ตอนที่ 1(พิชญ์สินี)
"กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา,กะตะเม ธัมมา กุสะลา, ยัสมิง สะมะเย กามาวะจะรัง"
เสียงสวดพระอภิธรรมลอยตามสายลมมาอย่างแผ่วเบา พิชญ์สินี ยืนกอดรูปถ่ายบิดาและเหม่อมองไปบนฟ้า ควันสีขาวล่องลอยออกจากปล่องไฟที่ช่องสูงหญิงสาวยืนส่งบิดาเป็นครั้งสุดท้าย ไร้เสียงสะอื้นมีเพียงน้ำตาเท่านั้นที่ไหลรินออกมาจากดวงตาคู่สวย ครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวก็ลาลับจากโลกนี้ไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนกลับ หนทางข้างหน้าช่างมืดมนหญิงสาวไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไรต่อไป เหลือคนเดียวสินะชีวิตเธอ
"อย่าเสียใจไปเลยนะลูก พ่อเขาไปสบายแล้ว"
จารุณี ป้าแท้ ๆ ของหญิงสาวเดินเข้ามาลูบหัวปลอบใจหลานสาวเพียงคนเดียวอย่างสงสารและเวทนาเธอมองหญิงสาวที่ยืนร้องไห้อยู่ตรงนี้มานานนับชั่วโมงตั้งแต่พระท่านทำพิธีเผาศพน้องเขยเธอเสร็จ ผู้คนก็ทยอยกันกลับเหลือเพียงแค่พิชญ์สินีที่ยังคงยืนส่งทศพิศ บิดาของเธออย่างอาลัยอาวรณ์ จารุวรรณแม่ของพิชญ์สินีเป็นน้องสาวฝาแฝดแท้ ๆ ของเธอแต่ช่างโชคร้ายที่จารุวรรณอายุสั้นนัก จารุวรรณจากไปตั้งแต่พิชญ์สินีอายุได้ 15 ปีไม่คิดว่าอีก 5 ปีให้หลังทศพิศจะมาจากไปด้วยอีกคน เหมือนโชคชะตาเล่นตลกกับหญิงสาว ที่ต้องมาอ้างว้างกำพร้าทั้งพ่อและแม่ไปในเวลารวดเร็วเช่นนี้ แต่ใครกันเล่าจะฝืนดวงชะตาฟ้าลิขิตได้คนตายก็หมดเวรหมดกรรม คนอยู่ก็ต้องสู้กันต่อไป
"ขอบคุณค่ะป้าจา มันเร็วเกินไปพิชทำใจไม่ได้เลย" หญิงสาวตอบออกไปเสียงสั่นเครือ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าคนเป็นป้าหวังปลอบใจไม่ให้เธอเศร้า แต่คำปลอบใจไหนเล่าจะเข้าหูคนที่มีความทุกข์อยู่เต็มอกเช่นนี้
"ป้าเข้าใจเรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา เอาเถอะลูกยืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เรากลับบ้านกันเถอะนะ" จารุณีเอ่ยชวนให้หลานสาวเธอกลับบ้าน เพราะอากาศยามเย็นของต่างจังหวัดมักจะมืดค่ำเร็วกว่าในเมืองมากนัก คุณป้ายังสาวเมื่อรู้ข่าวการจากไปของน้องเขยก็รีบออกเดินทางมายังต่างจังหวัดเพื่อร่วมพิธีทางศาสนาถึงแม้ว่าน้องสาวเธอจะจากไปแล้ว แต่เลือดเนื้อเชื้อไขของจารุวรรณยังอยู่ ไหนเลยจารุณีจะตัดขาดได้ ยิ่งเมื่อหัวเรือใหญ่ล้มลงไปเธอก็จึงเป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของพิชญ์สินีเท่านั้น
"ค่ะป้าจา… ป้าจาไปรอที่รถก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวพิชตามไปนะคะ"
"จ้า ๆ รีบ ๆ ตามมานะลูก"
จารุณีเดินออกห่างออกไป เธอเข้าใจอารมณ์ของหลานสาวในตอนนี้ดี เธอจึงทิ้งให้พิชญ์สินีได้ร่ำลาทศพิศเป็นครั้งสุดท้าย คนเป็นป้าเดินมาที่รถตู้คันใหญ่ คนขับรถเห็นคุณนายของตนเองเดินมาก็เปิดประตูรถไว้คอย จารุณีหันไปมองหลานที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เธอไล่สายตาขึ้นไปที่ปล่องสูง ควันสีขาวยังคงลอยฟุ้งออกมาปลายปล่องไม่หยุด คงเพราะร่างกายที่ไร้ชีวิตยังคงถูกเผาไม่หมดนั่นเอง
"ทศไม่ต้องห่วงน้องพิชนะ ฉันจะดูแลหลานแทนนายกับยัยวรรณเอง นายตามไปอยู่กับยัยวรรณเฝ้าดูลูกอยู่บนฟ้าเถอะ ฝากบอกน้องสาวฉันด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง ฉันยังจำสัญญาที่ให้ไว้ได้ดี"
พูดจบคนเป็นป้าก็เดินขึ้นไปบนรถ คนขับรถปิดประตูให้ก่อนจะขยับมายืนรอหญิงสาวอีกคนที่ยังคงไม่เดินออกมา พิชญ์สินีค่อย ๆ นั่งคุกเข่าลงไปที่พื้นหน้าเมรุ เธอวางคว่ำรูปถ่ายบิดาเอาไว้ที่พื้น ก่อนจะก้มลงกราบลงไป อย่างสั่นเทา
"พ่อจ๋า… อึก… อึก… พะ… พ่อไม่ต้องห่วงพิชนะ พิชดูแลตัวเองได้ ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้พ่อกับแม่ครองรักกันและพิชขอเป็นลูกพ่อกับแม่อีกครั้ง แต่ครั้งหน้าเราจะอยู่ด้วยกันไปจนพ่อกับแม่แก่เฒ่านะจ๊ะ อย่าทิ้งพิชไว้คนเดียวเหมือนชาตินี้เลยนะ ฮือ ๆ" พิชญ์สินีพนมมือพูดออกมาอย่างสะอึกสะอื้น มือเธอสั่นน้ำตาก็ไหลอาบแก้มนวลเป็นสาย หญิงสาวมองไปบนฟ้าด้วยสายตาที่พร่าไปด้วยน้ำใส ๆ
"พ่อต้องไปดูแลแม่ให้ดีนะ ไม่รู้ว่าตอนนี้แม่ยังร่างกายอ่อนแออยู่หรือเปล่า เป็นนางฟ้าต้องแข็งแรงนะ พ่อกับแม่ต้องเป็นนางฟ้าและเทวดาที่หล่อและสวยที่สุดบนสวรรค์แน่ ๆ เลย " หญิงสาวยังคงพูดไปร้องไปอย่างน่าเวทนา
"พิชต้องไปแล้ว พรุ่งนี้… พิชจะพาพ่อไปลอยแม่น้ำเดียวกับแม่นะ พ่อจะได้เจอแม่แล้ว ดีใจไหมจ๊ะ พ่อจ๋าแม่จ๋ารอพิชนะ สักวันพิชจะไปหาพ่อกับแม่ พิชรักพ่อกับแม่มาก" พิชญ์สินีก้มกราบลงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหยิบรูปถ่ายมากอดไว้เช่นเดิม หญิงสาวลุกขึ้นยืนและมองขึ้นบนฟ้าอีกรอบก่อนจะเดินจากมาหาคนเป็นป้าที่รออยู่บนรถ สมพงษ์เห็นหญิงสาวเดินมาจึงเปิดประตูรถไว้รอ
"ขอบคุณค่ะลุง"
"ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ หนูขึ้นเถอะคุณนายรออยู่แล้ว"
พิชญ์สินีพยักหน้าก่อนจะก้าวขาขึ้นไปบนรถตู้คันใหญ่ สมพงษ์คนขับรถวัยกลางคน มองเข้าในรถก่อนจะส่ายหน้าอย่างเวทนา ตลอดเวลาที่พิญช์สินีอยู่หน้าเมรุการกระทำของหญิงสาวไม่ได้หลุดรอดสายตาสมพงษ์เลย เขาเองก็มีลูกสาวรุ่นราวคราวเดียวกับพิชญ์สินี เมื่อมาเห็นเช่นนี้ เขาก็อดจะรู้สึกสงสารและเวทนาไม่ได้เลยจริง ๆ เวรกรรมหรือสวรรค์เบื้องบนกันนะที่เป็นผู้ลิขิตชีวิตมนุษย์
เช้าวันต่อมาพิชญ์สินีและจารุณีก็เดินทางมาเก็บอัฐิของผู้เป็นพ่อ และบ่ายวันเดียวกันทั้งสองก็ได้เดินทางไปลอยอังคารกันที่แม่น้ำแถว ๆ บ้านของหญิงสาว และเป็นแม่น้ำสายเดียวกันกับที่จารุวรรณอยู่ อัฐิอีกส่วนทั้งสองก็นำมาบรรจุในเจดีย์อันเดียวกับที่แม่ของหญิงสาวอยู่เช่นกัน
"น้องพิช เหนื่อยไหมลูกวิ่งวุ่นตลอดงานเลย" ตลอดเวลาที่จัดงานศพทศพิศนั้น พิชญ์สินีถึงแม้จะเศร้าเสียใจ แต่เธอก็ต้องวิ่งวุ่นรับแขกตลอดทั้งงานจึงไม่ได้มีเวลาให้เศร้าสักเท่าไรนัก แต่เมื่อเสร็จสิ้นงานแล้วก็คงจะเป็นวันนั้นนั่นแหละที่หญิงสาวได้ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาบ้าง
"พิชไม่เหนื่อยหรอกค่ะ ป้าจาล่ะ เหนื่อยไหมคะ มาตั้งหลายวัน ป่านนี้คุณลุงคิดถึงแย่แล้วมั้งคะ" หญิงสาวยิ้มออกไป แต่ทำไมคนเป็นป้าจะไม่รู้เล่า ว่าหลานสาวยิ้มก็เพียงแค่ปาก แต่สายตานั่นเล่าไม่ได้ยิ้มด้วยเลย
"จะคิดถึงอะไรกันล่ะลูกแก่ ๆ กันแล้ว"
"แก่ที่ไหนกันคะ ป้าจาของพิชยังสาวและสวยอยู่เลย" พิชญ์สินีมองหน้าจารุณีก็เหมือนมองหน้าแม่ตัวเอง เพราะจารุณีกับจารุวรรณเป็นฝาแฝดกันทำไมจะไม่เหมือนกันเล่า ถึงหน้าตาจะเหมือนแต่โชคชะตาต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนพี่ได้สามีรวยล้นฟ้า แต่คนน้องได้สามีบ้านนอกจน ๆ เพียงคนหนึ่ง สุขภาพร่างกายก็เช่นกัน แม่เธออ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ป้าเธอกลับแข็งแรงดีทุกอย่าง
"โอ๊ย… อย่ามายอป้าเลย ความจริงแล้วคุณลุงอยากมาด้วยจะแย่ แต่ติดที่ว่าคุณลุงไปเกาหลีตอนนี้บริษัทสื่อการบันเทิงของคุณลุงกำลังขยายตลาดไปที่เกาหลี น้องพิชอยากเป็นดาราบ้างไหมล่ะลูก"
"โธ่ป้าจา อย่าหยอกพิชเลย ขี้เหร่แบบพิชจะเล่นบทไหนได้ล่ะคะ เดี๋ยวนี้ขนาดบทคนรับใช้ยังสวย ๆ ทั้งนั้น พิชเทียบไม่ติดเลยค่ะ"
"ใครว่าล่ะ หลานป้าสวยกว่านางเอกบางคนอีกนะ"
"ไม่เอาแล้วค่ะ ไม่คุยเรื่องนี้แล้วพิชอายนะคะ" หญิงสาวส่ายหน้าอย่างยิ้ม ๆ ป้าเธอก็ยอเธอตลอดตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วไม่เบื่อบ้างหรือไง
"หึหึ น้องพิชเอ๊ยไม่ยอมรับความจริง เออ… น้องพิชหนูคิดหรือยังว่าหลังจากนี้จะทำอะไร"
"เฮ้อ… ยังเลยค่ะป้า"
พิชญ์สินีมองออกไปนอกชานบ้าน อย่างคิดไม่ตกอนาคตเธอก็มืดมนเหมือนเช่นท้องฟ้าในคืนนี้ ไม่รู้จะเดินไปทางไหนถึงจะดีตอนนี้มันเคว้งคว้างไปหมดแล้วจริง ๆ