ตะวันวาดเดินตามหลังมารดาของคนที่เธอบอกว่าจำไม่ได้เข้าไปในตัวตึกหลังงาม สถานที่ที่ตัวเองเคยวิ่งเข้าวิ่งออกเสมือนเป็นบ้านของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ทุกซอกทุกมุมล้วนแล้วแต่มีความทรงจำเก่าๆ หลงเหลืออยู่แทบทั้งสิ้น
“น้องเนยกลับมานานแล้วหรือลูก” นนทวัชเอ่ยทักก่อนวางหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่านอยู่ลงบนโต๊ะ ส่งยิ้มอ่อนโยนให้หญิงสาวที่ตนรักเหมือนลูกสาว
“กลับมาได้สักพักแล้วค่ะคุณลุง แต่แม่บอกว่าคุณป้าเรียกให้เนยมาพบ” หญิงสาวตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปทรุดนั่งลงข้างๆ แล้วเกยคางมนลงบนท่อนแขนของอีกฝ่ายอย่างประจบ
“คุณป้าคงคิดถึงหลานสาวละมั้ง อยู่ที่ทำงานก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดกันนี่นา” นนทวัชจับศีรษะทุยโยกไปมาอย่างรักใคร่เอ็นดู
“นั่นสิคะ เนยเองก็ทำงานหัวยุ่งทั้งวันเหมือนกัน” หญิงสาวตอบโดยไม่สนใจคนตัวใหญ่ที่ก้าวตามหลังมา
อาคิระมองกิริยาออดอ้อนของตะวันวาดที่แสดงกับบิดาของเขาอย่างเอ็นดูระคนขุ่นข้องหมองใจ เพราะอยากให้อีกฝ่ายแสดงกับเขาเช่นนี้บ้างเหมือนที่เคยทำในอดีต ไม่รู้จะโกรธเคืองเขาไปถึงไหน
“อ้าว...พี่นาย ทำไมยืนทำหน้าเป็นหมาป่วยแบบนั้นล่ะ” บิดามองหน้าบุตรชายแล้วเอ่ยสัพยอกอย่างขบขัน
“คุณพ่อ เปรียบผมทั้งทีดันเอาไปเปรียบกับหมา”
ดวงหน้าหล่อเหลาของอาคิระปั้นยากเมื่อถูกเปรียบเทียบกับสุนัข ก่อนทรุดกายสูงใหญ่ลงนั่งข้างๆ มารดา ทำให้หญิงสาวคนเดียวในห้องหลุดหัวเราะคิกออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ และรีบปรับสีหน้าดังเดิมอย่างรวดเร็วเมื่อนึกได้
อาคิระมองคนวางท่าปั้นปึ่งแล้วอดขำไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“อยากจะหัวเราะดังๆ ก็หัวเราะออกมาเลย ไม่ต้องมาเก๊กหน้าแบบนั้นก็ได้”
“ตัวไม่ต้องมายุ่งกับเค้าเลย” ตะวันวาดหันไปโต้ตอบและเผลอใช้สรรพนามเหมือนสมัยเป็นเด็กอย่างลืมตัว ทั้งที่แต่แรกตั้งใจจะไม่พูดด้วยแล้ว
“พูดไม่เห็นเพราะเลยนะครับหลานสาวคุณแม่” อาคิระแกล้งหันไปฟ้องคนป็นแม่
“ทำไมหนูพูดกับพี่นายแบบนั้นล่ะลูก” คุณมนัสนันท์ดุน้ำเสียงไม่จริงจังนัก
ยังไม่ทันที่ตะวันวาดจะได้ตอบอะไรออกไป บังอรลูกจ้างในบ้านที่เพิ่งเข้ามาอยู่ได้ไม่นานก็เดินเข้ามาบอกกับอาคิระ
“มีคนมาหาคุณนายค่ะ”
หัวคิ้วเข้มของชายหนุ่มพลันขมวดมุ่นเข้าหากันทันที นึกสงสัยว่าใครกันที่มาหาเขาถึงบ้าน เพราะแทบไม่มีใครรู้ว่าเขากลับมาแล้ว นอกจากเพื่อนสนิทเท่านั้น จนผู้เป็นแม่ต้องกล่าวตัดบทไป
“บังอรไปบอกให้เข้ามาที่นี่เลยสิ”
บทที่ 3 คนขี้หวง
ไม่ถึงอึดใจบังอรก็เดินนำหน้าชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งเข้ามาในห้องนั่งเล่น ทั้งสองยกมือขึ้นทำความเคารพเจ้าของบ้านอย่างนอบน้อม
“แกเองหรือไอ้คีย์” อาคิระทักทายเพื่อนสนิทแล้วจึงหันไปทักหญิงสาวอีกคนที่มาด้วย “แล้วมากับเพชรได้ยังไง”
เพชรรุ้งรีบทรุดลงนั่งข้างๆ คนถามพลางเอ่ยเสียงอ่อนหวาน “นายขา ทำไมกลับมาเมืองไทยไม่บอกกันบ้างล่ะคะ เพชรจะได้ไปรอรับที่สนามบิน”
น้ำเสียงหวานๆ ที่ได้ยิน ทำให้ตะวันวาดเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่าน แล้วจึงเห็นเจ้าของเสียงในชุดแต่งกายหรูหรา ดวงหน้าแต่งอย่างจัดจ้าน
ยายเพชรรุ้งนี่เองนึกว่าใคร
ครั้นเห็นหน้าแล้วก็ทำให้หวนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นขึ้นมาในบัดดล พานให้ไม่อยากนั่งอยู่ต่อเพราะหมั่นไส้ทั้งคู่กรณีเก่าและคนที่ทำให้โกรธ
“คุณลุง คุณป้าขา เนยขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ”
แขกมาใหม่ทั้งสองต่างพากันหันมามองคนพูดเป็นตาเดียว เพราะตอนเดินเข้ามาไม่ทันสังเกตเห็น เพชรรุ้งที่ปัจจุบันเป็นนางเอกละครชื่อดัง มองดวงหน้าสวยกระจ่างไร้ที่ติอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็จำได้ ว่าเป็นเด็กเมื่อวานซืนที่ตัวเองเคยนึกดูถูกไว้นั่นเอง ทำให้ความริษยาก่อเกิดขึ้นในฉับพลัน ส่วนคีตภัทร เพื่อนสนิทของอาคิระมองหญิงสาวอย่างตกตะลึงตาค้าง
“ไม่เอา ป้าไม่ให้กลับ กินข้าวด้วยกันที่นี่แหละ เมื่อตะกี้โทร.ไปชวนแม่เราแล้วแต่ไม่ยอมมา บอกว่ากำลังติดละคร เอ๊ะ…” มนัสนันท์ชะงักคำพูดค้างไว้แค่นั้น เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนหันขวับไปจ้องหน้าหญิงสาวผู้มาใหม่ “หนูเป็นดาราที่เล่นเรื่องรักลวงหรือเปล่าจ๊ะ”
“ใช่ค่ะคุณแม่ หนูชื่อเพชรรุ้งไงคะ” ดาราสาวตอบเสียงหวานทำนองฝากเนื้อฝากตัว
“ถึงว่าสิ ทำไมหน้าคุ้นๆ นัก” มนัสนันท์พึมพำกับตัวเองแล้วจึงหันไปถามตะวันวาดน้ำเสียงอ่อนโยน “น้องเนยเคยดูหรือเปล่าลูก”
น้ำเสียงอ่อนโยนที่ได้ยินสร้างความไม่พอใจให้กับเพชรรุ้งอย่างยิ่งยวด นึกขุ่นเคืองคนพูดอยู่ในใจ ตัวเธอเพียรแวะเวียนมาที่นี่เพื่อถามข่าวคราวของอาคิระอยู่เนืองๆ แต่อีกฝ่ายมักจะบ่ายเบี่ยงอยู่เสมอ ไม่เคยให้ความร่วมมือเลยสักครั้ง ถ้าวันนี้ไม่แวะมาที่นี่และบังเอิญพบกับคีตภัทร คงยังไม่ทราบว่าชายหนุ่มที่เธอหมายปองกลับมาเมืองไทยแล้ว
ตอนนี้ยังจะมาบอกว่าเราหน้าคุ้นๆ อีก น่าเจ็บใจนัก เหมือนไม่เห็นเราอยู่ในสายตาเลยสักนิด
แล้วดาราสาวก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบ
“เนยไม่ชอบดูละครน้ำเน่าพวกนั้นหรอกค่ะคุณป้า นางเอกดูโง้...โง่ แถมยังไม่สู้คน เนื้อเรื่องก็ไม่เห็นจะประเทืองปัญญาตรงไหน มีแต่ตบตีแย่งผู้ชายกันทั้งเรื่อง ดูแล้วเพลียค่ะ” หญิงสาวตอบตามความรู้สึกของตัวเองทั้งเหน็บแนมใครบางคนไปด้วย
คีตภัทรหลุดหัวเราะก๊ากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ มองคนพูดอย่างเห็นด้วยและตามมาด้วยความพึงพอใจ ซึ่งการแสดงออกดังกล่าวหาได้รอดพ้นสายตาของอาคิระ สร้างความขุ่นขวางให้เกิดกับเขาโดยไม่รู้ตัว