" น้องชาย กำไลนี่เธอขายยังไง "
" ผมขอวงละ 1 หยวนก็พอครับ หรือว่าแลกเป็นอย่างอื่นก็ได้ครับ "
" อืม ถ้างั้นพี่แลกกับอาหารล่ะ เธอตกลงไหม "
" ตกลงครับ " เด็กชายรีบเอ่ยบอกด้วยความดีใจ ถึงยังไงเขากับน้องสาวก็ต้องการอาหารมากกว่าอยู่แล้ว
" งั้นตามพี่สาวไปที่ร้านดีไหม "
" ครับ " หลิงเฟยเดินนำเด็กชายมาที่ร้านต๊อกบกกีของตนเองจากนั้นก็พาเข้าไปในครัว เธอตักข้าวสาร แป้ง เนื้อหมูให้เด็กชายอย่างละ 1ชั่ง เพื่อแลกกับกำไล ทั้งที่จริงเธอไม่ได้ต้องการกำไลนั่นสักนิด แค่คิดอยากจะช่วยก็เท่านั้น
" ขอบคุณครับพี่สาว ขอบคุณ "
" ไม่เป็นไรจ้ะ ว่าแต่ทำไมเธอถึงเข้าไปขายของในนั้นล่ะพ่อแม่ของเธอไปไหน " เด็กชายมีสีหน้าเศร้าหมองจนหลิงเฟยอยากจะตีปากตนเองที่ถามแบบนั้น
" พ่อตายไปหลายปีแล้วครับ ส่วนแม่ ผมไม่รู้ครับ "
" พี่ขอโทษที่ถามนะ แล้วเธออยู่ที่ไหน อยู่กับใคร "
" ผมอยู่ที่บ้านเก่าของพ่อกับน้องสาวครับ "
" พวกเธออายุเท่าไหร่ "
" ผมอายุ 12 ปีครับ น้องสาวอายุ 9ปี "
" เอาล่ะวันนี้เธอกลับบ้านไปเถอะจ้ะน้องสาวคงรอแย่แล้ว อะนี่เอาไปฝากน้องสาวนะ " หลิงเฟยห่อไก่ทอด2ชิ้นให้เขาไปด้วย แต่เด็กชายมีท่าทีเกรงใจอยู่มากจึงไม่กล้าที่จะรับไก่ทอดกลับไป หลิงเฟยจึงต้องมัดใส่มือของเขาแทน เด็กชายเงยหน้ามองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำขอบคุณ
" ขอบคุณครับพี่สาว " เด็กชายแบกตะกร้าออกจากร้านไป เขามุ่งหน้ากลับไปบ้านหาน้องสาวที่รออยู่ ....
ทางบ้านเดิมของหยวนเซียวนั้น ตอนนี้ทั้งพี่ใหญ่และพ่อกำลังช่วยกันตัดฟืนเข้ามาเก็บเอาไว้ในบ้าน เนื่องจากอีกไม่นานก็จะถึงฤดูหนาวแล้ว และไม่แน่ว่าหิมะจะตกหนักหรือเปล่า จึงต้องเตรียมฟืนให้มากขึ้น เพราะในช่วงที่อากาศหนาวพวกเขาต้องนอนอยู่บนเตียงเตาเพื่อให้ความอุ่นกับร่างกาย
ส่วนงานบ้านในตอนนี้สะใภ้ใหญ่ที่เพิ่งแต่งเข้ามาเมื่อสัปดาห์ก่อนอย่าง ตู้เสี่ยวชิง เป็นคนทำหน้าที่นี้ทั้งหมด
" เสี่ยวอิงแกทำแบบนี้อีกแล้วหรอ " หยวนซ่งจงใจเอ่ยถามเสียงดัง
" ฉัน ... ฉัน ฉันแค่หยิบมาใช้แค่เล็กน้อยเท่านั้น " เสี่ยวอิงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เธอกลัวจะถูกพี่ใหญ่ตี
" ถ้าเธอยังทำแบบนี้อีก อย่าหาว่าพี่ใจร้ายก็แล้วกัน " หยวนซ่งเอ่ยบอกอย่างหงุดหงิดใจที่รู้ว่าน้องสาวยังคงไม่เลิกลักขโมยของในบ้าน ซึ่งไม่ใช่ของหล่อน
" เสียงดังอะไรกันเจ้าใหญ่ " พ่อหยวนเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก เขาเพิ่งกลับลงมาจากการไปตัดฟืนบนเขาและเหนื่อยล้าไม่น้อย
" เสี่ยวอิงขโมยเงินของเสี่ยวชิงไปนะครับพ่อ " สิ้นคำตอบของหยวนซ่ง เสี่ยวอิงก็ถูกสายตาดุของพ่อตวัดตามองทันที
" แกนิสัยเสียแบบนี้ต่อไปจะไม่มีใครนับญาติกับแกอีก ตอนนี้แกเหลือพี่น้องแค่คนในบ้านนี้แล้ว " หยวนชางเอ่ยเสียงรอดไรฟันกับลูกสาวคนเดียวของตนเอง ไม่รู้ว่าภรรยาสอนลูกยังไงถึงได้มีนิสัยเช่นนี้ ยิ่งคิดก็ยังหงุดหงิดใจ เสี่ยวอิงไม่สบอารมณ์ที่ถูกพ่อต่อว่าหล่อนกลับเข้าห้องตนเองแล้วเก็บตัวเงียบอยู่ในนั้นไม่ออกมา แม้ว่าแม่ของหล่อนจะเรียกกี่ครั้งก็ตาม
" ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ ถ้ายังไม่เลิกทำตัวอย่างนั้นต่อไปก็คงไม่มีบ้านไหนกล้าแต่งกับเธออีก " พ่อหยวนเอ่ยบอก ส่วนแม่หยวนนั้นเมื่อถูกสามีจ้องมองด้วยดวงตาที่เฉยชาในใจก็รู้สึกปวดหนึบขึ้นมา แต่ไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกได้แต่นั่งกินข้าวเงียบๆ
ตอนนี้เป็นเวลาบ่าย3 โมงแล้วต็อกบกกีก็ขายหมดเกลี้ยงแล้ว รวมทั้งไก่ทอดด้วย ทั้งสองจึงช่วยกันเก็บร้านและทำความสะอาดจนเสร็จสิ้น จากนั้นหลิงเฟยจึงมาเขียนแผ่นป้ายเพื่อรับสมัครลูกจ้างให้มาขายแทน คำนวนจากกำไรที่ได้ต่อวันแล้ว กำไรอยู่ที่ 300 หยวนต่อวัน จ้างคนงานเดือนละ 30 หยวนได้สบาย เพราะมีหน้าที่ขายและทอดไก่งานสบายแค่นี้เอง ส่วนเธอกับสามีจะเข้าไปขายสินค้าในตลาดมืดแทน และพรุ่งนี้เธอกับสามีจะนำเหล้าไปส่งให้กับชายคนนั้นด้วย
ป้ายรับคนงานถูกติดเอาไว้ที่หน้าร้านแล้ว ทั้งสองก็ปิดล็อคประตูอย่างแน่หนาก่อนจะพากันกลับบ้านไปพักผ่อน
รุ่งเช้าหลิงเฟยตื่นมาเตรียมอาหารเช้าให้สามี ซึ่งวันนี้เป็นโจ๊กหมูง่ายๆ พร้อมกับนมวัวคนละ1 แก้ว และแน่นอนว่าวันนี้หยวนเซียวจะออกไปพร้อมกับเขา เพราะตอนนี้เขาตื่นแล้ว และกำลังอาบน้ำอยู่ เธอจึงต้องรอไปพร้อมกับเขาด้วย และช่วยกันขายต็อกบกกีจนหมดจึงปิดร้านกลับบ้าน ช่วงนี้ยังไม่มีใครมาสมัครงานจึงต้องทำกันเองไปก่อน เมื่อปิดร้านเรียบร้อยแล้ว เธอกับสามีก็ไปส่งเหล้าให้กับชายคนนั้นทันที และได้รับเงินจำนวนมากกลับมาด้วย
ภายในเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมาอากาศก็เริ่มเย็นมากขึ้น หลิงเฟยตื่นตั้งแต่เช้ามาตุ๋นสาลีใส่น้ำตาลกรวดเตรียมเอาไว้ให้เขากิน ว่ากันว่าสาลีตุ๋นน้ำตาลนั้นสามารถรักษาหลอดลมอักเสบและไอกรนที่มากับช่วงอากาศเย็นๆแบบนี้ เพราะหยวนเซียวถึงจะเป็นชายหนุ่มชนบทแต่ร่างกายของเขาก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนคนอื่นๆ และเมื่อคืนนี้รู้สึกว่าเสียงของเขาเปลี่ยนเล็กน้อยคาดว่าคงเป็นหวัดเข้าแล้ว