ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง~
เสียงหยดน้ำค้าง บ่งบอกว่าฝนหยุดตกแล้วจริงๆ แต่จะให้กลับยังไง เมื่อไม่มีรถแท็กซี่ ขับผ่านหน้าบ้านเลยแม้แต่คันเดียว เท่าที่เห็น มีแค่รถจักรยานของชาวบ้านแถวนี้เท่านั้น
และนี่ก็สี่ทุ่มแล้ว ยิ่งดึก ยิ่งไร้ความหวัง
“ใจคอเอ็งจะนั่งรอรถจนถึงฟ้าสางเลยรึไง?”
เสียงทุ้มเอ่ยทัก เมื่อเห็นว่าเธอยังไม่ยอมขึ้นชั้นสอง
“ขวัญว่า ขวัญรอได้นะคะ” ตอบโดยที่ไม่หันไปมอง
“ขึ้นมา” เริ่มทำเสียงดุ
“ไม่ค่ะ” ส่ายหน้าระรัว
“ข้าไม่ชอบพูดจาซ้ำซาก”
“ขวัญก็ไม่ชอบทำแบบนั้นเหมือนกัน”
หลังจากสวนประโยคนี้กลับไป ก็ไม่มีเสียงโต้ตอบจากอีกฝ่าย จนกระทั่งร่างเล็กถูกช้อนขึ้น จากเก้าอี้ไม้หินอ่อน
พรึบ!
นัยน์ตากลมโตเบิกกว้าง เมื่อถูกกายแกร่งโอบอุ้มในท่าเจ้าหญิง แล้วพาขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง โดยที่ไม่ถามความสมัครใจ เอาแต่เดินดุ่มๆ พาเข้าไปในห้องนอน แล้วเลี้ยวไปที่ห้องน้ำ ก่อนจะยอมวางตัวเธอลง พร้อมกับส่งผ้าเช็ดตัวสีขาว
“รีบอาบน้ำซะ”
“ขวัญไม่อาบที่นี่”
ตอบกลับทั้งที่ยังคงตกใจ เพราะไม่เคยก้าวล้ำเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของผู้ชายคนไหนมาก่อน แม้ว่าห้องนอนของเขาจะกว้างขวาง และมีห้องน้ำสะอาดสะอ้าน แต่การเข้ามายืนอยู่ในจุดนี้ มันทำให้เธอรู้สึกประหม่า และไม่ค่อยสบายใจ
“จะอาบดีๆ หรือเอ็งจะให้ข้าอาบให้?”
คำพูดนั้น ทำให้ม่านตาคู่สวยขยายกว้าง พอคนตัวสูงเดินเข้ามาใกล้ขึ้น เธอจึงรีบถอยหลังแล้วเอื้อมมือไปปิดประตู
ปัง!
ไม่ได้ตั้งใจปิดประตูเสียงดัง แต่มันรนรานอย่างบอกไม่ถูก มองซ้ายมองขวา ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรมาอยู่ที่นี่ ถึงมีความจำเป็นที่ต้องค้างคืน เพราะหารถกลับไม่ได้ แต่การอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับผู้ชายสองสองต่อ มันดูไม่ดีเท่าไหร่นัก
แม้ว่าเธอจะไม่ได้ถือพรหมจรรย์ แต่เธอก็แอบหวงความบริสุทธิ์ โดยเฉพาะกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘พ่อหมอ’ ไม่รู้ว่าเขาจะทำของใส่เธอหรือเปล่า หากเกิดความรู้สึกบางอย่างในค่ำคืนนี้ ถึงจะยังไม่เชื่อมีจริง แต่ก็แอบหวั่นใจกลัวเผลอตัว
“รีบอาบ!”
เสียงขึงขังหน้าประตู ทำให้คนในห้องน้ำถึงกับสะดุ้งตัวโยน ก่อนจะรีบไปเปิดฝักบัว แล้วปล่อยให้น้ำเย็นอุ่นชโลมศีรษะจรดปลายเท้า พอเห็นว่ายังไม่ได้ถอดรองเท้าผ้าใบ จึงโน้มตัวลงไปถอดออก ตามด้วยถุงเท้า ที่เปียกชุ่มหยาดน้ำฝน
พรึบ~
กางเกงขายาวถูกถอดออกเป็นชิ้นที่สาม ตามด้วยเสื้อชั้นนอก ที่เป็นแขนยาวเหมือนกัน ตอนนี้บนเรือนร่างอรชร มีเพียงชั้นในสีขาวสองชิ้น ที่บดบังจุดสำคัญ ของสาววัยสะพรั่ง
ซ่าาาา พรึบ~
อาภรณ์ชิ้นสุดท้าย ลอดใต้ขาเรียว ก่อนจะลงไปกองอยู่บนพื้นห้องน้ำ ซึ่งตอนนี้ไม่มีเนื้อผ้า ปกคลุมผิวพรรณเรียบเนียนเลยแม้แค่ชิ้นเดียว ทำให้เห็นส่วนเว้า ส่วนโค้ง ทรงเสน่ห์ ร่วมไปถึงหน้าอกหน้าใจ ที่สวยเด่นกว่าตอนอยู่ภายใต้เนื้อผ้า
กรึบ~
ฝักบัวถูกปิดลง เมื่อชำระล้างร่างกายเสร็จแล้ว ก่อนที่มือขาวนวลจะยกขึ้นลูบผมหยักศก เพื่อรีดของเหลวออกจากกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม ไปจนถึงปลายเส้นไหม จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดตัว มาเช็ดหน้า เช็ดผม ทั้งที่ร่างอรชรยังคงเปลือยเปล่า แต่กลับเดินบิดบั้นท้ายสวยไปมา อย่างสบายตัว
พึบ!
ทุกอย่างถูกหยุดชะงัก เมื่อจู่ๆ แสงไฟภายในห้องน้ำก็ดับลงจนมืดสนิท แม้ว่าเธอจะไม่กลัวผี แต่ในกรณีนี้ ควรจะเดินออกไปดู หรือคอยอยู่ในห้องน้ำ จนกว่าแสงไฟจะกลับมา
“ได้ยินไหม?” เสียงของคนด้านนอกเอ่ยถาม
“ได้ยินค่ะ พ่อหมอ” ตอบรับด้วยน้ำเสียงปกติ
“ไฟมันตก เป็นแบบนี้ประจำ เอ็งรอข้าก่อนนะ”
“ค่ะ”
“ว่าแต่เอ็งกลัวหรือเปล่า?”
“กลัวอะไรคะ?”
“อ้อ ข้าลืมไป ว่าเอ็งไม่กลัวผี”
“…..”
ไม่ได้ตอบ เสียงจากด้านนอกจึงเงียบไป
“พ่อหมอคะ”
เรียกหา เมื่อเวลาผ่านไปนานพอสมควร
“ไฟมาหรือยังคะ?”
“…..”
ไม่มีสัญญาณตอบรับ มีเพียงความเงียบ
“แกล้งคนที่ไม่กลัวผี มันไม่สนุกหรอกค่ะ”
พูดต่อ เพราะคิดว่าฝ่ายชายอาจจะกลั้นแกล้ง แต่พอไม่ได้ยินเสียงพูด หรือแม้แต่เสียงลมหายใจ หญิงสาวจึงเลือกที่จะเปิดประตูห้องน้ำ แล้วเดินออกไปดู ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“สวัสดีจ้า~”
เสียงเด็กเอ่ยทักอย่างสดใส แต่กลับไม่เห็นรูปลักษณ์
“เมียพ่อจ๋าสวยจังเลย ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ แม่จ๋า~”
ดวงหน้าหวานขมวดคิ้ว พลางกวาดสายตามองหาเจ้าของเสียง เท่าที่เห็นตอนนี้มีเพียงกลุ่มเงาดำ ที่วิ่งผ่านหน้าไปมา แต่ไม่สามารถระบุลักษณะได้ เพราะเป็นกลุ่มควันฟุ้งๆ
พึบ!
แสงสว่างกลับมาอีกครั้ง ทำให้รู้ว่าภายในห้องนอน ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่น นอกจากเธอเพียงคนเดียว แต่มีบางสิ่งที่หางตาเหลือบไปเห็น นั่นก็คือ รูปปั้นกุมารทอง วางอยู่บนหัวเตียง
“มายืนทำอะไรตรงนี้?”
เจ้าของห้องกลับขึ้นมา พร้อมกับเอ่ยถาม
“เมื่อตะกี้ขวัญได้ยินเสียงเด็กค่ะ”
ตอบทั้งที่สายตายังคงมองรูปปั้นกุมารทอง
“เพชรกล้า”
“คะ?”
หันหน้ากลับมามอง โดยที่ยังมีความสงสัย
“กุมารทองตนนั้น มีชื่อว่าเพชรกล้า”
“…..”
“เป็นเด็กผู้ชาย พูดจาดี ไม่ต้องกลัว”
“ขวัญไม่ได้กลัว”
พ่อหมอพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วใช้ฝ่ามือหยาบใหญ่ กระชับผ้าขนหนูขึ้นปิดเนินอกขาวอวบ ซึ่งการสัมผัสนี้ ทำให้นิ้วโป้งของเขายัดเข้าไปตรงกลางร่องเต็มๆ
“ซ่อนรูปกว่าที่คิด”
หญิงสาวเบิกตาโต พร้อมกับมองหน้าคนตัวสูง สลับกับมองนิ้วมือที่ถูไถร่องอกอย่างฉาบฉวย แต่ก่อนจะถอยหนี วงแขนแกร่งก็เอื้อมมาตวัดรัดรอบเอวบาง แล้วดันเข้าหาจนแนบชิดแผงอกล่ำสัน ที่เต็มไปด้วยลายสักยันต์และกล้ามเนื้อ
“เอ็งไม่ใช่คนที่ไหวพริบช้า แต่ทำไมถึงได้เชื่องช้ากว่าข้าตลอด” พูดพลางโน้มใบหน้าหล่อคมลงมาหา แล้วใช้ฝ่ามืออีกข้างสัมผัสพวงแก้มเนียนนุ่ม ที่ตอนนี้เริ่มขึ้นสีเลือดฝาด
“ข้าไม่เคยแตะต้องผู้หญิงคนไหนมาก่อน”
“ไม่เชื่อค่ะ”
ขวัญปฏิเสธที่จะเชื่อ ก่อนจะเบือนหน้าหนีสันจมูกคม
“ข้าไม่ได้ขอให้เอ็งเชื่อ ข้าเพียงแสดงความบริสุทธิ์ใจ”
ไม่พูดเพียงอย่างเดียว แต่ใช้นิ้วเรียวยาวเชยปลายคางหวาน ให้หันหน้ากลับไปสบตากัน จังหวะนี้ ทำให้เธอเกิดความรู้สึกวูบวาบ เหมือนตอนที่อยู่ในห้องชั้นล่าง มิหนำซ้ำ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้าย ยังเต้นถี่ระรัว จนแทบจะหายใจไม่ทัน
ผลัก!
ก่อนที่ไฟในกายจะร้อนรุ่มไปมากกว่านี้ มือเล็กจิ๋วก็ออกแรงดันแผงอกแกร่งกร้าน ให้ถอยออกห่าง เพื่อที่เธอจะได้หายใจหายคอสะดวก ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมเว้นระยะ แล้วเดินไปหยิบกล่องสีเลือด จากนั้นก็เดินกลับมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
“อีกไม่นาน ชะตาของเอ็งจะเปลี่ยนไป”
พ่อหมอพูดเสียงกดต่ำ พลางเปิดกล่องลงยันต์ในมือ
“ข้าอยากให้เอ็งเก็บสิ่งนี้เอาไว้กับตัว มันจะทำให้เอ็งแคล้วคลาดปลอดภัย จากสิ่งที่เอ็งคิดว่ามันไม่มีอยู่จริง” พูดพร้อมกับหยิบกำไลถักด้ายแดง ออกมาจากกล่อง แล้วจับมือบอบบางข้างซ้ายไปสวมใส่กำไลเส้นนั้น พร้อมกับลงคาถาให้
“พุทธาอาคม สังคะอาคม ปิติยะอาคม…”
หญิงสาวจ้องมองริมฝีปากหยักได้รูป ที่กำลังท่องบทสวดอย่างตั้งใจ ก่อนที่จะเปาลมเบาๆ บริเวณหลังมือ หน้ามือ
“อย่าปล่อยให้ด้ายแดงขาด เข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดไหม?”
ขวัญไม่ได้ตอบกลับในทันที แต่พอเห็นสายตาที่บ่งบอกว่าสิ่งนี้สำคัญมาก จึงพยักหน้ารับ แล้วดึงมือเล็กกลับคืน
“ไปแต่งตัว เสื้อผ้าของเอ็งวางอยู่บนโต๊ะหน้าห้องน้ำ”
“ค่ะ”
ตอบรับอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าบนโต๊ะตามที่เจ้าของห้องบอกมา แล้วนำไปเปลี่ยนในห้องน้ำ โดยที่ไม่ลืมเก็บเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มมาบิดแห้ง เพื่อที่จะนำไปตากข้างนอก ถึงจะอยู่ไม่ทันตากแดด แต่อย่างน้อย ก็ขอให้ได้ตากลม
“เสื้อผ้าที่เปียก เอาไปตากตรงไหนได้บ้างคะ?”
คนตัวเล็กเดินออกจากห้องน้ำ ด้วยการแต่งกายคุมโทนสีขาว คล้ายกับชุดคนถือศีล ที่เคยเห็นปราบสวมใส่ในวันแรกที่เจอกัน ซึ่งเป็นชุดที่เธอโอเคมาก เพราะค่อนข้างตัวใหญ่ ไม่รัดรูป แถมกางเกงผ้ายังเป็นขายาว อย่าว่าแต่เห็นขาอ่อน นาทีนี้ ปลายเท้าก็ไม่มีสิทธิ์ได้เห็น เพราะขากางเกงยาวโคตร!
“เอาไปตากข้างล่าง มีราวตากผ้าอยู่ข้างๆ ห้องครัว”
เมื่อรู้ว่าที่ตากผ้าอยู่ตรงไหน จึงรีบวิ่งสี่คูณร้อยออกไปจากห้องนอน เพราะกลัวว่าน้ำจะหยดลงพื้นไม้กระดาน ซึ่งด้านบนถูกเคลือบอย่างดี ถ้ามีน้ำหยดตามทางจะทำให้ลื่นได้
“พี่สาว…”
เสียงของใครบางคนเอ่ยเรียกด้วยความแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าใครจะได้ยิน พอเธอหันไปมองบริเวณห้องครัว จึงเห็นว่ามีเงาตะคุ่มสองเงา กำลังแอบกินบางอย่างอยู่ตรงมุมมืด ไม่นานนัก เจ้าของเสียงก็ปรากฏตัว พร้อมกับถือกระป๋องมาม่า ส่วนเงาของอีกคนคือเพื่อนสนิทของปราบที่เธอเคยเจอ
“ตอนหัวค่ำฝนตกหนักมาก ผมเลยไม่ได้ออกไปหาอะไรกิน แล้วพอฝนหยุด ไอ้บิณฑ์ก็มาหาพอดี ผมเลยชวนมันมากินมาม่าที่บ้านพ่อหมอ แต่พี่สาวอย่าไปฟ้องพ่อหมอนะ ว่าพวกผมมาที่นี่” ปราบพูดอย่างมีลับลมคมใน ขณะที่มือยังคงตักมาม่ากินด้วยความหิวโหยเธอจึงถามกลับเสียงเรียบ
“แล้วทำไมถึงจะมาไม่ได้ พ่อหมอห้ามไม่ให้มาเหรอ?”
“ไม่ได้ห้ามครับ แต่หลังสามทุ่ม พ่อหมอไม่ชอบให้ใครรบกวน ถึงได้ซื้อบ้านอีกหลังให้ผมกับพ่ออยู่ด้วยกัน แต่วันนี้มาม่าที่ผมตุนไว้ดันหมด ผมเลยแอบย่องมากินที่บ้านนี้แทน”
“อืม เข้าใจ แต่ทำแบบนี้ไม่ดีนะ อย่างน้อยก็ควรที่จะขอก่อน หรือถ้ากลัวพ่อหมอดุ งั้นเอาพี่มาเป็นข้ออ้างก็ได้ ถึงพี่จะไม่ค่อยมีเงิน แต่เรื่องเลี้ยงข้าวพี่เลี้ยงได้อยู่แล้ว” เธอพูดด้วยความหวังดี ก่อนจะหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์ที่เปียกชุ่ม
“แบงก์เปียกหน่อยนะ แต่เอาไปซื้อข้าวกินกันดีกว่า”
ยื่นแบงก์แดงให้สองใบ ทั้งที่ในกระเป๋าเหลือแค่แบงก์เขียวใบเดียว แต่ก่อนที่จะถึงมือน้องๆ ก็มีคนมารับแบงก์แทน
“พะ พ่อหมอ”
ปราบตกใจ จนกระป๋องมาม่าในมือสั่นระริก
“ข้าเคยเตือนเอ็งว่ายังไง ไอ้ปราบ” ถามเสียงดุ
“ห้ามรบกวนหลังสามทุ่ม เด็ดขาด ครับพ่อหมอ”
คำว่า ‘เด็ดขาด’ ทำให้ผู้มาใหม่เกิดความสงสัย ว่าทำไมต้องห้ามปรามถึงขั้นนั้น เพราะเท่าที่เดินลงมาจากตัวบ้านก็ยังไม่เห็นสิ่งผิดปกติ นอกจากเสียงเด็กภายในห้องนอน