บทที่ 3 : ทุกคนตายหมด

2225 Words
เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนเกือบรุ่งสาง แล้วยังไม่มีวี่แววของพนักงานชาย รวมไปถึงอาสาว ที่ต้องเดินมาตามถึงร้านมินิมาร์ท หากเธอกลับไปไม่ทันจ่ายตลาด ทว่าวันนี้ทุกอย่างมันกลับแปลกประหลาดไปเสียหมด จนหญิงสาวเริ่มรู้สึกไม่ดี “ขวัญ!” จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ตะโกนเรียก ซึ่งเป็นหญิงวัยห้าสิบอัพ ที่ขายข้าวขาหมูอยู่ตรงกันข้ามกับบ้านของเธอ และสภาพที่วิ่งมาหาดูตื่นตระหนกตกใจเหมือนกำลังจะช็อกยังไงอย่างงั้น “ยัยนงถูกฆ่า!” “ป้าว่าไงนะคะ?” “ยะ ยัยนงถูกฆ่า หัวเนี่ยนะ วางอยู่ที่ระเบียงชั้นสอง!” ขวัญชะงักก่อนจะรีบวิ่งตามป้าร้านข้าวขาหมู กลับไปดูที่บ้านของตัวเอง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมินิมาร์ท และภาพที่ชาวบ้านแถวนั้น กำลังแหงนหน้าดู คือภาพศีรษะของอานงวางอยู่บนราวกั้นขอบระเบียง และมีเลือดสีแดงสดหยดลงมา ขณะที่ดวงตายังคงเบิกโพลง เหมือนตายโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว “ถูกผัวฆ่าตาย ไม่น่าเลยยัยนงเอ้ย!” “แล้วนี่ผัวมันหนีไปแล้วใช่ไหมเนี่ย?” “ฉันเองก็ไม่รู้ เพราะยังไม่มีใครกล้าเข้าไปดูในบ้าน” “หึย! ใครจะกล้า ตัวคงนอนอยู่ในนั้น ไม่อยากจะคิด” บทสนทนาดังแว่วเข้ามาในหูของหลานสาว ก่อนที่คนตัวเล็กจะเดินดิ่งเข้าไปดูภายในบ้าน โดยที่ไม่กลัวว่าภาพอันน่าสยดสยองจะติดตา เมื่อก้มมองที่พื้นชั้นล่าง สิ่งแรกที่เห็นคือหยดเลือดตามทาง ลากยาวไปที่บันได ขวัญจึงตามรอยเลือดไปเรื่อยๆ แล้วไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนของอานง เธอไม่จำเป็นต้องเปิดประตูก็เห็นร่างไร้หัว นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นข้างเตียง แถมยังมีรอยเท้าเปื้อนเลือด เดินไปที่ระเบียง “ขวัญ! ลงมาก่อน มันอันตราย” เสียงป้าร้านข้าวขาหมูตะโกนเรียก ขวัญจึงเดินถอยหลังออกมาจากห้องนั้น แล้วกลับลงไปรอตำรวจที่ชั้นล่าง ซึ่งความรู้สึกของเธอในตอนนี้ ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ เพราะมันหน่วงๆ มึนๆ และไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นจริง แต่…สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่า คือ เธอได้รับข่าวการสูญเสียตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นอาสาวที่ถูกฆาตกรรม รวมไปถึงอุบัติเหตุตายโหงของ ‘พี่จิม' เจ้าของรายการล่าท้าผี รวมไปถึงรายชื่อของผู้สมัคร ที่ถูกฆ่าตัดศีรษะทุกคน ยกเว้นคนที่ชื่อดนัย ไปผูกคอตายตรงระเบียง “ทุกคนที่ถูกฆ่า ล้วนไม่มีศีรษะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจตอกย้ำถึงสภาพศพ ขณะที่หญิงสาวทำได้แค่เพียงรับฟัง เพราะรู้สึกหูอื้อ ตาลาย จนทำอะไรไม่ถูก “ผะ ผู้กองครับ ทางเราได้รับแจ้งว่ามีพนักงานร้านมินิมาร์ทรถคว่ำตายยกคันเมื่อคืนนี้ครับ” เมื่อได้ยิน ขวัญจึงรีบหันไปมองด้วยความตกใจ แล้วหยิบโทรศัพท์ ทั้งที่มือทั้งสองข้างสั่นเทิ้ม ขึ้นมากดดูรายชื่อเบอร์โทรเข้า - โทรออกเมื่อคืนนี้ และสิ่งที่ทำให้ความสับสนเริ่มทวีคุณ คือ ไม่มีสายโทรเข้าจากรองหัวหน้า เลยแม้แต่สายเดียว มีเพียงแค่สายโทรออก จากที่พยายามติดต่อทั้งสองคน “น้องพอจะอธิบายได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมคนรอบตัวน้อง ถึงพากันตายแบบนี้?” เจ้าหน้าที่ตำรวจเค้นถามด้วยความสงสัย ทว่าเจ้าตัวกลับไม่มีคำตอบให้ เพราะยังไม่อยากเชื่อ ว่าเรื่องเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับบ้านร้างหลังนั้น และการตอบว่าเป็นฝีมือ ‘ผี’ คงฟังดูไม่ค่อยดีนัก หนึ่งอาทิตย์ต่อมา งานฌาปนกิจของ ‘อานง’ ถูกจัดขึ้นสามวันหลังจากเกิดเหตุฆาตกรรม โดยที่มีคนมาร่วมแสดงความเสียใจไม่ถึงสิบ และส่วนใหญ่จะเป็นญาติฝั่งพ่อ แต่พ่อไม่ได้มาร่วมงาน แม้กระทั่งวันเผาก็ยังไม่มีวี่แววของพี่ชายของคนที่จากไปแล้ว ส่วนเรื่องคดีความ ตอนนี้ยังตามจับฆาตกรไม่ได้ นี่ก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว แต่ยังไม่มีเบาะแสใดๆ ซึ่งเธอไม่อยากโทษตำรวจ ที่ละเลยการตามจับผู้ก่อเหตุ เพียงเพราะผู้ตายเป็นแค่คนธรรมดา แต่ถ้าปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นลอยนวลอยู่ในสังคม มันอาจจะกลับมาที่บ้านหลังนี้ เพื่อทำเรื่องไม่ดีกับเธอ แม้ว่าเธอจะไม่ได้หวาดกลัวแต่นั่นคือฆาตกร บรืนนนน~ “แม่หนู จอดหน้าบ้านหลังนี้ใช่ไหม?” “…..” “แม่หนู ได้ยินที่ลุงถามไหมเนี่ย?” “อ้อค่ะ จอดตรงนี้เลยก็ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบรับคุณลุงคนขับ ทั้งที่สติสัมปชัญญะยังกลับมาไม่ครบถ้วน หลังจากเกิดเหตุการณ์เลวร้าย และเกิดการสูญเสียมากมาย เธอต้องพยายามประคับประคองจิตใจที่บอบช้ำ เพื่อใช้ชีวิตต่อจากนี้ แม้จะต้องอยู่เพียงลำพังก็ตาม “โอ๊ะ!” ทันทีที่ก้าวขาลงจากรถโดยสาร เด็กหนุ่มหน้ามนก็รีบวิ่งสี่คูณร้อยมาหา ทว่าไม่ได้ออกมาจากข้างในตัวบ้าน แต่มาจากข้างนอก พร้อมกับถือข้าวเหนียวหมูปิ้ง กินสองไม้สองมือ “ผ่านไปตั้งหนึ่งอาทิตย์ นึกว่าพี่สาวจะไม่มาซะแล้ว” ปราบพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ขณะที่มือข้างหนึ่งกำถุงข้าวเหนียว ส่วนมืออีกข้างถือหมูปิ้งสองไม้ จนเกือบจะทิ่มหน้าเธอ ถ้าวัดในระดับความสูง เราสองคนส่วนสูงเท่ากัน “ตอนแรกก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมาที่นี่เหมือนกัน” “แต่สุดท้ายก็มา เพราะพี่คิดถึงพ่อหมอใช่ไหมล้า~” คำเอ่ยแซว ทำให้คิ้วเรียงสวยขมวดติดกัน หากคิดถึงในกรณีที่มีคนตาย ใช่ เธอคิดถึงเขา แต่ในกรณีอื่นคงไม่มีทาง “ผมแค่แซวเล่นนะ พี่สาวอย่าเพิ่งโกรธกัน” “อืม แล้วนี่พ่อหมออยู่ไหม?” “อยู่ๆ เวลานี้ท่านสวดมนต์อยู่บนห้องพระ” “อ่า แล้วเขา…เออ ท่านจะสะดวกคุยไหม?” “หลังจากหกโมงเย็น ขอเวลาคุยได้ครับ พี่สาวเข้าไปนั่งรอในบ้านก่อนนะ เดี๋ยวผมขึ้นไปแจ้งพ่อหมอให้” ปราบพูดพร้อมกับเดินนำเข้าไปในตัวบ้าน ซึ่งวันนี้น้องไม่ได้แต่งชุดขาว ผิดกับเธอที่พยายามหาเสื้อแขนยาวสีขาว และกางเกงขายาวสีเดียวกันมาสวมใส่ ขนาดรองเท้ายังเป็นผ้าใบสีบริสุทธิ์ เพื่อความสุภาพ ถึงจะยังไม่เชื่อแต่ก็มาด้วยใจศรัทธา ขืนทำตัวเหมือนรอบที่แล้ว อาจจะโดนไล่ตะเพิดอีก แอ๊ดดด~ ประตูไม้สักเปิดออก ก่อนที่เราทั้งคู่จะเดินเข้าไปนั่งรอ ซึ่งก่อนจะเข้า ได้ทำความสะอาดมือและเท้าเรียบร้อย “ผมได้ยินข่าวจากละแวกนั้น ผมเสียใจด้วยนะครับ” ปราบใช้น้ำเสียงแผ่วลง เพื่อแสดงความเสียใจต่อการสูญเสีย สีหน้าของอีกฝ่าย ค่อนข้างจริงใจ เธอจึงพยักหน้ารับ “แล้วตอนนี้คนร้ายถูกจับหรือยังครับ?” ใบหน้าหวานส่ายหัวเล็กน้อย แทนคำตอบ “อ้าว แบบนี้จะเสี่ยงอันตรายหรือเปล่าครับ?” “หมายถึง?” “ผมหมายถึงพี่ พี่ยังอยู่ที่บ้านหลังนั้นไม่ใช่เหรอ?” “อืม” “งั้นพี่สาวเก็บกระเป๋า แล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ดีกว่าครับ” “ฮะ?” ขวัญถึงกับอุทาน เพราะไม่คิดว่าจะถูกชักชวนแบบนี้ กรึบ! ฝีเท้าแน่นหนัก เหยียบลงบนพื้นไม้กระดาน ดึงดูดสายตาคู่สวย ให้หันกลับไปมองร่างองอาจ ที่ยืนอยู่หน้าธรณีประตู ส่วนสูงและความตัวใหญ่ ทำให้แสงสว่างจากด้านนอก ถูกลดทอนจนเหลือเพียงเงาดำ ของบุคคลที่สาม ที่เพิ่งเข้ามา “พี่สาว” ปราบเรียกเสียงกระซิบ พลางยกมือไหว้ให้เธอทำตาม “ถ้าไม่ศรัทธา อย่าไหว้ให้เสียมือ” ขณะที่มือเล็กกำลังจะยกขึ้นพนม เสียงดุดันก็พูดขัด ก่อนที่เจ้าตัวจะย่างกรายไปนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ไม้สักตัวเดิม “แต่ครั้งนี้พี่สาวมาด้วยใจศรัทธานะครับพ่อหมอ” ปราบพูดแก้ตัว ก่อนจะส่งซิกทางสายตาให้เธอคลานเข่าเข้าไปนั่งใกล้ๆ พ่อหมอ ตอนแรกก็ชั่งใจ ว่านี่เป็นสิ่งที่ควรทำหรือเปล่า ทว่าพอหันไปเห็นสายตาจ้องเขม็ง จึงรีบทำตาม แต่พอเข้าไปแนบชิด จนผิวกายสัมผัสกัน อีกฝ่ายกลับถลึงตามองอย่างคาดโทษ เธอเลยถอยออกห่าง เพื่อเว้นระยะ “เอ็งนี่มันเป็นผู้หญิงแบบไหนกัน” หญิงสาวเลิกคิ้ว แล้วหันกลับไปมองเด็กหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่ด้านหลัง เพราะไม่เข้าใจ ว่านี่เป็นคำด่าหรือแค่พูดเฉยๆ “ไม่ต้องหันไปมองใคร มีอะไรก็ว่ามา” โทนเสียงทุ้มกังวาน ดึงเข้าประเด็นหลัก “อ่า…” ขวัญหันกลับมา แล้วเงยหน้ามองอีกฝ่าย “มัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นั่น เอ็งจะพูดรึไม่พูด” นัยน์ตาสีน้ำตาล กระพริบถี่รัวด้วยความประหม่า มือทั้งสองข้างเริ่มสั่นเทิ้ม จากผลข้างเคียง ของการสูญเสียครั้งใหญ่ ทำให้บุคลิกภายนอก ดูเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “พี่สาว เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” ปราบที่นั่งอยู่ด้านหลัง รีบคลานเข่ามาดู พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทว่ากลับมีไม้เรียวลงยันต์ ขนาดความยาวครึ่งเมตรยื่นมาสัมผัสอก ก่อนที่น้องจะรีบถอยกรู่กลับไปนั่งที่ “เอ็งออกไปก่อน” “ครับ?” “ข้าไม่ชอบพูดซ้ำ” “เข้าใจแล้วครับ~” ตอบรับด้วยเสียงลากยาว ทั้งที่อีกฝ่ายใช้โทนเสียงดุ แต่ดูเหมือนว่าน้องจะไม่ได้เกรงกลัว แถมยังอมยิ้ม ก่อนจะรีบคลานออกจากห้อง มิหนำซ้ำ ยังปิดประตูจนแสงสว่างหายไป “ย้ายมานั่งตรงหน้า” พ่อหมอเริ่มออกคำสั่ง “อ่า นี่ก็ตรงหน้านะคะ” “ตรงหน้าไม่ใช่ด้านข้าง!” พอโดนเอ็ดเสียงดุ คนตัวเล็กจึงรีบย้ายร่างไปนั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าพ่อหมอ พร้อมยกมือพนมไหว้ โดยอัตโนมัติ “ก่อนหน้านี้ เอ็งทำให้ข้าไม่พอใจ” “…..” เงียบฟัง พลางเม้มริมฝีปากอวบอิ่ม ขณะที่สายตากดมองไม้เรียว ที่ยังคงอยู่ในมือพ่อหมอเหมือนอยากจะฟาดเธอ “ข้าเตือนแล้วใช่ไหม ว่าพวกเอ็งต้องเข้าร่วมพิธีกรรม” ขวัญพยักหน้ารับหงึกๆ เลยถูกฟาดแขนซ้ายไปหนึ่งที เพียะ! “ตอบผู้ใหญ่อย่าพยักหน้างึกงัก มันไม่มีสัมมาคารวะ” “ขะ ขอโทษค่ะ” จากที่ไม่เคยขอโทษใครง่ายๆ เพราะเป็นคนหัวแข็ง ที่พึ่งพาตัวเองมาตั้งแต่เกิด หากไม่ผิดจริง จะไม่ยอมปริปากขอโทษ แต่ในกรณีนี้กลับพูดออกไป เพราะกลัวว่าจะโดนฟาดซ้ำ “เอาเถอะ พูดพร่ำไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะยังไงเสีย เอ็งก็ยังไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง งั้นข้าจะถามตามตรง ว่าเอ็งกลับมาที่นี่เพื่ออะไร เพียงเพราะอยากให้ข้าช่วยทำพิธีกรรม รึแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กับคนรอบข้างเอ็งกันแน่” “ขวัญ…อยากรู้อย่างหลังค่ะ” “แล้วไม่คิดจะทำพิธีกรรมงั้นรึ?” “ขวัญ…ไม่มีกำลังทรัพย์แล้วค่ะ” “นี่เอ็งคิดว่าข้าเห็นแก่ทรัพย์รึไง?” “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ หนู เออ ขวัญแค่เกรงใจพ่อหมอ” “เกรงใจทำไม?” “ไม่รู้ว่าเกรงใจทำไม แต่ความรู้สึกบอกอย่างนั้นค่ะ” “งั้นไม่ต้องเกรงใจ ต้องการสิ่งไหน ให้พูดมาตามตรง” ขวัญกระพริบตาถี่ระรัวอีกครั้ง แล้วแหงนดวงหน้าหวาน ขึ้นสบสายตาคมกริบ เสี้ยววินาที มีบางสิ่งดลบันดาลใจ ให้เปลี่ยนท่านั่งจากพับเพียบ เป็นนั่งคุกเข่าตัวตรง ซึ่งการกระทำนี้ ทำให้พ่อหมอถึงกับชะงักเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถอยหนี “เอ็งจะทำอะไร?” ถามเสียงเข้มขณะที่ยังคงมองตอบอย่างไม่ละสายตา “ขวัญไม่กล้าทำอะไรพ่อหมอหรอกค่ะ” “แล้วการที่เอ็งมานั่งจ้องหน้าข้า มันใช่เรื่องรึไง?” “ขอโทษค่ะ ขวัญแค่รู้สึกแปลกๆ กับพ่อหมอ” “รู้สึกแปลกๆ ยังไง ไหนเล่า” ต่อบทสนทนา โดยที่ดวงหน้า ห่างกันไม่ถึงยี่สิบเซน “ถ้าเล่าไปคงดูไม่ดี งั้นขวัญขอไม่เล่าดีกว่าค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธการเล่า ก่อนจะกลับไปนั่งในท่าเดิม “ได้ ถ้าเอ็งไม่เล่า ข้าก็จะไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนรอบข้างเอ็ง” พ่อหมอเอาเรื่องนี้มาต่อรอง พร้อมกับยกขาขวา ชันเข่าข้างเดียวให้ดูทรงอำนาจ ราวกับว่าตนเองอยู่เหนือกว่า “ไม่บอกก็ไม่เป็นไรค่ะ งั้นขวัญขอตัวกลับก่อนนะคะ” เมื่อเธอไม่ยอมโอนอ่อน พ่อหมอจึงถลึงตาใส่ในทันที “หยุดเดี๋ยวนี้!” ออกคำสั่งเสียงดุดัน พร้อมกับง้างไม้เรียวเตรียมฟาด “ขืนก้าวขาออกไปจากห้องนี้แม้แต่ก้าวเดียว ข้าจะไม่ฟังคำแก้ตัวอีกต่อไป แล้วเอ็งก็ไม่ต้องกลับมาให้ข้าเห็นหน้า!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD