อพาร์ตเมนต์ชั้นแปดในตึกบี ย่านที่พักอาศัยค่อนข้างแออัด เพราะเป็นอพาร์ตเมนต์ที่ถูกสุดถึงแม้ตึกจะดูเก่าแต่เจ้าของก็ยังคงดูแลความสะอาดเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ทางเข้าตึกมีติดตั้งกล้องวงจรปิด ล็อบบี้ขนาดเล็กมีตู้รับพัสดุอัตโนมัติ ประตูห้องเป็นลูกบิดทั่วไป ภายในห้องมีพื้นที่สี่สิบตารางเมตรมีระเบียงขนาดเล็กที่พอมีพื้นที่ในการตากผ้าได้นิดหน่อย แบ่งเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่นที่ถูกจัดแบ่งเป็นห้องครัวด้วยพื้นที่จำกัด ถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวที่ไม่ขาวมาก มีเฟอร์นิเจอร์แค่เตียงและตู้เสื้อผ้าขนาดเล็ก
หญิงสาวในวัย 19ปี ยืนส่องกระจกเพื่อตรวจความเรียบร้อยเครื่องแต่งกายของชุดนักศึกษา เธอสวมใส่เสื้อในขนาดที่พอดีตัว กระโปรงพลีทสีดำสนิท ผิวขาวผุดผาดราวกับจะเรืองแสงได้ ใบหน้าเรียวเล็ก ผมสีน้ำตาลเข้มธรรมชาติถูกมัดรวบขึ้นเป็นหางม้าเรียบตึง คิ้วเรียงสวย แก้มป่องนิดๆ ดวงตาเป็นประกาย กำลังยืนยิ้มให้กับตัวเองในกระจก
"เรียบร้อย..เยี่ยม"
วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของเธอ..น้ำอิง พิกุลงาม นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง ถือกระเป๋าผ้าใบละไม่ถึงร้อย เดินลงมาจากชั้นแปด เพราะอะไรงั้นเหรอ 'ลิฟต์เสีย' ดันมาเสียในวันแรกของการเปิดเทอมคิดดูแล้วเธอคงจะดวงดีใช่เล่น
น้ำอิงใช้ชีวิตตัวคนเดียวได้สองปี พ่อแม่ของเธอเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตพร้อมกัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ญาติพี่น้องที่พอได้พึ่งพาก็มีเพียงลุงของเธอที่ทำงานหาเช้ากินค่ำ คอยช่วยเหลือเท่าที่ลุงพอจะทำให้ได้ เช่นการประชุมผู้ปกครอง รวมไปถึงยามที่น้ำอิงเจ็บไข้ได้ป่วย
ก้าวเล็กเดินจนมาถึงที่ใต้ตึกและเดินต่อไปอีกประมานสองเมตรก็จะเป็นป้ายรถเมล์ รอไม่นานนักรถเมล์ประจำทางสายที่เธอจะต้องขึ้นก็มา วันเปิดวันแรกสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก็คือ รถติด
"ชิดในเลยครับ ชิดใน" เป็นเสียงของกระเป๋ารถเมล์เมื่อมีคนขึ้นรถมาใหม่
"อ๊ะ! ขอโทษค่ะ" ฉันเอ่ยขอโทษทันทีที่เท้าของตนเองไปเหยียบเท้าของผู้ชายคนนึงเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
"อืม.." เป็นเสียงตอบรับที่ครางออกมาจากลำคอแกร่งที่เต็มไปด้วยเส้นเลือด และมันก็สามารถเรียกให้แววตาใสคอยหันไปมองตลอดจนถึงมหาวิทยาลัยที่น้ำอิงเรียน
"หล่อจัง" น้ำอิงเอ่ยพูดกับตัวเองทันทีที่ลงจากรถเมล์ และก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ชายหนุ่มคนนั้นหันมามองผ่านหน้าต่างบนรถเมล์ สองคนสบตากันนิ่งจนรถเมล์ขับเคลื่อนออกจากป้ายรถเมล์สองคนนั้นถึงได้ละสายตาออกจากกัน
"นายครับ! คุณท่านโทรมาครับบอกว่ามีเรื่องด่วนให้กลับบ้านทันทีที่เสร็จธุระครับ" องอาจมือขวาที่ยืนอยู่ข้างหลังพูดขึ้นหลังจากได้อ่านข้อที่ถูกส่งมาจากนายใหญ่ นั่นก็คือพ่อของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั่นเอง
สิงห์ เสนีต์ ลูกชายคนโตของตระกูลเสนีต์ ใบหน้าคมเข้มสมชายชาตรี คิ้วเข้มพาดเฉียง ดวงตาคมกริบน่าค้นหาดุจเทพบุตรอย่างไรอย่างนั้น สิงห์ไม่ได้หันหน้าไปทางมือขวาแต่ก็ได้ยินชัดเจนทุกคำที่องอาจพูดออกมา เพราะสายตาเขากำลังเหม่อมองไปที่มหาวิทยาลัยตรงหน้า
สาเหตุที่เขามาขึ้นรถเมล์ในวันนี้ เพราะเขาคิดถึงอดีต..ที่ต่อให้ผ่านมากี่ปี เขาก็ยังไม่อาจลืมมันได้แม้แต่วันเดียว อดีตของคนรักเก่า วันที่เขาได้พบกับดอกแก้วครั้งแรกบนรถเมล์สายนี้ในวันเปิดเทอมวันแรก และรถเมล์สายนี้มักจะแน่นไปด้วยผู้คนเพราะเป็นสายที่นานๆจะมาสักคัน เมื่อรถเมล์มาก็เป็นที่แน่นอนว่าทุกคนก็ต่างแย่งกันขึ้นจนผู้คนเบียดเสียดแออัดจน..เท้าเล็กของดอกแก้วก็เหยียบเข้ากับเท้าของเขาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน เหมือนกับเด็กผู้หญิงคนที่เขาพึ่งเจอในวันนี้
"ลงป้ายหน้า" เสียงทุ้มเอ่ยพูดกับองอาจก่อนที่องอาจมือขวาจะเดินแทรกตัวเพื่อเปิดทางพร้อมกับไปกดกริ่งเพื่อเป็นสัญญาณว่าจะลงป้ายหน้า
ขายาวก้าวลงจากรถเมล์แล้วเดินไปขึ้นรถยนต์คันหรูที่ขับต่อท้ายรถเมล์ สิงห์หยิบโทรศัพท์ออกมาก่อนจะกดหมายเลขปลายทาง รอไม่นานปลายสายก็กดรับทันที
"ไง ลูกชาย" เสียงแหบเอ่ยทักทายคนเป็นลูกทันที เพราะสิงห์ถ้าไม่มีอะไรที่สำคัญเขามักจะไม่พูดหรือโทรหาคนเป็นพ่ออย่างแน่นอน
"ผมจะกลับมาอยู่ไทย" น้ำเสียงเรียบนิ่งพูดขึ้นสั้นๆ
"พ่อดีใจนะ ที่สิงห์ทำใจได้แล้ว พ่อจะจัดการทุกอย่างให้" น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดีใจ นานกี่ปีแล้วนะที่ลูกชายเขาไปอยู่ที่ต่างประเทศตั้งแต่วันนั้น
"ขอบคุณครับพ่อ" นิ้วเรียวกดวางสาย แล้วนั่งพิงเบาะก่อนที่จะหลับตาลง 'ลาก่อนดอกแก้ว ผมจะเก็บคุณเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ' ได้เวลาที่เขาต้องเริ่มชีวิตใหม่เสียที
สิบปีที่แล้ว
หน้าห้องฉุกเฉิน
เสียงผละประตูที่เปิดออกมาจากห้องฉุกเฉิน ทำให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าห้องรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินไปหาพยาบาลสาวที่กำลังยืนนิ่งก่อนจะพูดออกมาด้วนน้ำเสียงที่บอกถึงความเสียใจ
"เสียใจด้วยจริงๆนะคะ แต่ทีมแพทย์พยายามกันสุดความสามารถแล้วจริงๆค่ะ" มือเล็กประสานกันบีบแน่นจนเกร็งไปหมด ก่อนจะพูดประโยคถัดไปเมื่อเห็นว่าญาติยังคงยืนนิ่ง