรพีในสำนักชี แห่งง้อไบ๊
อาจารย์ของนางเป็นแม่ชี แต่นางนั้นมิใช่ นางชื่นชมความงดงาม สิ่งของแปลกตา นางคล้ายพวกนอกรีตในช่วงเวลานี้ แต่นางนี่แหละเป็นศิษย์เอกของแม่ชี มู่หลานแห่งสำนักง้อไบ๊
นางมีสัญลักษณ์ดอกไม้แดง ที่กลางหน้าผาก ยามถูกทิ้งที่ตีนเขาง้อไบ๊ แม่ชีแห่งง้อไบ๊ ต่างก็ช่วยกันอุ้มชูนางมา
" เช่นนี้จะผิดอันใด ตัวนางล้วนมิมีผิด ผิดแล้วเช่นใดหรือ สิ่งใดกันที่นางทำผิด สิ่งนั้นมิมีจริง !!!"
"นางคล้ายควรเกิดในพรรคมารใช่หรือไม่"
สิ่งนี้ติดอยู่ในใจผู้คนในง้อไบ๊ แต่มิมีผู้ใดกล้าเอื้อนเอ่ย เจี้ยนหวามีใบหน้างดงามแปลกตา กายของนางสักหัวกระโหลกติดกาย มีมาแต่กำเนิด ชุดของนางยามเป็นทารกล้วนสีแดงเพลิง ยามที่ถูกผลัดเปลี่ยนเป็นสีอื่น นางจะร่ำไห้จนสำนักแตก
เช่นนี้ นางจึงถืออภิสิทธิ์แต่ยามเยาว์ใส่ชุดสีแดงเลือด ผู้คนล้วนชินชา มิกล้าเอ่ยคำ เอ่ยหนึ่งคำ นางจะประเคนทั้งเท้าและหมัดมวย เช่นนี้สงบคำลงมิดีกว่าหรือ บางผู้คนยังนึกสงสารตนเองว่า ยามบากบั่นขึ้นเขาง๊อไบ๊ คลานขึ้นหน้าประตูสำนัก ผ่านค่ายกลสารพัด ล้วนเพราะศรัทธา ในปรมาจารย์แห่งง๊อไบ๊ ทั้งสิ้น
บากบั่นขึ้นเขาเจ็ดวันแปดคืน ผ่านค่ายกลร่วมเดือนถึงแรมปี จนสำเร็จด่านชั้นแรก จวบจนได้กราบอาจารย์แห่งง๊อไบ๊ สำเร็จเป็นศิษย์และอาจารย์ แต่ยามพบศิษย์พี่ผู้แรก ศิษย์เอกในสำนัก ผู้คนล้วนอ้าปากค้าง
นั่นสตรีแห่งพรรคมารใช่หรือไม่ หน้าตานางเหี้ยมโหดนัก นางถือดาบยาวยกขึ้นพาดบ่าดั่งนักเลง ทั้งใช้ใบหน้าหวานล้ำ ดวงตาดุดั่งแม่เสือร้ายในป่าลึก ทุกสิ่งในตัวนาง....ล้วนนน....น่าสยดสยอง
"มองอันใดกัน ยังไม่เร่งคารวะข้าอีก ก้มหัวเจ้าลงไป เจ้าพวกเต่าโง่ !!! "
ศิษย์น้องล้วนแข้งขาสั่น ตื่นตระหนก สั่นไปทั้งกาย ขาพับลงในทันใด แขนก็ร่วงลงพื้นโดยทันที ผู้คนตัวสั่นพั่บๆ ยามมองเห็นรอยสัก รูปหัวกระโหลกบนกายนาง
" นี่ใช่สำนักนางชีจริงหรือ เหตุใดข้าเหมือนเข้าฝ่ายพรรคมาร หรือผู้ใดเขียนป้ายสำนักผิด โอ้ สวรรค์ โปรดช่วยข้าให้กลับลงไป อ่านป้ายสำนักใหม่ดีหรือไม่ สวรรค์ท่านทำอันใดกัน !!! "
ศิษย์ใหม่กรีดร้องในอก และตีอกชกตัวตนเองแรงๆ
"เจ้าบ้านี่มันเป็นอันใดกัน ศิษย์น้องรอง ผู้ใดทำชิ้นส่วน ค่ายกลตกกระแทกหัวของมัน แรงไปใช่หรือไม่ เหตุใดจึงทำท่าวิปริตเช่นนั้น ช่างอุบาทลูกตาข้ายิ่งนัก ผู้ใดกล้ารับมันเข้ามากัน เตะมันลงเขาไปใหม่ดีหรือไม่เล่า "
"อย่าเจ้าค่ะศิษย์พี่ นั่นท่านอาจารย์ รองเตียวเอี้ยน รับมันเข้ามาเองเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ว่า มันว่องไวพอจะฝึกสอนได้บ้างเจ้าค่ะ ปีนี้ผู้ผ่านทดสอบน้อย เช่นนี้เราก็ต้องจำใจ ฝึกฝนมันไปก่อนเจ้าค่ะ "
ศิษย์น้องรองกอดรัดเอว เจี้ยนหวาดึงรั้งเอาไว้แน่นๆ แล้วก็กระซิบบอกความเบาๆ เจี้ยนหวาจึงยอดหยุดขาก้าวเดิน และกระซิบกลับเสียงเย็น
"เช่นนั้น ยามที่มีผู้ผ่านด่านครบ ข้าจะถีบมัน ตกเขาไปเองในทันที !!!!
เจี้ยนหวาแสยะยิ้ม ผู้คนล้วนตัวสั่นพับๆ ขยับกายก้มงุดๆ มีเพียงอาจารย์ผู้ฝึกสอน ต่างส่ายหัว กับอุปนิสัยเอาแต่ใจของนาง แต่ทำใจลงโทษนางมิได้
นางเก่งกาจกว่าผู้ใด ช่างเจรจาปลิ้นปล้อนตลบแตลง กลับดำกลายเป็นขาว ฉลาดล้ำเลิศ เช่นนี้เอาอันใดมาแลกนางไป ก็มิยอมเสียไปโดยง่ายหรอก
เช่นนี้ก็ปล่อยนางตามใจเถิด เรื่องของนาง หากนางจะคิดปรับปรุง คงมีซักวันหนึ่งในชาติหน้า ในตอนบ่ายๆกระบัง ตอนเช้านาง ก็คงยังมิยอมตื่นอีกนั่นหล่ะ
นางช่างรบกวนหัวใจ อาจารย์ผู้สั่งสอนนางมานัก แต่ปฎิเสธมิได้ว่า นางเก่งกาจกว่า แม้แต่อาจาย์เองยังประมือแพ้นาง ในหลายครา ดังนี้นางจึงเป็นความหวัง ของง้อไบ๊ในอนาคต ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่นางแล้ว