แก๊ก แก๊ก แก๊ก~
เสียงที่ได้ยิน เป็นเสียงเกาหัวของเธอเอง
ตั้งแต่ถูกระบายโทสะไปเมื่อเช้า พ่อหมอก็ไม่ยอมพูดด้วย หลังจากอาบน้ำเสร็จก็เดินดิ่งมานอนที่เตียง พอเธอลุกขึ้นเพื่อให้พื้นที่ ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจฟึดฟัด มาจากคนตัวใหญ่ แต่พอถามอย่างสุภาพว่าเป็นอะไร กลับไม่ได้รับคำตอบ
สุดท้าย ต้องกลับมานั่งเกาหัวงงงวย อยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม
ซึ่งเธอไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงกับสถานการณ์นี้
อยากจะพูดคุยก็ทำไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายนอนหลับสนิท แถมยังกรนเสียงดัง แสดงว่าเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียจากเมื่อคืน ทำให้เธอไม่กล้าปลุก จนเวลาล่วงเลยไปถึงสี่โมงเย็น มื้อเช้าไม่ได้กินไม่ใช่ปัญหา เพราะปกติก็ไม่มีเวลากินอยู่แล้ว ส่วนมื้อเที่ยงจะไม่กินก็ได้ เพราะวันนี้ยังไม่ได้ใช้พลังงาน
แต่มื้อเย็นนี่สิ เธอจะปล่อยเบลอไม่กินก็ได้ แต่เขาละ?
ขวัญตั้งคำถามอยู่เพียงลำพัง เพราะอีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นในเร็วๆ นี้ ส่วนเรื่องกลับบ้านก็ไม่รู้ว่าจะกลับยังไง เพราะมีค่ารถเหลือแค่ยี่สิบบาท ส่วนเงินที่คิดว่าจะใช้นั่งรถกลับ ถูกเจ้าของบ้านยึดไปในตอนที่ยื่นให้เด็กหนุ่มสองคนนั้น
ทำให้ตอนนี้เธอติดแหง็ก อยู่ที่บ้านของพ่อหมออาคม
“แม่จ๋า~”
เสียงเด็กเรียกดังแว่วในโสตประสาท ขณะที่หญิงสาวกำลังนั่งคิดไม่ตก แต่พอกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง กลับไม่พบสิ่งใด จึงมองเฉพาะเจาะจงไปที่รูปปั้นกุมารทองตนเดิม
“เพชรกล้าอยากกินขนมจังเลย”
รูปประโยคมีความแตกต่างจากเมื่อคืน ทว่าเป็นเสียงที่ชัดขึ้นราวกับว่ามายืนพูดอยู่ข้างๆ ใบหู แต่ไม่มีตัวตนให้เห็น
“แม่จ๋าได้ยินเพชรกล้าไหมจ๊ะ?”
“ได้ยิน”
ขวัญตอบกลับ ก่อนจะชันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้
“เย้~ ในที่สุดแม่จ๋าก็คุยกับเพชรกล้าได้แล้ว”
เสียงนั้นดูมีความสุขมาก ต่างจากเธอที่ทำตัวไม่ถูก เพราะไม่เคยสื่อสารกับสิ่งเหล่านี้มาก่อน นี่เป็นครั้งที่สองที่ได้ยินเสียงเด็ก และสามารถพูดคุยโต้ตอบกันโดยที่ไม่เห็นตัวตน
“จะกินขนมใช่ไหม เดี๋ยวลงไปหยิบที่ห้องครัวให้นะ”
ขวัญพูดรวบรัด ก่อนจะเดินออกจากห้องนอน แล้วลงไปหาขนมในห้องครัว ซึ่งมีห่อขนมขบเคี้ยวเก็บอยู่เป็นแพ็กใหญ่ แถมยังมีหลากหลายยี่ห้อ เธอจึงเลือกมาสามห่อเล็ก แล้วถือกลับขึ้นไปบนห้อง จากนั้นก็ถามลอยๆ ว่าต้องให้ยังไง
“ได้ขนมมาแล้ว ต้องทำยังไงต่อ?”
“แกะแล้วกินเลยจ่ะ~”
“ให้กินเหรอ?”
“กินด้วยกันจ่ะ ตอนกินแม่จ๋านึกถึงเพชรกล้านะจ๊ะ~”
“นึกถึงยังไง ให้มองรูปปั้นกุมารทองเหรอ?”
“ใช่จ่ะ~”
ถึงแม้ว่าจะฟังดูแปลก แต่เธอก็ยอมทำตามคำขอนั้น
“อร่อยจังเลย แม่จ๋าชอบกินขนมไหมจ๊ะ~”
“อ่า ชอบ”
“เย้~ เพชรกล้าดีใจที่แม่จ๋าชอบกินขนม~”
เสียงเด็กฟังดูร่าเริงขึ้น ทำให้เธอคิดไม่ผิดที่ตอบไปแบบนั้น แม้จะไม่ชอบกินขนม แต่ตอบแบบนี้น่าจะดีที่สุดแล้ว
พรึบ~
ระหว่างที่กำลังกินขนม คนบนเตียงก็ลุกขึ้นไปยืนอยู่ปลายเตียง ทว่าผ้าขาวม้าที่พันเอวสอบ ตอนนี้กลับกองอยู่บนฟูก ทำให้เห็นบั้นท้ายที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ และลายสักยันต์ตั้งแต่ท้ายทอยลงมาถึงปลายขา โดยไม่มีสิ่งใดปิดกั้น
ซึ่งภาพที่เห็น ทำให้หญิงสาวอ้าปากค้าง จนขนมร่วงหล่น แต่แทนที่เจ้าตัวจะเขินอาย กลับเดินเปลือยกายไปเข้าห้องน้ำ ทว่าจังหวะที่เดินออกมา เธอรู้ว่าต้องเห็นด้านหน้าแน่ๆ จึงรีบหันเข้ากำแพง พลางยกมือกุมอกข้างซ้ายที่สั่นไหว
“เพชรกล้า”
เสียงทุ้มเอ่ยเรียก ไร้ความงัวเงีย รวมไปถึงความโกรธ
“จ๊ะ พ่อจ๋า~”
“ทำไมถึงไม่ปลุก?”
“งืม~ เพชรกล้าเห็นว่าพ่อจ๋าเหนื่อย เลยไม่ได้ปลุก”
“ครั้งหน้าต้องปลุก เข้าใจไหม?”
“เข้าใจแล้วจ่ะ~”
เสียงเด็กไม่ได้รู้สึกผิด เพราะน้ำเสียงของอีกฝ่ายไม่ได้ตำหนิ เพียงแค่พูดให้รู้หน้าที่ ซึ่งเป็นบทสนทนาที่ฟังดูอบอุ่นดี
“กินข้าวรึยัง?”
“…..”
ถามใคร? ถามกุมารทอง หรือว่าถามเธอ
“ปากอมพะนําอยู่รึไง ถึงไม่ยอมตอบ”
“พ่อหมอหมายถึงขวัญเหรอคะ?”
ถามกลับ ทั้งที่ยังหันหน้าเข้ากำแพงห้อง
“ไม่ให้หมายถึงเอ็ง จะให้ข้าหมายถึงใคร?”
“อ้อค่ะ ขวัญยังไม่ได้กินข้าวเลยค่ะ”
“แล้วทำไมไม่กิน?”
“ขวัญรอพ่อหมอตื่น”
“แต่แอบเอาขนมมากิน”
“กะ ก็น้องเขาอยากกิน”
เสียงเริ่มตะกุกตะกัก เพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดี
“แล้วทำไมต้องหันหลังคุยกับข้า?”
“พะ เพราะพ่อหมอลืมผ้าขาวม้าค่ะ”
พอพูดถึงปุ๊บ ภาพที่เห็นก็ลอยกลับเข้ามาในหัว
แม้ว่าหุ่นของพ่อหมอจะล่ำสันสมชายชาตรี ผิวแทนสุขภาพดีไม่มีริ้วรอยด่างดำแม้แค่นิดเดียว ทว่าการเปิดโชว์บั้นท้ายให้ผู้หญิงดู จะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ มันใช่สิ่งที่ควรทำเหรอ ขนาดเห็นแค่ด้านหลังยังทำให้ใจสั่น ถ้าเห็นด้านหน้า จะไม่ทำให้เธอใจแตกเลยหรือไง คิดแล้วเจ็บใจ ไม่น่ามองเลย
ทั้งนี้ทั้งนั้นคือโทษตัวเอง เพราะมีภาพอยู่ในหัวตลอด!
“ข้าไม่ได้ลืม ข้าจงใจให้เอ็งเห็น”
“ฮะ!?” ขวัญถึงกับอุทานเสียงหลง
“เผื่อเอ็งเห็นแล้วอยากได้ข้าเป็นผัว”
“เดี๋ยวขวัญลงไปทำกับข้าวให้ดีกว่า”
หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องเพื่อเอาตัวรอด ก่อนจะรีบสับขาเดินออกไปจากห้องนอน โดยที่ไม่หันไปมองเจ้าของคำพูดนั้น
ฉ่าาา~
ผักกะหล่ำที่ยังเหลือ ถูกผัดในกระทะจนส่งกลิ่นหอม ตามด้วยน้ำปลา และเครื่องปรุงที่มีอยู่ภายในห้องครัว ส่วนกับข้าวอีกหนึ่งอย่าง ทำเป็นกระเพราหมูสับ เพราะเห็นว่ามีต้นใบกระเพรา อยู่ใกล้ๆ กับต้นตะไคร้ ที่เธอเก็บมาใช้เมื่อคืน
“พ่อหมออยากทานต้มจืดไหมคะ?”
เสียงหวานเอ่ยถามความคิดเห็น จากคนตัวสูงที่เพิ่งจะเดินตามลงมา ทว่าการแต่งตัวของพ่อหมอในวันนี้ ทำให้เธอหยุดชะงักการทำอาหาร เพราะเขาสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีดำ กางเกงยีนขายาว และรองเท้าผ้าใบสีเดียวกันกับสีเสื้อ แถมยังคงสวมตะกรุด เหมือนหนุ่มไทยบ้าน กำลังจะไปโกอินเตอร์
ไม่รู้ว่าใช้คำเปรียบเปรยถูกไหม แต่หล่อดี ดูเด็กลง
“ถ้าไม่อยากได้เป็นผัว ก็ไม่ต้องมามอง”
“วันนี้จะออกไปข้างนอกเหรอคะ?”
ขวัญใช้สเต็ปเดิม ถ้าโดนหยอด ให้เบี่ยงประเด็นถาม
“หึ!”
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทัน ถึงได้เค้นเสียงหัวเราะในลำคอ แล้วเดินไปหยิบน้ำในตู้เย็น มาดื่มแก้กระหาย พอเธอมองตาม เขาก็ทำหน้าเมิน ทว่ายังดี ที่เดินกลับมาช่วยตักข้าว
“งั้นขวัญทำต้มจืดให้ด้วยนะคะ จะได้ซดคล่องคอ”
เธอพูดโดยที่ไม่หวังว่าจะได้ยินเสียงตอบรับ ก่อนจะรีบหันกลับไปทำกับข้าวต่อจนเสร็จ แล้วมานั่งกินกับพ่อหมอ ซึ่งเขาไม่ถือ แถมยังกินเก่งมากๆ ข้าวหม้อหนึ่งกินหมดเกลี้ยง
“เดี๋ยวขวัญล้างจานให้นะคะ”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวข้าล้างเอง เอ็งรีบขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว”
“แต่งตัวไปไหนคะ?”
“ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ แต่เอ็งเอาชุดเก่าขึ้นไปเปลี่ยนก่อน”
ชุดเก่าที่หมายถึง น่าจะเป็นชุดของเธอที่ตากเมื่อคืนนี้
“อ่า ขวัญใส่ชุดเก่าได้ ไม่มีปัญหา แต่ทำไมต้องไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ด้วยคะ?” ถามด้วยความสงสัย เพราะตอนนี้เธอยังมีความคิดที่อยากจะกลับบ้าน เพื่อไปสมัครงาน และหาเงินส่งค่าเทอมให้น้องภายในเดือนนี้ ส่วนเดือนหน้าก็ต้องหาเงินอีกหนึ่งแสน ไปจ่ายค่าหนี้พนัน หากไม่รีบหางานคงไม่ทัน
“เพราะข้าจะให้เอ็งอยู่ที่นี่”
“อ้อ อยู่เพื่อทำพิธีเหรอคะ?”
“เอ็งอยากทำพิธีรึ?”
“อ้าว ขวัญนึกว่าเกี่ยวข้องกันเสียอีก”
“อืม มันเกี่ยวข้อง แต่ข้าไม่อยากบังคับ”
“แล้ว…การทำพิธี ต้องทำยังไงบ้างคะ?”
ถามเพื่อความกระจ่าง จะได้ตัดสินใจถูก
“สิ่งแรกของการผูกชะตาชีวิต คือ สมรส”
“สมรสคืออะไรเหรอคะ?”
“เอ็งไม่รู้จริงๆ รึแกล้งโง่?”
“อ่า ไม่ได้แกล้งโง่ แต่ขวัญรู้จักแค่จดทะเบียนสมรส”
“ถูกต้อง มันคือสิ่งเดียวกัน”
“…..” ขอเวลาช็อกแป๊บหนึ่ง
“หากเอ็งจะผูกชะตาชีวิตกับใครสักคน เอ็งต้องสมรสอย่างถูกต้อง หลังจากนั้น ค่อยกลับมาทำพิธีสามวันสามคืน”
“แล้วต้องสมรสกันนานไหมคะ?”
“ตราบชั่วชีวิต”
พอเธอได้ยินประโยคนั้น ก็ถึงกับช็อกแล้ว ช็อกอีก
“ข้อดีของการทำพิธีผูกชะตา จะทำให้ชีวิตเอ็งดีขึ้น”
“แค่ดีขึ้นเหรอคะ?”
“มันดีขึ้นในทุกๆ ด้าน รวมถึงชีวิตของเอ็งจะแคล้วคลาดจากพวกสัมภเวสี เพราะข้าสามารถปกป้องเอ็งได้ ในฐานะผู้ร่วมชะตาชีวิต” พ่อหมออธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไขความกระจ่างจนเธอเข้าใจ ทว่ายังตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะร่วมพิธีกรรมดีไหม เพราะเราสองคนต้องจดทะเบียนสมรสกัน มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน และมีผลต่อชีวิตของเราทั้งคู่
“เอ็งทำสีหน้าแบบนี้อีกแล้ว เหอะ…”
พ่อหมอส่อแววโกรธ มือเล็กจึงเอื้อมไปสัมผัสมือแกร่ง
“อย่าเพิ่งโกรธนะคะ ขอเวลาคิดก่อน”
นัยน์ตาจระเข้ก้มมองมือที่สัมผัสกัน ก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วปล่อยให้คิดทบทวน ว่าจะทำพิธีธรรมผูกชะตาหรือไม่
“ค่ะ เรื่องแรก เรื่องจดทะเบียนสมรสกัน”
เมื่อได้ใช้เวลาคิดสักพัก จึงเริ่มให้คำตอบ
“ขวัญตกลงนะคะ”
ทันทีที่ตอบตกลง รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าฝ่ายชาย
“แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”
พอพูดประโยคถัดไป รอยยิ้มนั้นก็หายวับ แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าบึ้งตึง พลางดึงมือตัวเองออกแล้วนั่งกอดอกถมึงทึง
“พ่อหมอช่วยเข้าใจหน่อยนะคะ ขวัญยังมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ต้องกลับไปหางานทำ เพื่อหาค่าเทอมส่งให้น้องอีกสองคน” หญิงสาวอธิบายถึงความจำเป็น ที่ต้องเว้นระยะเวลาการทำพิธีกรรม เพราะไม่สะดวกที่จะทำช่วงนี้จริงๆ
“เอ็งต้องใช้เงินเท่าไร?”
“…...” เธอเงียบกริบ ไม่ยอมบอกจำนวนเงิน
“ข้าถาม (เน้นเสียง) ว่าเอ็งต้องใช้เงินเท่าไร?”
“ไม่บอกค่ะ”
“ถ้าไม่บอกข้าจะไปถามน้องๆ ของเอ็ง ดีไหม?”
“ไม่ดีค่ะ”
“งั้นก็บอกมา”
“บอกไปแล้วพ่อหมอจะทำอะไรต่อคะ?”
“โอนเงิน”
“งั้นไม่บอกค่ะ” เธอปฏิเสธ ก่อนจะรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้
“เอ๊ะ! ชาติปางก่อนเอ็งก็ไม่ได้เกิดเป็นหิน ทำไมถึงได้หัวแข็งนักนะ” พ่อหมอเริ่มสบถด่า พร้อมกับลุกขึ้นตามมารั้งข้อแขนเล็ก ทว่าในมือเธอถือจานกระเบื้องอยู่ จึงทำให้ของสิ่งนั้น หลุดหล่นไปตามแรงดึง แล้วแตกกระจายเต็มพื้นห้องครัว
เพล้ง!
เราสองคนก้มมองเศษจานกระเบื้องพร้อมกัน ก่อนที่ดวงหน้าอ่อนเยาว์จะแหงนคอมองคนตัวสูง ซึ่งเขาทำสีหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด เธอเลยรีบย่อตัวลง เพื่อเก็บเศษจาน
ฉึบ!
เจ้าของร่างบอบบางสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อคมกระเบื้องบาดเข้าไปในเนื้อ พอฝ่ายชายเห็นเข้า จึงย่อตัวลงมาดู แล้วจับปลายนิ้วชี้ที่เลือดออก ไปกดลงตรงกลางฝ่ามือของตนเอง
นัยน์ตาคู่สวยจ้องมองการกระทำนั้น ก่อนจะมีภาพซ้อนเกิดขึ้น ซึ่งเป็นภาพเลือนลางของผู้ชายอีกคนหนึ่ง ที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับพ่อหมอ แต่ไม่มีลายสัก ไม่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า มิหนำซ้ำ ยังแต่งกายเหมือนคนสมัยก่อน
“พี่ไม่อยากเห็นออเจ้าต้องเจ็บ เพราะพี่จะเจ็บยิ่งกว่า”
“พะ พ่อหมอว่ายังไงนะคะ?”
ขวัญทวนประโยคซ้ำ เพราะไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“เอ็งโง่รึไง ทำไมกล้าจับเศษกระเบื้องด้วยมือเปล่า!?”
เสียงดุดันเชิงตำหนิ ต่างจากน้ำเสียงก่อนหน้านี้สุดขั่ว