ก่อนที่รุ่งรุจีจะเดินทางมาหาวชิราภรณ์ที่บ้าน เธอถูกเรียกตัวให้เข้าไปพบประธานบริษัท คราแรกยังนึกสงสัยในใจว่า เธอถูกเรียกเข้าไปพบประธานบริษัทได้อย่างไร และประธานบริษัทเดินทางมาเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุใดพนักงานในบริษัทจึงไม่ทราบล่วงหน้า รวมทั้งเรื่องที่ธัญญ์จะมาบริหารงานที่นี่แบบเต็มตัว
“เชิญนั่งสิ” ธัญญ์เอ่ยบอกรุ่งรุจีเมื่อเธอเดินเข้ามาในห้องทำงานของเขา
“ขอบคุณค่ะ” รุ่งรุจีตอบรับคำด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“เธอคงสงสัยว่าทำไมฉันถึงได้เรียกเธอมาในวันนี้” เขาเอ่ยเหมือนกับจะถาม ยังไม่ทันที่รุ่งรุจีจะพูดอะไร เสียงเข้มแลดูมีอำนาจถูกเปล่งออกมาอีกครา “ที่ฉันเรียกเธอมาเพราะต้องการให้เธอนำข่าวไปบอกเพื่อนของเธอหน่อย เพื่อนที่ชื่อ
วชิราภรณ์ เจ้าของใบลาออกฉบับนี้” ธัญญ์หยิบซองจดหมายสีขาวที่วางอยู่ใกล้มือวางลงตรงหน้ารุ่งรุจี ที่ยังทำสีหน้างวยงงสงสัย
“ข่าวอะไรคะ” รุ่งรุจีถามกลับ หลุบสายตามองซองจดหมายนั้นนิ่ง ก่อนจะเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเข้มของประธานบริษัท
“ฝากบอกวชิราภรณ์ด้วยว่าใบลาออกฉบับนี้ฉันไม่อนุมัตินะ เพราะฉะนั้นวชิราภรณ์ยังมีสภาพเป็นพนักงานของบริษัทนี้อยู่ ให้เค้ากลับมาทำงานตามเดิมแต่ไม่ใช่ตำแหน่งเดิม ฉันจะให้วชิราภรณ์มาเป็นเลขาส่วนตัวของฉันแทน”
“ดิฉันไม่เข้าใจค่ะ ทำไมถึงไม่อนุมัติใบลาออกล่ะคะ แล้วทำไมต้องให้ผึ้งมาเป็นเลขาของท่านด้วย ผึ้งไม่ได้จบทางด้านนี้นะคะ ดิฉันคิดว่าผึ้งคงทำไม่ได้” รุ่งรุจีคิดว่าความคิดของเธอคงไม่ต่างกับความคิดของวชิราภรณ์ จึงได้พูดประโยคนั้นออกไป
“เธออย่าเพิ่งตัดสินแทนวชิราภรณ์ซิ รอคำตอบจากเขาก่อนดีกว่า ส่วนคำถามที่เธอถามฉัน ฉันก็จะตอบให้รู้ ที่ฉันไม่อนุมัติใบลาออกก็คือ พนักงานทุกคนที่ยื่นใบลาออกจะต้องยื่นล่วงหน้าก่อน 1 เดือนเหมือนกับบริษัททั่วๆ ไป ไม่ใช่ยื่นใบลาออกวันนี้แล้วออกวันนี้เลย ทำอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง ผิดกฎระเบียบ วชิราภรณ์อาจจะไม่ได้สิทธิ์ที่ควรจะได้อย่างเช่น โบนัสพิเศษที่จะให้พนักงานในสิ้นเดือนนี้ เงินเดือนก็อาจจะไม่ได้ด้วย เหตุผลนี้พอไหมที่ฉันจะไม่อนุมัติใบลาออก แล้วที่ฉันให้เพื่อนของเธอมาเป็นเลขาเพราะเห็นว่าเหมาะสม ฉันดูประวัติการทำงานของเพื่อนเธอแล้วเห็นว่าน่าจะทำได้ แม้ว่าจะไม่ได้จบทางด้านนี้มา เรียนรู้งานนิดหน่อย ปรับตัวเล็กน้อยฉันว่าไม่น่าจะมีปัญหา”
เขาหาช่องโหว่ที่จะไม่อนุมัติใบลาออกที่ว่านั้นได้อย่างไร้ข้อกังขา หากไม่ยอมวชิราภรณ์จะไม่ได้สิทธิ์ที่พนักงานคนอื่นสมควรจะได้ เงินเดือนพร้อมโบนัสหากคิดเป็นจำนวนเงินที่วชิราภรณ์จะได้รับคร่าวๆ ก็ประมาณ เจ็ดหมื่นกว่าบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มากพอสมควร
รุ่งรุจีได้รับฟังเหตุผลจากเจ้านายหนุ่มแล้วรู้สึกคล้อยตามเหตุผลนั้นไปด้วย จริงตามที่ธัญญ์พูด วชิราภรณ์ไม่ได้ลาออกตามข้อบังคับของทางบริษัท เพื่อนสาวของเธอลาออกแบบปัจจุบันทันด่วน ยื่นใบลาออกแล้วออกจากงานในวันที่ยื่นนั้นเลย โดยไม่ได้คำนึงถึงผลเสียที่ตามมา อาจเป็นเพราะวชิราภรณ์ไม่มีจิตใจที่จะทำงานในบริษัทแห่งนี้แล้ว ไม่ต้องการเจอหน้าคนบางคน คนที่เชื่อใจมากที่สุดแต่ก็ทำลายความเชื่อใจนั้นด้วยตัวของเขาเอง
“ดิฉันจะพูดกับผึ้งให้นะคะ แต่ไม่รับรองว่าจะสำเร็จหรือเปล่า ถ้าหากผึ้งไม่สนใจจำนวนเงินที่จะได้ มันก็เป็นเรื่องสุดวิสัยนะคะ” รุ่งรุจีพูดออกตัว
“ฉันลืมบอกเธอไปเรื่องหนึ่ง ถ้าหากเพื่อนของเธอกลับมาทำงานกับฉันในตำแหน่งเลขาส่วนตัว ฉันจะขึ้นเงินเดือนให้เป็นสี่หมื่น มากกว่าที่ได้รับจากตำแหน่งเดิมเท่าตัวเลยนะ ฉันอยากให้วชิราภรณ์คิดให้ดีกับข้อเสนอของฉัน”
“ดูท่าทางท่านอยากให้ผึ้งกลับมาทำงานที่นี่ในตำแหน่งเลขาส่วนตัวมากเลยนะคะ”
รุ่งรุจีสังเกตจากคำพูดของธัญญ์แล้วรู้สึกว่า ธัญญ์มีความกระตือรือร้นที่จะให้วชิราภรณ์มาทำงานในตำแหน่งนี้มากเหลือเกิน มากจนเธอนึกสงสัย
“อย่างที่ฉันพูดกับเธอไปเมื่อกี้ ฉันอ่านประวัติการทำงานของวชิราภรณ์แล้ว ฉันชอบการทำงานของเขามาก เพื่อนของเธอเป็นนักการตลาดที่เก่ง ความคิดก้าวไกล ปรับโครงสร้างของการตลาดที่แข่งขันกันสูงได้อย่างลงตัว ฉันเองตั้งใจว่าจะเข้ามาบริหารงานที่นี่ จำเป็นต้องมีเลขาที่มีความคิดกว้างไกล รู้ระบบของการตลาดและมีความรู้เกี่ยวกับการขยายกลุ่มลูกค้า ซึ่งคุณสมบัตินี้ตรงกับวชิราภรณ์ทุกอย่าง เหตุผลนี้พอหรือเปล่าที่ฉันอยากได้คนมีความสามารถไว้ใกล้ตัว” ธัญญ์ให้เหตุผลได้อย่างเฉียบขาด ไร้ข้อกังขาให้เกิดขึ้นกับรุ่งรุวี
“ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ ขอโทษนะคะที่ดิฉันสงสัยมากไปหน่อย ดิฉันต้องได้ข้อมูลให้มากเพียงพอที่จะนำข่าวสารถ่ายทอดให้กับผึ้งได้รับรู้ค่ะ ดิฉันเชื่อว่าผึ้งต้องมีคำถามหลายคำถามกลับมาแน่นอน”
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ” เขากล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะพูดเรื่องต่อไป “ฉันได้ข่าวมาว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทของณัชญ์ผู้ช่วยรองประธาน ตอนนี้ณัชญ์เข้าโรงพยาบาลเธอไปเยี่ยมเขาบ้างหรือเปล่า” น้ำเสียงที่ถามแม้ว่าจะเป็นน้ำเสียงปกติ แต่ในใจของคนที่พูดเดือดปุด บังคับสีหน้าไม่ให้ดุดัน คนที่ถูกถามผงะไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบตามความเป็นจริง
“ใช่ค่ะ ดิฉันเป็นเพื่อนสนิทกับณัชญ์ ดิฉันไปเยี่ยมณัชญ์สามครั้งค่ะ สองวันมาแล้วที่ดิฉันไม่ได้ไปเพราะช่วงนี้งานยุ่ง ใกล้ปิดงบประมาณประจำปีค่ะ กะว่าถ้าปิดงบเรียบร้อยแล้วจะไปเยี่ยมค่ะ”
รุ่งรุจีไปเยี่ยมณัชญ์ที่โรงพยาบาลทันทีที่ทราบข่าวเรื่องอุบัติเหตุ แม้ว่าณัชญ์จะทำผิดกับวชิราภรณ์มากแค่ไหน แต่ความเป็นเพื่อนที่เธอมีให้กับณัชญ์ก็ยังคงมีอยู่ และคนละส่วนกับเรื่องของเพื่อนสาว ธัญญ์กัดกรามพอประมาณ ข่มอารมณ์ที่กำลังลุกโชนเต็มกำลัง
“เธอรู้ถึงสาเหตุที่ณัชญ์เกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า ที่ผมถามไม่ใช่อะไรหรอกนะ คุณแม่ของณัชญ์สงสัยน่ะเพราะปกติณัชญ์ไม่ดื่มเหล้า ฉันเลยอาสาที่จะถามไถ่ให้”
“ดิฉันไม่ทราบค่ะ เพราะดิฉันมีเหตุด่วนที่จะกลับกรุงเทพก่อน มารู้อีกทีก็วันรุ่งขึ้นค่ะ”
รุ่งรุจีเลี่ยงที่จะพูดความจริง เพราะไม่ต้องการให้ใครมองณัชญ์ในทางที่ไม่ดี อีกทั้งยังปกป้องศักดิ์ศรีของ
วชิราภรณ์อีกด้วย เธอเลือกที่จะให้เรื่องนี้พัดผ่านดั่งสายลม ผ่านแล้วผ่านเลย
“ขอบใจมากสำหรับคำตอบ ฉันให้เธอลางานครึ่งวันเพื่อไปทำตามที่ฉันสั่ง ถ้าวชิราภรณ์ตกลงพรุ่งนี้ให้เริ่มงานได้เลย หวังว่าฉันคงจะได้รับข่าวดีนะ”
เขาตัดการสนทนาเนื่องจากเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ นึกถึงน้องชายคราใด หัวใจของคนที่เป็นพี่ร้อนรุ่มเสมือนมีไฟกองใหญ่สุมในทรวง
“ค่ะ ดิฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถค่ะ” รุ่งรุจีพนมมือไหว้เจ้าของบริษัท ก่อนจะลุกเดินออกไปจากห้องทำงาน เพื่อทำตามคำสั่งของเจ้าของห้องสั่ง
“ตอนแรกฉันก็สงสัยเหมือนแก แต่พอได้ยินคำตอบของคุณธัญญ์ ฉันก็เพิ่งเข้าใจ”
“คำตอบนั้นคืออะไรล่ะ แกนี่พูดโยกโย้จริงๆ เลยคนยิ่งอยากรู้อยู่” ตอนนี้ความอยากรู้ของวชิราภรณ์พุ่งทะลุเพดาน ต้องการรู้เรื่องราวทั้งหมดจนตัวสั่น
“ใบลาออกของแกที่ไม่ผ่านการอนุมัติเพราะแกไม่ได้ยื่นใบลาออกก่อนหนึ่งเดือน มันผิดกฎระเบียบของบริษัท แกอาจจะไม่ได้เงินเดือนรวมทั้งโบนัสด้วย แล้วที่คุณธัญญ์ให้แกไปเป็นเลขาเพราะชอบการทำงานของแก แกเก่งเรื่องการตลาดคุณธัญญ์ก็เลยอยากได้แกเป็นเลขาจะได้ช่วยเขาทำงานได้อย่างสะดวก แล้วไม่ต้องกลัวว่าแกจะทำไม่ได้นะตำแหน่งเลขาส่วนตัวน่ะ แกเรียนรู้งานเก่ง หัวไวฉันเชื่อมือแกว่าแกทำได้ ที่สำคัญคุณธัญญ์เพิ่มเงินเดือนให้แกเป็นสี่หมื่นด้วยนะ”
วชิราภรณ์ทำท่าคิดหนักกับคำพูดของรุ่งรุจี เงินที่เธอจะได้รับจากเงินเดือนและโบนัสประจำปี คิดคำนวณแล้วเป็นจำนวนไม่ใช่น้อย เงินจำนวนนี้เธอตั้งใจว่าจะพามารดาไปเที่ยวต่างจังหวัด ตอนแรกที่ยื่นใบลาออกยังหวั่นๆ เรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ทว่าเหตุการณ์มันบังคับให้เธอตัดสินใจลาออกแบบกะทันหัน พอมารู้ว่าตนเองจะไม่ได้เงินจำนวนนั้นความเสียดายก็เกิดขึ้นในใจทันที รวมทั้งเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นเป็นสี่หมื่นบาท ยังเป็นตัวล่อได้เป็นอย่างดี
อีกใจก็คัดค้านกับการกลับไปทำงานที่นั่น เนื่องจากวชิราภรณ์ต้องพบเจอกับณัชญ์เพื่อนสนิทที่คิดกับเธอมากกว่าคำว่าเพื่อน แม้ว่าตอนนี้คนที่เป็นต้นเหตุให้เธอลาออกจากงานจะนอนไม่รู้สึกตัวอยู่ที่โรงพยาบาลก็ตาม วันหนึ่งวันใดหากณัชญ์ฟื้นและรักษาตัวจนหายก็ต้องกลับมาทำงานอยู่ดี แล้วยังเหตุการณ์ในคืนนั้นมันติดตา ติดใจของเธอไม่เสื่อมคลาย จึงยากนักสำหรับการตัดสินใจ
“เงินฉันก็อยากได้นะ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นฉันก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี” วชิราภรณ์พูดตามตรง
“ฉันรู้ว่าแกคิดยังไง ฉันไม่ได้บังคับนะ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแก ฉันมานี่เพื่อถ่ายทอดคำสั่งของคุณธัญญ์เท่านั้น แต่ถ้าแกจะมาย้อนถามฉันว่า จะทำยังไงดี ฉันก็จะบอกแกว่า แกลองทิ้งเรื่องของณัชญ์ทิ้งไปก่อน ตอนนี้ณัชญ์นอนพักรักษาตัวที่โรง’ บาล อาการของณัชญ์ที่ฉันรู้มา ไม่หายในระยะเวลาสั้นๆ นี้แน่นอน ช่วงนี้แกก็กลับไปทำงานก่อน อย่างน้อยก็ได้เงินเดือนและโบนัสตามสิทธิ์ที่แกควรจะได้ อีกอย่างแกวาดหวังไว้ว่าจะเอาเงินโบนัสพาป้าญาไปเที่ยวไม่ใช่เหรอ ถ้าแกทิ้งโอกาสนี้ไปแกก็จะไม่ได้ทำตามความฝันนั้นนะ แล้วถ้าณัชญ์หายแล้วกลับมาทำงาน เราค่อยคิดอีกทีก็ได้”
คำพูดของรุ่งรุจีเรียกความสับสนให้กับวชิราภรณ์ได้ในทันที เธอมีโครงการจะพามารดาไปเที่ยวที่กระบี่หากได้รับโบนัส รอยยิ้มและความสุขของมารดาที่เกลื่อนเต็มใบหน้า เมื่อรู้ว่าเธอจะพาไปเที่ยว วชิราภรณ์ยังจำภาพนั้นได้ดีอาจะเป็นเพราะตั้งแต่กัญญาคลอดเธอมา ไม่เคยไปเที่ยวไหนเลย ทำงานหาเงินเลี้ยงลูกสาวคนนี้เพียงลำพัง เหน็ดเหนื่อยแค่ไหนไม่เคยบ่น ขอเพียงให้ลูกสาวอิ่มท้องและเติบใหญ่เท่านั้น หากมีเรื่องใดที่วชิราภรณ์ทำให้มารดามีความสุขได้เธอก็พร้อมที่จะทำ อีกทั้งหากกลับไปทำงานตามเดิม มารดาก็คงไม่ต้องเหนื่อยจากการขายข้าวแกงอีก
ความขัดแย้งอีกประการหนึ่งที่ตีกันยุ่งคือเรื่องของณัชญ์ การกระทำของเพื่อนชายคนสนิททำให้วชิราภรณ์รับไม่ได้ ณัชญ์ทำให้ความไว้เนื้อเชื่อใจที่เธอมีให้ลบลงเหลือศูนย์และอาจจะต่ำลงกว่านั้น แม้ว่าอีกใจจะเป็นห่วงณัชญ์เมื่อรู้ว่าเขาเกิดอุบัติเหตุ ทว่าความโกรธ อาการเสียความรู้สึก ทำให้เธอเลือกที่จะเพิกเฉยไม่ไปเยี่ยมณัชญ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว วชิราภรณ์จึงอยู่ในห้วงการตัดสินใจอย่างหนัก และแล้วเธอก็ตัดสินใจได้ในที่สุด
“ก็ได้ ฉันจะกลับไปทำงาน ฉันทำเพื่อแม่นะ ฉันอยากพาแม่ไปเที่ยว แม่เหนื่อยเพราะฉันมามากแล้ว ฉันอยากพาแม่ไปพักผ่อนบ้าง อย่างที่แกพูดน่ะ เรื่องณัชญ์เอาไว้คิดทีหลัง”
การตัดสินใจในครั้งนี้วชิราภรณ์นึกถึงใบหน้า รอยยิ้ม ความเหน็ดเหนื่อยของกัญญาเป็นอันดับแรก รองลงมาคือความรู้สึกของตนเอง ตบท้ายด้วยเรื่องของณัชญ์
“แกแน่ใจนะ” รุ่งรุจีถามย้ำ
“แน่ใจสิ อย่างน้อยฉันก็ได้พาแม่ไปเที่ยว ฉันทำตามที่แกแนะนำไง ฉันทำเพื่อแม่ ฉันไม่อยากให้แม่เหนื่อยอีก แม่เหนื่อยเพราะฉันมามากแล้ว” วชิราภรณ์พูดเสียงเครือ ตอนนี้เธอนึกถึงเพียงแค่กัญญาเท่านั้น
“ดีแล้ว กลับไปทำงานจะได้เงิน”
“อืม...แต่ว่าตอนนี้แกมาช่วยฉันล้างจานก่อนดีกว่านะ”
“โอเค ไม่มีปัญหา”
ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนจะลงมือจัดการกับจานชามและพาชนะกองโตที่วางเรียงรายอยู่ วชิราภรณ์ไม่อาจลาวงรู้ได้เลยว่า การกลับไปทำงานของเธอในครั้งนี้ จะต้องพบเจอกับเรื่องใดบ้างและเลวร้ายเพียงใด ไม่มีใครรู้นอกจาก...ธัญญ์เพียงคนเดียว