#1
กรุงเทพมหานคร ปี๊ด ปี๊ด บรื้นนนนน เสียงยวดยานบนท้องถนนที่แออัดหนาแน่นไปด้วยยานยนตร์ ชั้นบรรยากาศอบอวลไปด้วยหมอกควันมลพิษ เสียงพูดคุยของผู้คนที่เดินบนทางเท้า สอดประสานไปกับเสียงยานยนตร์ที่จอดนิ่งตามสัญญาณไฟจราจร ทำให้คนที่ได้ยินไม่อาจจับใจความอะไรได้เลย
“คุณฟงครับ นั่นคุณขวัญครับ” ดีแลนที่จดจ่อสายตาอยู่บนหน้าจอไอแพดที่เบาะหลังรถ ซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนหลายๆ คันที่ต้องรอสัญญาณไฟจราจร เขาจำต้องละสายตาและมองผ่านกระจกหน้าต่างข้างกาย
หญิงสาวในชุดยูนีฟอร์มนักเรียน เธอเป็นหนึ่งในกลุ่มนักเรียนหลายคนที่เดินคุยหัวเราะต่อกระซิกกันตามประสาวัย ดีแลนทอดสายตามองไปรอบๆ ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนของสถาบันศึกษาระดับอุดมศึกษา
“ให้ผมไป...”
“ไม่ต้อง” ดีแลนเข้าใจทันทีว่าคนของเขากำลังจะไปพาขวัญกลับบ้านพร้อมกัน แต่เขาคิดว่าควรให้เวลากับเธอหน่อย เพราะเหลือเวลาอีกหนึ่งอาทิตย์เท่านั้น...ควรให้เวลาช่วงสุดท้ายกับเธอหน่อย
รถยังคงจอดนิ่ง “ขวัญ...ขวัญ” เสียงตะโกนจากด้านนอกที่ใกล้รถของเขามาก จนดีแลนเองก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อที่คุ้นเคย
หนุ่มร่างสูงโปร่งตามวัยในชุดยูนีฟอร์มจากสถาบันเดียวกัน เดินกึ่งวิ่งมาจนทัน ที่จะมาเดินเคียงข้างขวัญชนก เมื่อมองภาพนั้นแล้วดีแลนนิ่ง ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาให้ใครคาดเดาได้
“ข้อสอบเป็นไง” เมฆ เขาเป็นเพื่อนนักเรียนของเธอเอง เพื่อนที่ทำให้เธอหน้าแดง ใจเต้นแรง เมฆเป็นที่หมายปองของนักเรียนหญิงมากมายรวมถึงเธอด้วย
“ก็พอได้” เมฆยิ้มและพยักหน้า เขาก็รู้สึกเช่นเดียวกับขวัญชนก ว่าข้อสอบครั้งนี้ไม่ยากอย่างที่คิด
“พอได้อะไรกันเล่า!!!” แต่เสียงของหญิงสาวอีกคนกลับโต้แย้งขึ้นมา
“ส้ม นี่เธอทำไม่ได้เหรอ” ขวัญชนกหันไปถามเพื่อนสาวต่างวัย
“ฉันไม่ได้เก่งอย่างพวกเธอสองคนนี่! ท่านคิงส์และท่านควีน ข้าพเจ้าขอคารวะ” ท่าทางประกอบคำพูดของส้ม เรียกเสียงเฮฮาหัวเราะของเพื่อนๆ สร้างความครื้นเครงให้กับพวกเขาได้กันอย่างสนุกสนาน และบทสนทนาต่างๆ มากมายของเหล่านักเรียนกลุ่มนั้นยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง แต่พวกเขาพูดอะไรกันต่อนั้นดีแลนไม่อาจล่วงรู้ได้ เพราะสัญญาณไฟได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวและรถที่เขานั่งอยู่ก็เคลื่อนไปข้างหน้าค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ
“มีอะไรเหรอ” เมฆเอ่ยเมื่อจู่ๆ ขวัญชนกก็หยุดเดินและมองย้อนกลับหลัง “ไม่มีอะไร” ขวัญตอบกลับเสียงบางเบาและมอบรอยยิ้มสว่างไสวตามวัยสดใสชวนน่ามองยิ่งนักสำหรับผู้ที่ได้พบเห็น
“ทำไมวันนี้ถึงกลับผิดเวลามากนักละคะ” ป้าภาเอ่ยกับขวัญชนกและรับกระเป๋าเป้มา “ไปค่ะ ให้คุณฟงรอนานแบบนี้ไม่ดีนะคะ”
“ขวัญไม่หิว”
“ไม่ได้นะคะคุณขวัญ...ไปเถอะคะไปล้างไม้ล้างมือเร็วๆ เข้า ไม่หิวก็ต้องไปค่ะ” คำพูดของป้าภาทำให้ใบหน้าหวานคมบู้บี้ตามเคย เธอก็ทำได้แค่นั้น และต้องเร่งฝีเท้าเดินเข้าห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดเพื่อล้างไม้ล้างมือ
“คุณฟง” ขวัญชนกเอ่ยขึ้นเหมือนกับทุกครั้ง เป็นแบบนี้มาสามปีแล้ว เขาคนที่นั่งหัวโต๊ะ คือ ดีแลน ฟง สามีตามกฎหมายมาได้หลายวันแล้วของเธอเอง ย้ำนะคะว่าตามกฎหมายเท่านั้น และสรรพนามคำเอ่ยนั่นก็เขาสั่งให้เธอเอ่ยเรียกเขาแบบนั้นมาสามปีแล้ว และเธอต้องเป็นฝ่ายทักทายเขาก่อนด้วยทุกครั้ง เหมือนตอนนี้ไงเล่า
“ขวัญ นั่งสิ” ขวัญนั่งลงที่ประจำของตนด้านขวาของเขา และบนโต๊ะก็มีเพียงการกิน เสียงช้อนกระทบจานบ้าง ไม่มีการตักอาหารให้กัน ไม่มีการพูดคุย สามปีที่อยู่ด้วยกันในบ้านหลังนี้ เธอกับเขาแทบจะนับคำพูดคุยกันได้เลย คำที่เอ่ยมากที่สุดก็คือ คุณฟง และคำว่า ขวัญ
“ทำไมยังไม่ไปทำพาสปอร์ต” เพล้ง! ช้อนในมือหลุดล่วงกระทบจาน
“ขวัญต้องอ่านหนังสือสอบ”
“ได้ พรุ่งนี้จะให้คนไปรับ หลังสอบเสร็จ” ดีแลนไม่ต่อความยาวสาวความยืดและไม่แคร์ท่าทางต่อต้านของเธอ
“ขวัญอิ่มแล้วค่ะ” ขวัญวางช้อนและลุกจากโต๊ะอาหารไปทันที ดีแลนได้แต่มองตามแผ่นหลังที่หายลับไปอย่างรวดเร็ว
ฮืออออ ฮือออ “พ่อนะพ่อ หายไปไหนนะ” ขวัญวิ่งออกมานั่งที่ศาลาเล็กๆ ของสวนรอบบ้าน และย้อนคิดเมื่อสามปีก่อนสาเหตุที่เธอต้องมาอยู่กับศิลาอย่างเขา
ตอนนั้นเธออายุสิบห้าปีเท่านั้น ซึ่งเธอไม่เข้าใจเลยการที่แม่เสียไป พ่อคนที่เธอเคยรู้จักมาตลอดสิบห้าปีกลายเป็นคนอื่นที่เธอไม่รู้จักไปเสียได้
พ่อที่รักครอบครัวจู่ๆ ก็เปลี่ยนไป เพราะเมื่อแม่เสียพ่อของฉันกลับไม่เหมือนพ่อของคนทั่วๆ ไป เช่นตั้งหน้าตั้งตาทำงานหาเลี้ยงครอบครัวต่อไปนั่นก็คือฉันที่เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว หรือ หาแม่เลี้ยงมาให้ก็ได้ สำหรับพ่อหม้ายเมียตายก็น่าจะต้องใช้ชีวิตแบบนี้
แต่พ่อฉัน ไม่ใช่! คนที่ฉันเห็นมาตั้งแต่เกิด ฉันคิดว่าฉันรู้จักพ่อฉันดี แต่แล้วหลังจากที่แม่เสียไปไม่นาน ในวันหนึ่งที่ฉันกลับจากโรงเรียนเจอพ่อนั่งรอพร้อมกระเป๋าหนึ่งใบนั่นมันก็คือกระเป๋าของฉันเอง แล้วพ่อก็ลากฉันขึ้นรถเดินทางกว่าสามชั่วโมง จนมาถึงบ้านหลังใหญ่ในกรุงเทพ
กริ่งงงง พ่อกดกริ่งขณะที่พวกเรารออยู่ ฉันอยู่ในรถแต่พ่อยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ พวกคุณคงกำลังสงสัยใช่มั้ยเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ แน่นอนว่าฉันก็ทั้งสงสัยและสับสน ครึ่งชั่วโมงแรกของการเดินทางฉันพยายามถามพ่อตลอดว่าจะไปไหนแล้วพ่อเป็นอะไร นอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศในรถแล้ว ฉันก็ได้ยินแค่เสียงลมหายใจของพ่อเท่านั้น สุดท้ายฉันจำต้องยกธงขาวและนั่งเงียบๆ
เสียงกริ่งดังอยู่ไม่นาน บ้านหลังใหญ่ก็มีคนออกมาเปิดประตูรั้วเป็นหญิงวัยสี่สิบต้นๆ คาดคะเนจากความสามารถทางสายตาของฉันเอง ป้าคนนั้นเปิดประตูเล็ก พ่อฉันพูดอะไรกับป้าคนนั้นอยู่สองสามนาที เธอก็กลับเข้าไป ไม่นานเกินรอก็มีชายร่างสูงเดินออกมา เขายกมือไหว้พ่อด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ บ่งบอกว่าไม่ใช่คนไทยแต่รู้วัฒนธรรมไทย
และพ่อก็พูดอะไรกับเขาก็ไม่รู้ ฉันสังเกตสีหน้าของเขาค่อยๆ เคร่งขรึมทีละน้อย และเขาก็พูดอะไรกับพ่ออีก ฉันก็ไม่รู้อีกเพราะไม่ได้ยิน อ่านปากก็ไม่เป็น แต่พ่อเดินกลับมาที่รถเปิดกระโปรงหลัง !! ลากกระเป๋าใบน้อยของฉันลงจากรถ ผู้ชายร่างสูงคนนั้นเดินตามพ่อสีหน้าเขาดูร้อนใจมาก
ปึก! และประตูฝั่งฉันก็ถูกเปิด ผู้ชายร่างสูงคนนั้นนิ่งไปทันที เมื่อเขาจ้องฉันซึ่งฉันนั่งนิ่งไม่ยอมขยับและจ้องเขากลับเช่นกัน แต่ฉันก็นั่งอยู่ได้ไม่นานพ่อก็ปลดเข็มขัดนิรภัยของฉันและดึงกึ่งกระชากฉันจนฉันกระเด็นออกมาจากรถล้มลงบนพื้นดินต่อหน้าต่อตาคนทั้งสาม
“พ่อ!” เสียงร้องเรียกของฉันด้วยอารามตกใจและไม่เข้าใจด้วย พ่อไม่เคยใช้ความรุนแรงกับฉันมาก่อน แต่คำพูดต่อมาของพ่อทำให้ฉันช็อคหนักยิ่งกว่าการถูกกระชากเมื่อครู่ ฉันเหมือนได้ตายและเกิดใหม่ในเวลาเพียงสองวินาที
“แกไม่ใช่ลูกฉัน!” และพ่อก็ขึ้นรถขับจากไปอย่างรวดเร็ว เอาละคะเรื่องราวต่อจากนั้นก็ค่อยๆ ติดตามกันนะคะ แต่เอาเป็นว่าจากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านมาสามปี ผู้ชายร่างสูงคนนั้นกลายเป็นสามีทางกฎหมายของฉันไปแล้วเมื่อสามวันก่อน
และพ่อไม่เคยติดต่อมาหรือแอบมาดูความเป็นอยู่ของฉัน ไม่เคยมีเลย ทำไมฉันถึงรู้นะเหรอ ก็บ้านหลังนี้มีกล้องวงจรปิดนะสิ ตอนแรกฉันก็มาเปิดดูบ่อยๆ เผื่อพ่อแอบมาดูด้วยความรักและเป็นห่วงลูกสาวที่พ่อประกาศลั่นว่าไม่ใช่ลูก เชื่อก็บ้าแล้ว หน้าตาฉันเรียกว่าสำเนาถูกต้องมาจากพ่อเลย
ทำไมนะ...ทำไม ยาที่ลืมเขย่าขวดก่อนกินฤทธิ์ของมันถึงอยู่ได้นานขนาดนี้ “พ่อ...อยู่ไหน...รู้บ้างมั้ยว่าหนูกำลังจะถูกลักพาตัวไปฮ่องกงแล้วนะ!”
พรวดดดด... ดีแลน แทบสำลักไวน์แดงที่กำลังกลืนลงคอ เมื่อจู่ๆได้ยินคำคร่ำครวญของภรรยาตามกฎหมาย ลั่นสวน