หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วทั้งสองก็ออกไปเดินเที่ยวตลาดด้วยกัน เป็นเวลาเกือบเดือนแล้วที่ทั้งคู่ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่ในเมือง ไม่ได้รับรู้เรื่องราวใดๆที่หมู่บ้านเผิงไหลอีก คาดว่าอีกไม่นานคงถึงงานแต่งของพี่ใหญ่หยวนซ่งแล้ว และพวกเธอทั้งสองไม่ไปร่วมงานก็คงจะดูไม่ดีนัก หลิงเฟยจึงเลือกเนื้อผ้าชุดใหม่ให้กับตนเองและสามีเพื่อสวมใส่ไปในงานนี้โดยเฉพาะ
" สามี คุณมาลองเสื้อตัวนี้หน่อยสิคะ " หลิงเฟยเอ่ยเรียกสามีที่กำลังเดินดูเสื้อผ้าบริเวณนั้นอยู่
" สีมันสดใสไปหน่อยไหมครับภรรยา "
" ไม่หรอกค่ะเหมาะที่จะใส่ไปร่วมงานมงคล " เธอเอ่ยบอกหลังจากที่เห็นเขาสวมใส่เสื้อตัวนี้ที่ตัดเย็บจากผ้าฝ้ายอย่างดี ปักด้วยลายต้นไผ่สีเงิน
" แล้วคุณละครับ เลือกได้หรือยัง " เขาเอ่ยถามเพราะไม่เห็นว่าเธอเลือกชุดของตนเองแล้งหรือยัง
" ได้แล้วล่ะค่ะ ของฉันเป็นกี่เพ้าสีเขียวออ่นตัวนั้นไงคะ " เธอเอ่ยบอกกับสามีพลางชี้ให้ดูชุดกี่เพ้าที่ตนเองเลือกเอาไว้แล้ว มันเป็นสีเขียวออ่นๆปักดอกไม้เล็กๆตรงช่วงอกดูสวยหวานถูกใจเธอมากทีเดียว
" สวยครับ คุณใส่อะไรก็สวย แต่ถ้าไม่ใส่จะสวยมาก " เขาเอ่ยกระซิบข้างหูให้ได้ยินกันแค่สองคน
' เพี๊ยะ '
" อย่ามาทะลึ่งนะคะ " เธอเอ่ยบอกเขาแต่ใบหน้างามนั้นแดงไปถึงหูแล้ว ไม่เอ่ยเปล่าเธอแจกค้อนวงใหญ่ไปให้เขาอีกด้วย ก่อนจะไปจ่ายเงินแล้วพากันกลับบ้านเพราะตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว
" เฮ้อ ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้วนะคะ "
" ผมกำลังว่าจะชวนคุณไปซื้อนาฬิกาสักเรือนอยู่พอดี " เพราะคำพูดของเขาที่ทำให้หลิงเฟยนึกขึ้นได้ว่าในห้างต้องมีนาฬิกาขาย เมื่อกลับถึงบ้านเธอจึงเข้าไปค้นหานาฬิกายี่ห้อหนึ่งออกมาสองเรือน ของผู้ชายนั้นเป็นสายหนังสีดำหน้าปัดทรงกลมสีเงินเรียบๆขนาดกลาง ส่วนของผู้หญิงเป็นสายหนังสีดำ หน้าปัดขนาดเล็กสีเงินกันน้ำได้อีกด้วย ทั้งคู่จึงใส่นาฬิกาคู่กัน
" สวยดีนะครับ " หยวนเซียวมองนาฬิกาบนข้อมืออย่างชอบใจ เขารู้สึกว่าตนเองหล่อเหลาขึ้นมาเล็กน้อย
" แน่นอนค่ะถ้าเทียบราคากับยุคนี้ก็คงราวๆ 2-300 หยวนมั้งคะ "หลิงเฟยตอบอย่างไม่ใสใจอะไร แต่ไม่ใช่กับชายหนุ่มตรงหน้าของเธอ เขากำลังจะถอดนาฬิกาออก แต่ถูกสายตาหวานดุเข้าจึงหยุดชะงักหารถอดไป
" คุณจะทำอะไรคะ "
" คือ "
" ทำใจให้ชินเถอะค่ะ ต่อไปคุณอาจจะได้ใส่เรือนละ หมื่นหรือแสนหยวนก็ได้ "
" ห๊าาาา มีของแพงขนาดนั้นด้วยหรอครับ "
" แน่นอนว่ามีค่ะ บางเรือนราคาหลักล้านด้วยซ้ำไปค่ะในโลกที่ฉันจากมา "
" โลกนั้นคงเต็มไปด้วยคนร่ำรวยสินะครับ "
" อืม ก็ไม่ทั้งหมดค่ะ คนรวยก็รวยจนล้นฟ้า ส่วนคนจนก็จนแบบที่ว่าแทบไม่มีอะไรกิน บางคนต้องพึ่งพาเศษอาหารในถังขยะที่คนกินแล้วทิ้งมาประทังชีวิตตนเองเลยล่ะค่ะ "
" ผมคิดว่าผมยากจนแล้วแต่ไม่ถึงกับต้องหาเศษอาหารในถังขยะกินสักครั้ง "
" ฉันถึงบอกยังไงล่ะคะ ว่าคุณไม่ได้ลำบากแค่ไม่มีต้นทุนเท่านั้นเองค่ะ แล้วก็การที่คุณยอมพวกเขามากเกินไปจึงเป็นเหตุให้ตนเองลำบากต่างหากละคะ "
" ครับ ต่อไปผมจะไม่ยอมใครนอกจากคุณเท่านั้น "
" ดีค่ะ อย่ายอมให้คนอื่นเอาเปรียบมากจนเกินไป ให้พวกเขามีความพยายามด้วยตนเองให้มากๆเถอะค่ะ ไม่ใช่คอยแต่จะพึ่งพาคนอื่นอยู่เรื่อยไป คนแบบนี้คือพวกเห็นแก่ตัวค่ะ "
" ครับภรรยาผมจะจำไว้ให้ขึ้นใจตามที่ภรรยาสอนสั่งเลย "
" อย่าใจออ่นให้ฉันเห็นก็แล้วกันค่ะ ฉันอาจจะโกรธจนไล่คุณออกไปนอนที่แปลงผักก็ได้ " เธอเอ่ยบอกกับเขาด้วยท่าทางที่ไม่จริงจังนัก แค่ตั้งใจจะแกล้งขู่เขาเล่นๆเท่านั้น
" สัญญาด้วยเกียรติของผมหยวนเซียวคนนี้เลยครับ "
" ฮ่าๆๆๆ ค่ะๆ ฉันจะเชื่อก็แล้วกันค่ะ " เธอเอ่ยบอกกับเขาพลางส่ายหน้าให้กับท่าทางขี้เล่นของเขา
เช้ามืดของวันที่19 ตุลาคมมาถึงแล้ว หลิงเฟยกับสามีเตรียมตัวไปเปิดร้านขายต็อกบกกีในวันแรก ทั้งคู่ออกจากบ้านตั้งแต่ตี3 เมื่อถึงร้านก็จัดการจัดหน้าร้าน ส่วนหลิงเฟยนั้นตั้งกะทะเพื่อเตรียมปรุงต๊อกบกกีเอาไว้รอขาย ส่วนอีกเตาก็ตั้งกะทะใส่น้ำมันจนครึ่งกะทะเพื่อทอดไก่ให้กรอบเหลือง พร้อมที่จะขาย
ฟ้าเริ่มสว่างมากแล้ว ผู้คนต่างเริ่มออกจากบ้านเพื่อเตรียมซื้ออาหารก่อนที่จะไปทำงาน หลายคนได้กลิ่นหอมของต๊อกบกกีก็พากันแวะเวียนมาดู แต่ไม่มีใครกล้าสั่งซื้อนั่นเป็นอาหารที่แปลกใหม่ ไม่มีใครเคยได้กินมาก่อน แน่นอนว่าหลิงเฟยมีทางออกของเรื่องนี้ไว้แล้ว
เธอตักต็อกบกกีใส่ถ้วยแล้วส่งให้กับคนที่มายืนมองหน้าร้าน เพื่อให้ได้ชิมรสชาติก่อนจะตัดสินใจซื้อ
" รสชาติเผ็ด หวาน อืม ไม่เลวเลยนะ ขายยังไงจ้ะหนู " หญิงชราคนแรกที่ชิมรสชาติแต่งกายดูดีเอ่ยถาม
" ฉันขายถ้วยละ 3 หยวนค่ะคุณป้า "
" ฉันอยากจะซื้อกลับไปกินที่บ้านนะสิ "
# ค่าเงินสมมุติ 50 เหมา เท่ากับ 1 หยวนค่ะ [เฉพาะในเรื่องนะคะ เทียบง่ายๆคือ ไข่ไก่ฟองละ 3 เหมาค่ะ ]