“เรื่องเอกสารของเอ็ง…”
“มีปัญหาใช่ไหมคะ ขวัญเองก็ลืมถามอานง…”
“เปล่า ข้ามีเอกสารของเอ็งครบหมดแล้ว”
เสียงทุ้มพูดแทรก เหมือนที่เธอแทรกก่อนหน้านี้
“ดะ ได้ยังไงคะ?”
ถามเสียงตะกุกตะกัก พลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ซึ่งตอนนี้เราทั้งคู่ขึ้นมาบนห้องนอนแล้ว และดูเหมือนพ่อหมอจะมีในสิ่งที่พูดมา เพราะเขาเดินไปหยิบซองสีน้ำตาลเข้มในลิ้นชักข้างเตียง ก่อนจะเดินกลับมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
“เอ็งไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้จดทะเบียนสมรส”
พ่อหมอเน้นย้ำ พร้อมกับยื่นซองเอกสารให้เธอเปิดดู
เมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ในนั้น ดวงตาคู่สวยก็เบิกโตด้วยความตกใจ เพราะในซองมีแม้กระทั่งบัตรประชาชน ที่เธอเก็บเอาไว้ในกล่อง แล้วซ่อนเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าอีกที ทว่าตอนนี้กลับมาอยู่ในมือ พร้อมเอกสารส่วนตัวที่ไม่คิดว่าเขาจะหาได้
“ว่าที่ผัวของเอ็งเก่งกว่าที่คิด จำเอาไว้”
พ่อหมอโน้มตัวลงมากระซิบข้างใบหู พลางกระตุกยิ้ม
“พรุ่งนี้พ่อแม่ของข้า จะมาเป็นพยานให้”
“พ่อหมอล้อเล่นใช่ไหมคะ?”
“สีหน้าของข้า เหมือนคนมีอารมณ์ขันรึไง”
พอเห็นสีหน้าจริงจัง ร่างเล็กก็เอี้ยวตัวลงไปกดใบหน้าซีดเซียวลงบนหมอน เพราะวันนี้มีหลายเรื่องให้ต้องตกใจ แถมพรุ่งนี้ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องรับมือ แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว
“นอนพักซะ”
มือใหญ่วางลงบนศีรษะบอบบาง เป็นเชิงให้นอนพักเอาแรง ทว่าความคิดมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาในหัว ทำให้เธอข่มตานอนไม่ได้ ระหว่างที่ฝ่ายชายไปสวดมนต์ที่ห้องพระ เธอจึงเดินวนไปวนมารอบเตียง แต่พอเจ้าของห้องกลับมา ขาเรียวก็รีบวิ่งไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม แล้วแกล้งหลับอยู่ตรงนั้น
พรึบ~
ขณะที่กำลังแกล้งหลับ กลับรู้สึกถึงเรี่ยวแรงมหาศาล ที่โอบอุ้มร่างบางด้วยท่าเจ้าหญิง ก่อนจะพาไปนอนบนเตียงนุ่มๆ แล้วไม่ลืมที่จะห่มผ้าให้ ซึ่งการกระทำเหล่านี้ เธอไม่ได้ลืมตามองโดยตรง แต่สัมผัสได้ จากการขยับสิ่งของรอบๆ ตัว
“ข้าให้คำสาบาน ว่าข้าจะปกป้องเอ็งด้วยชีวิต”
สิ้นสุดคำสาบาน ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็เริ่มเต้นระรัวปานกลองศึก และยิ่งทวีคูณความรุนแรง เมื่อฝ่ายชายโน้มตัวลงมา แนบหน้าผากกับอวัยวะเดียวกัน และค้างอยู่อย่างนั้น จวนเกิดความรู้สึกพิเศษ แทรกเข้ามาในหัวใจดวงนี้
เช้าวันต่อมา
“แม่จ๋า พ่อจ๋า ใจดีที่สุดเลย~”
เสียงเด็กตะโกนดังลั่นห้องด้วยความดีใจ ปลุกคนตัวเล็กให้ตื่นจากภวังค์ ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเผลอหลับไปตอนไหน รู้เพียงแค่ว่าเตียงนี้นอนสบายมาก รู้สึกหายเหนื่อยและเต็มอิ่ม
“ขอให้วันนี้สุขสมหวังดั่งใจนะจ๊ะ~”
เพชรกล้าอวยพรในยามเช้า ขณะที่คนบนเตียงยังคงนั่งหรี่ตาสู้แสง แต่พอกวาดสายตาไปเห็นพ่อหมอ ที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสภาพไม่ใส่เสื้อ เธอจึงรีบกระโดดลงจากเตียงทันที
“กระโดกกระเดกแต่เช้าเลยนะเอ็ง”
“ขะ ขอโทษค่ะ”
กล่าวคำขอโทษ พลางพนมมือไหว้
“ไหว้ว่าที่ผัวเถอะ”
เขารับไหว้ด้วยคำพูดแบบนี้ ก่อนจะชันตัวลุกขึ้นจากเตียง แต่เธอกลัวจะเห็นเหมือนเมื่อวาน จึงรีบยกมือขึ้นปิดตา
“เอ็งจะปิดตาทำไม ข้าใส่กางเกงนอน”
“ไม่เชื่อค่ะ”
สวนกลับทั้งที่สองมือเล็กยังคงปิดตาอยู่
“ไม่เชื่อก็เรื่องของเอ็ง”
พ่อหมอตัดบทสนทนา ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งเธอรอจนกว่าเสียงประตูจะปิดลง ถึงจะลดมือลงอย่างโล่งอก
บรืนนน~
เสียงรถขับเข้ามาจอดหน้าบ้าน ทำให้ขวัญตื่นเต็มตา
“พะ พ่อหมอคะ ใครมาแต่เช้าก็ไม่รู้”
“พ่อแม่ข้า เอ็งลงไปรับพวกท่านก่อน!”
เสียงเข้มตะโกนตอบ ทำเอานัยน์ตาสีสวยเบิกกว้าง
“มะ ไม่ดีมั้งคะ ให้ลูกชายลงไปรับน่าจะดีกว่า”
ขวัญตอบด้วยโทนเสียงตะกุกตะกัก เพราะเริ่มรนราน
กรึบ~
ทันทีที่ประตูห้องน้ำเปิดออก เธอจึงรีบวิ่งไปหาอีกฝ่าย
“กลัวพ่อแม่ข้ารึไง?”
คนตัวสูงเอ่ยถาม พลางกดสายตาคู่คมมองคนตัวเล็ก
“ขวัญไม่ได้กลัวค่ะ แค่ไม่สันทัดเรื่องทำความรู้จักกับผู้ใหญ่” ขณะที่พูดก็ส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากพ่อหมอ
“จะแทนตัวเองว่าขวัญ รึจะแทนตัวเองว่าหนูกันแน่?”
“ขวัญก็ได้ค่ะ ดูห่างเหินดี”
“หึ!”
พ่อหมอเค้นเสียงไม่พอใจ ก่อนจะเดินนำออกไปจากห้องนอน ซึ่งเขาสวมใส่กางเกงผ้าขายาว สีดำ แต่ไม่ได้ใส่เสื้อ
“ไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่า”
ขวัญพูดกับตัวเอง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ โดยที่ไม่ลืมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ดูดีกว่านี้ ใจจริงอยากจะอาบน้ำ แต่กลัวว่าผู้ใหญ่จะรอนาน จึงรีบลงไปสวัสดี
ซึ่งตอนนี้เธอก็ยังตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เหมือนกัน ว่ามาถึงจุดนี้ได้ยังไง จุดที่กำลังจะมีผู้ร่วมชะตาชีวิตเป็น ‘หมอผี’ มันเป็นความกะทันหัน ที่เธอไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นจริง
กรึบ~
ประตูไม้สักถูกปิดลง ก่อนที่หญิงสาวจะย้ายเรือนร่างอรชรออกมาจากห้องนอน แต่ก่อนจะเดินลงบันไดไปที่ชั้นล่าง ก็ไม่ลืมกดสายตามองการแต่งกายของตนเอง ที่คุมโทนสีขาวบริสุทธิ์ ด้วยการสวมใส่เสื้อเชิ้ต ที่มีเนื้อผ้านิ่มใส่สบาย และกางเกงขายาว สีเดียวกันกับสีเสื้อ ที่พ่อหมอเป็นคนเลือก
ส่วนเครื่องหน้า ขอยอมรับตรงนี้เลย ว่าเธอตบเพียงแป้งฝุ่นของเด็กอ่อน กับทาลิปมันกันปากแห้งเท่านั้น ถ้าจะให้ทำอย่างอื่น เพื่อเพิ่มความมั่นใจ ก็ต้องมัดผมหยักศกสีน้ำตาลเข้ม รวบไปด้านหลังให้กลายเป็นทรงหางม้าต่ำ ถึงจะไม่ได้สวยสะดุดตา แต่ก็น่าจะดูเรียบร้อยในสายตาของผู้ใหญ่
ขวัญสูดลมหายใจปอดเข้าลึกๆ เพื่อลดระดับความกดดัน ก่อนจะเดินลงบันไดไปที่ชั้นล่าง เท่าที่กวาดสายตาดูแล้ว พ่อแม่ของพ่อหมอ น่าจะอยู่ในห้องรับแขก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าห้องรับลูกค้า ที่เธอเคยเข้าไปในวันแรกนั่นแหละ
ดังนั้น จะเดินเข้าไปมือเปล่าไม่ได้ ต้องหยิบเครื่องดื่มพร้อมแก้วสองใบจัดลงในถาดกลม เพื่อยกเข้าไปให้พวกท่าน
“ขออนุญาตค่ะ”
ขวัญเอ่ยปากขออนุญาต ด้วยโทนเสียงอ่อนน้อม ดึงสายตาทั้งสามคู่ให้หันมามอง ทว่าแววตาแข็งขืนที่จ้องมองมา ทำให้มือทั้งสองข้างเกิดอาการสั่นเทิ้ม จนแก้วน้ำในถาดกระทบกันเสียงดัง ก่อนที่เธอจะก้มหน้าเพื่อหลบสายตาคู่นั้น
พรึบ!
หนึ่งในสามรีบลุกขึ้นมาหา แล้วช่วยรับถาดไปถือเอง
“เดี๋ยวช่วยถือนะจ๊ะ”
น้ำเสียงอ่อนหวาน แลดูใจดี ทำให้เธอรู้ว่าคนที่เข้ามาช่วยคือแม่ของพ่อหมอ ท่านแต่งกายด้วยชุดกระโปรงยาวลายผ้าไทย อายุอานามน่าจะราวๆ หกสิบกว่า แต่ยังดูไม่ชรา
ต่างจากเจ้าของแววตาแข็งขืน ที่ดูมีอายุ และมีความน่ากลัว ด้วยรูปลักษณ์ที่เหมือนกับคนทรงเจ้า มีลายสักตามเนื้อตัวทุกระเบียบนิ้ว ไว้หนวด ไว้เครา แม้จะไม่ได้ยาวเหยียดเท่าฤาษี แต่เมื่อวัดจากบุคลิก บอกได้ว่าเป็นคนมีของแน่นอน
ที่ปราบเคยบอกว่า พ่อหมอเป็นลูกชายของจอมขมังเวทย์ คงจะเป็นผู้ชายคนนี้ ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สัก ลายโบราณ
“มานั่งตรงนี้”
เสียงเข้มพูดขึ้น เธอจึงรีบหันไปยกมือไหว้ขอบคุณแม่ของเขา ก่อนจะย่อตัวคลานเข่า ไปนั่งพับเพียบข้างๆ พ่อหมอ
“ไหว้พ่อข้าสิ”
“สะ สวัสดีค่ะ”
ยกมือไหว้ พร้อมกล่าวคำสวัสดี ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ไม่ต้องกลัว พ่อข้าไม่ทำอะไรเอ็งหรอก”
“ค่ะ”
ขวัญตอบรับทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ ซึ่งเธอรู้ว่าการทำแบบนี้ มันเสียมารยาท และไม่น่ารัก แต่การใช้สายตามองตอบพ่อของเขา มันยากมาก เหมือนเธอจะไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้จริงๆ
“ชื่ออะไรเหรอจ๊ะ?”
แม่ของพ่อหมอกลับมานั่งข้างๆ พลางเอ่ยถาม
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อเพลงขวัญนะคะ”
เธอหันไปยกมือไหว้ แล้วแนะนำตัวอย่างสุภาพ โดยที่ไม่มีความรู้สึกหวาดกลัว เพียงแค่เกรงใจที่เริ่มต้นได้ไม่ค่อยดี
“ชื่อไพเพราะ สมกับหน้าตาสะสวย”
คำชมจากปากผู้เป็นแม่ ทำให้ดวงหน้าอ่อนเยาว์เริ่มมีรอยยิ้มจางๆ จากนั้นก็เริ่มมีการชวนคุยเรื่องจิปาถะ ที่ไม่ใช่เรื่องครอบครัว หรือเรื่องส่วนตัว เพียงแค่ถามว่าทานข้าวหรือยัง ชอบทานอะไรบ้าง พอเธอตอบเมนูที่ชอบ แม่ของพ่อหมอก็บอกว่าจะทำให้ทาน เธอจึงถือโอกาสนี้ เสนอตัวช่วยทำด้วย
“ทำเรื่องให้เสร็จเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาทำกับข้าวกินกัน” คำสั่งของพ่อหมอถือเป็นอันสิ้นสุด เธอกับแม่ของเขาไม่สามารถโต้แย้งได้ ทำได้เพียงเตรียมตัว เพื่อไปจดทะเบียนสมรส ซึ่งผู้เป็นพ่อไม่มีการถามไถ่ หรือการคัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น
ฟังดูอาจจะโล่งใจ แต่ไม่เลย เพราะส่วนตัวรู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก เวลาที่อยู่ใกล้พ่อของฝ่ายชาย มันมีทั้งความรู้สึกกลัว และไม่ปลอดภัย ทั้งที่บุคคลนี้เป็นถึงบุพการี ของคนที่พยายามจะช่วยเหลือเธอ มันน่าแปลกที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้า เพียงแค่ได้สบตาครั้งเดียวก็สั่นไปหมดแล้ว
ภาพตัดมาที่บนรถ แต่เป็นตอนกลับจากอำเภอ
“เอ็งไม่สบายใจรึ?”
เสียงทุ้มเอ่ยถาม หลังจากที่เราสองคน ได้เป็นสามีภรรยากัน อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทว่าเธอกลับตอบคำถามของเขาไม่ได้ เพราะมัวแต่คิดหนัก เรื่องที่จะต้องกลับ ไปเจอพ่อของฝ่ายชายที่บ้าน ไหนจะต้องร่วมมื้ออาหารกันอีก
“ข้าถาม ทำไมถึงไม่ตอบ”
“ถ้าขวัญพูดอะไรไม่ดี พ่อหมออย่าเพิ่งโกรธได้ไหมคะ?” หันไปถามพลางส่งสายตาอ้อนวอน ขอให้เขาอย่าเพิ่งโกรธ แม้ว่าสิ่งที่เธอกำลังจะพูด อาจจะฟังดูไม่ดีและแย่มากๆ
“อืม”
“สัญญาก่อนว่าจะไม่โกรธ”
“ไม่จำเป็นต้องสัญญา แค่พูดมาก็พอ”
“ไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวพ่อหมอโกรธ”
พอเธอดึงดัน อีกฝ่ายก็ปรายตามองดุๆ
“เร็วสิคะ ใกล้จะถึงบ้านแล้ว”
ขวัญรีบเร่งด้วยท่าทีรนราน พ่อหมอจึงยอมสัญญา
“อืม ข้าสัญญาว่าจะไม่โกรธเอ็ง”
พูดพร้อมกับหักพวงมาลัย เลี้ยวจอดรถเข้าข้างทาง
“อะ มีเรื่องอะไรก็ว่ามาให้มันจบ”
ใบหน้าหล่อคมหันมามอง เพื่อรอฟังสิ่งที่เธอจะพูด
“ขะ ขวัญกลัวพ่อของพ่อหมอค่ะ”
แค่พูดถึง เสียงก็เริ่มสั่น เพราะหวาดกลัวมากจริงๆ
“ขวัญรู้สึกไม่ดี จนไม่อยากเจอท่านอีก”
“…...”
พ่อหมอเงียบฟัง ทั้งที่ยังมองหน้าเธออยู่
“ขอโทษนะคะ ที่ต้องพูดจาแบบนี้ ขวัญรู้ว่ามันเป็นคำพูดที่ฟังดูแย่มากๆ และเป็นการไม่ให้เกียรติพ่อแม่ของพ่อหมอ แต่ขวัญไม่สามารถฝืนตัวเองได้จริงๆ” หญิงสาวระบายความรู้สึกนึกคิด พลางยกมือที่สั่นระริกขึ้นไหว้ขอโทษอีกฝ่าย