“ไม่...ไม่ ช่วยด้วย ช่วยด้วย ณัชญ์อย่าทำอย่างนี้ ณัชญ์อย่าทำ”
เธอร้องขอเขาเสียงหลง ขยับตัว ออกแรงทั้งหมดที่มีสะบัดเนื้อตัวไปมา ส่ายหน้าหนีอยู่ตลอดเวลา มือใหญ่ของณัชญ์ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ ชายเสื้อไม่สนใจคำร้องขอ คำอ้อนวอน เสียงร้องไห้และน้ำตาของวชิราภรณ์ สิ่งที่เขาตั้งใจยังคงตรึงอยู่ในสมอง มือแข็งแรงกำลังจะเลิกขึ้นสูงแต่ต้องพลันชะงักเมื่อบานประตูห้องเปิดออก ตามด้วยเสียงของรุ่งรุจีที่แผดดังก้อง
“ณัชญ์ นายทำอะไรผึ้ง นายทำอะไร ปล่อยผึ้งเดี๋ยวนี้นะ”
รุ่งรุจีได้ยินเสียงแว่วๆ ดังออกมาจากห้องพักขณะที่เธอกำลังไขใช้คีย์การ์ดเปิดประตู พอเปิดประตูกว้างเท่านั้น เสียงร้องขอความช่วยเหลือของคนกำลังพลาดท่าก็ดังเต็มสองหู ภาพที่ณัชญ์เพื่อนสนิทกำลังปลุกปล้ำวชิราภรณ์เต็มสองตา เธอรีบสาวเท้าไปยังสองร่างที่หันมามองต้นเสียงด้วยสายตาแตกต่างกัน ณัชญ์มองเธอด้วยสายตาเต็มล้นไปด้วยความตกใจ สายตาของคนตกเป็นรองเต็มไปด้วยความเสียใจที่มีความดีใจแฝงไว้ในที
“นายเป็นบ้าอะไร เมาจนขาดสติเลยหรือไง ผึ้งเป็นเพื่อนนายนะไม่ใช่อีตัว”
รุ่งรุจีวิ่งเข้ามากระชากร่างหนาที่คร่อมร่างของเพื่อนสาวอย่างแรง ความตกใจที่ตะลึงค้างทำให้เขาไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างหนาจึงล้มหงายลงบนที่นอน ก่อจะชันตัวลุกขึ้น มองร่างของวชิราภรณ์ที่โผกอดร่างของรุ่งรุจี ร้องไห้ตัวโยน เสียงสะอื้นดังก้อง ความมึนเมาหายเลือนหายทีละน้อย
“นายทำอย่างนี้ทำไมณัชญ์ นายทำอย่างนี้ได้ยังไง ผึ้งเป็นเพื่อนนายนะ นายบ้าไปแล้วเหรอ” รุ่งรุจียังต่อว่าเพื่อนชายต่อไป
“จี ณัชญ์ ณัชญ์ไม่ได้...เพี้ยะ”
ยังไม่ทันที่ณัชญ์จะพูดจบประโยคดี ฝ่ามือของรุ่งรุจีก็ฟาดลงมาบนแก้มขาวของเพื่อนชายเต็มแรง เรียกสติให้เกิดกับณัชญ์ได้ในทันที
“พาผึ้งออกไปจากที่นี่จี พาผึ้งออกไปจากที่นี่ที...ฮือ”
วชิราภรณ์พูดเสียงสั่นเครือ น้ำตานองหน้า หันมามองหน้าณัชญ์ด้วยสาตาที่โกรธแค้น คนที่ถูกมองถึงกับหน้าถอดสี สำนึกผิดในเรื่องที่ทำลงไป
“ผึ้ง ณัชญ์ขอโทษ ณัชญ์รักผึ้งนะ”
เขาพยายามพูด พยายามอธิบาย ทว่าวินาทีนี้วชิราภรณ์ไม่ต้องการฟังอะไรทั้งสิ้น เธออยากจะออกไปจากตรงนี้มากที่สุด
“จี พาผึ้งออกไปจากห้องนี้ที”
คนถูกกระทำร้องขอเพื่อนสาวอีกครั้ง รุ่งรุจีจึงทำตามที่วชิราภรณ์ต้องการ ประคองร่างของเพื่อนสนิทลุกเดินออกไปจากห้อง ณัชญ์ทำท่าจะลุกขึ้นตามสองสาวไปด้วย ทว่าเสียงของรุ่งรุจีที่บ่งบอกถึงความโกรธและความไม่พอใจ เปล่งห้ามเสียงดัง
“หยุดตรงนั้นนะณัชญ์ เสียแรงที่ไว้ใจ เสียแรงที่คบกันมานาน นายไม่น่าทำอย่างนี้เลย ต่อไปนี้นายกับฉันไม่ใช่เพื่อนกันอีกต่อไปแล้ว ฉันรับไม่ได้กับการกระทำของนายในครั้งนี้ ผึ้งเองก็เหมือนกัน ผึ้งก็รับไม่ได้ในสิ่งที่นายทำ”
รุ่งรุจีก้าวเดินต่อไปโดยประคองร่างเพื่อนสาวที่ร้องไห้ไม่หยุด เธอรับไม่ได้ในสิ่งที่ณัชญ์กระทำ วชิราภรณ์เองก็คงจะเสียใจ เสียความรู้สึกกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย และอาจจะไม่ลบเลือนหายไปจากจิตใจ
ณัชญ์ยืนค้างอยู่ตรงจุดนั้น ยืนนิ่งราวกับหุ่นที่ถูกปูนซีเมนต์ชั้นดีโบกทับ ขาทั้งสองข้างยกขึ้นเพื่อก้าวเดินไม่ได้ ริมฝีปากเสมือนมีหินมาถ่วงไว้ไม่ให้ขยับพูด
นี่เขาทำอะไรลงไป...เขาทำอะไรลงไป ทำในสิ่งที่น่ารังเกียจนั้นไปได้อย่างไร ใช้สมองส่วนใดคิดทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ ความเป็นเพื่อนที่สะสมมานานร่วมสิบปี สูญสิ้นลงในวันนี้เพียงวันเดียว เพียงเสี้ยววินาทีของความคิดชั่วช้านั้น แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่เขาคิดและทำ มาจากความรักที่มีต่อวชิราภรณ์ทั้งสิ้น หากแต่ผลของการกระทำไม่ได้เป็นดั่งที่คาดการณ์ไว้ มันเลวร้ายมากกว่านั้นหลายร้อยหลายพันเท่า ไม่รู้ว่านานกี่นาทีที่เขายืนค้าง พอขาเริ่มขยับได้เขาก็รีบวิ่งออกไปจากห้องทันที ใช้บันไดแทนลิฟต์เพื่อความรวดเร็ว กวาดสายตามองหาร่างสองร่างที่เดินออกไปจากห้องหลังจากที่วิ่งลงมาถึงล็อบบี้ของโรงแรม พลันสายตาสะดุดเห็นร่างของเพื่อนสาวทั้งสองคนที่กำลังขึ้นรถตู้ของทางโรงแรม ณัชญ์รีบวิ่งไปยังด้านหน้าขอโรงแรม ร้องตะโกนเรียกและวิ่งตามรถตู้ที่วิ่งห่างออกไป
“จี ผึ้ง รอณัชญ์ก่อน ฟังณัชญ์ก่อน โธ่โว้ย!”
เขาสบถเสียงดังมองตามท้ายรถตู้ที่ห่างออกไป ณัชญ์เห็นว่าฝีเท้าของเขาคงไม่สามารถวิ่งตามรถได้ ชายหนุ่มจึงหมุนตัววิ่งไปยังลานจอดรถ ตรงดิ่งไปยังรถยนต์คันงามของเขา เปิดประตูรถยนต์แล้วก้าวเข้าไปนั่งประจำที่คนขับอย่างรวดเร็ว แต่ต้องรู้ก่อนว่ารถตู้ที่เพื่อนสาวทั้งสองโดยสารไปนั้น จุดหมายอยู่ที่ใด
“รถตู้คันนั้นไปที่ไหน” ณัชญ์จอดรถหน้าโรงแรมเอ่ยถามเจ้าหน้าที่ของโรงแรมที่ยืนอยู่ด้านหน้า
“เหมาไปกรุงเทพฯ ครับ”
สิ้นคำพูดของเจ้าหน้าที่คนนั้น ณัชญ์ทะยานรถราวกับพายุเพื่อกวดรถตู้คันนั้นให้ได้ เหยียบคันเร่งบึ่งรถออกไปทันที ในใจหวังว่าต้องอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนสนิททั้งสองคนเข้าใจ ก่อนที่เขาจะไม่มีโอกาสพูดอีกเลยตลอดชีวิต
..........................
ณัชญ์ขับรถไปตามถนนสายหลักของตัวเมืองชะอำด้วยความเร็วสูง ความเร็วจากการเหยียบคันเร่งเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นหนึ่งร้อยยี่สิบ เพิ่มเป็นหนึ่งร้อยสี่สิบและเคลื่อนตัวอยู่ที่หนึ่งร้อยหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นความเร็วที่น่ากลัวมากหากขับขี่บนท้องถนน ณัชญ์ไม่หวาดกลัวต่ออันตรายใดๆ ทั้งสิ้น ภายในจิตใจของเขาร้อนรุ่มต้องการจะพูดให้วชิราภรณ์และรุ่งรุจีเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
อีกราวห้าสิบเมตรจะเป็นสี่แยกไฟแดง สัญญาณจราจรเปลี่ยนจากเขียวเป็นเหลือง และกำลังกลายเป็นสัญญาณสีแดง ณัชญ์เห็นดังนั้นจึงเหยียบคันเร่งให้มากกว่าเดิม เพื่อที่เขาจะได้ผ่านสี่แยกนี้โดยไม่ต้องหยุดรถ ทว่า...
“เฮ้ย!!...เอี๊ยดดดดดด...โครม...โครม...โครม”
เสียงอุทานตกใจของณัชญ์ดังขึ้นไม่ถึงสองวินาที เสียงห้ามล้อก็ดังสนั่นไปจนเกิดลอยล้อรถเป็นทางยาว ณัชญ์หักพวงมาลัยเพื่อหลบรถมอเตอร์ไซน์ที่วิ่งมาจากแยกหนึ่ง ความเร็วที่เขาเหยียบมาบวกกับการเบรกกะทันหันและแรงเหวี่ยงจากการหักพวงมาลัยรถ ส่งผลให้รถยนต์ราคาหลักสิบล้านเสียหลักหมุนหลายตลบจนเกิดเสียงโครมคราม และหยุดแน่นิ่งในอีกไม่กี่อึดใจในลักษณะหงายท้อง สภาพของรถไม่เหลือเคล้าโคลงของความงดงาม ไม่เหลือราคาสูงลิบลิ่วกลายเป็นเพียงเศษเหล็กที่ไร้ราคา ณัชญ์ถูกอัดกระแทกอยู่ในรถแน่นิ่งไม่ได้สติ เลือดไหลอาบใบหน้า รอยฟกช้ำกระจายอยู่ทั่วร่างกาย ความเป็นและความตายเท่ากัน