เขาไม่ปรานีฉันเลยสักนิด!
หลังจากที่เขาตอบกลับมาก็ทำเอาฉันเกือบหน้ามืด แต่สามารถดึงสติกลับมาได้ดีหน่อยที่เขาให้เวลาได้ทำใจก่อนหนึ่งคืน และข้อตกลงอีกอย่างคือต้องไปอยู่ในพื้นที่ใกล้หูใกล้ตาเขาด้วย ซึ่งมันดีต่อฉันมากเพราะจะได้เอาคืนง่าย ๆ หน่อย
“คุณแม่ เข้าไปได้ไหมคะ”
เมื่อเก็บเสื้อผ้าเรียบร้อยฉันก็เดินตรงมายังห้องพักของผู้เป็นแม่ ส่วนพ่อช่วงนี้แยกห้องเพราะไม่สบายต้องมีพยาบาลดูแลตลอด ส่วนแม่ก็จะคอยแวะเวียนไปดูแลเรื่อย ๆ
“จันทร์เหรอลูก เข้ามาสิแม่ไม่ได้ล็อกประตู”
น้ำเสียงนุ่มอ่อนโยนของผู้เป็นแม่เอ่ยอนุญาต ฉันจึงผลักประตูเข้าไปในห้องนอนของท่าน ก่อนสายตาจะเห็นผู้เป็นแม่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาโดยที่บนตักมีอัลบั้มภาพวางอยู่
“ทำอะไรอยู่เหรอ จันทร์กวนไหม?”
“ไม่จ้ะ อีกเดี๋ยวแม่ก็จะเข้านอนแล้ว”
ท่านหันมายิ้มให้พลางจัดเก็บอัลบั้มภาพไว้ในชั้นหนังสือก่อนจะกวักมือเรียกให้ฉันเดินมานั่งข้างท่าน
“มีอะไรหรือเปล่าลูก มาดึกเชียวอย่าทำงานจนลืมล่ะเลยสุขภาพของตัวเองนะคะรู้ไหม แม่เป็นห่วง”
“รับทราบค่ะ”
ฉันยิ้มรับก่อนจะโน้มตัวลงไปสวมกอดท่านเหมือนต้องการกำลังใจ แม้อุปสรรคจะเหนื่อยยากแค่ไหนแต่ฉันจะไม่ยอมแพ้ ทุกอย่างต้องผ่านไปได้ด้วยดี
“อ้อนจังเลยวันนี้ มีอะไรบอกแม่ได้นะลูก”
ทั้งที่พยายามเข้มแข็งและมีแต่รอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้า แต่ก็ไม่สามารถเล็ดลอดสายตาของผู้เป็นแม่ไปได้เลย จนฉันหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะผละตัวออกมาและเงยหน้ามองท่าน
“แค่เหนื่อยจากงานที่บริษัทค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ”
“ค่ะ แล้วก็จะมาบอกว่าช่วงนี้อาจจะไม่ได้นอนที่บ้านนะคะ งานยุ่งมีโปรเจกต์สำคัญและอาจจะมีไปต่างจังหวัดด้วยค่ะ”
ท่านมีสีหน้ากังวลใจขึ้นมาเมื่อได้ยินว่าฉันต้องเดินทางอยู่ตลอด เพราะแม่บอกตลอดว่าเป็นห่วงความปลอดภัยและเรื่องสุขภาพ อีกอย่างเป็นผู้หญิงท่านเลยค่อนข้างห่วงเป็นพิเศษ
“จันทร์แม่ว่า…”
“แม่คะ จันทร์ตัดสินใจไปแล้วค่ะ ตั้งแต่ได้เข้ามาทำงานที่แอตลาสจันทร์มีความสุขมากและไม่ต้องการมองสิ่งที่พ่อหรือบรรพบุรุษสร้างมาต้องพังทลายลงตรงหน้า”
ฉันมองสบตาท่านอย่างแน่วแน่และขอให้เชื่อมั่นว่าลูกสาวคนนี้จะไม่ยอมสูญเสียอะไรไปแน่นอน
“อืม แม่เชื่อจันทร์”
คุณดารัณเอ่ยออกมาก่อนจะตบหลังมือลูกสาวคนโต
เบา ๆ อย่างเชื่อมั่น เพราะจันทร์เจ้าเป็นเด็กดีไม่เคยมีทำตัวให้พ่อแม่ต้องกังวล และยังรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองได้อย่างดี
“ขอบคุณนะคะแม่”
“จ้ะ”
หลังจากร่ำลาคุณแม่เรียบร้อยฉันก็หอบกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาทันที แต่เมื่อขับรถมาถึงหน้าบ้านก็เจอรถยนต์สีดำติดฟิล์มทึบจอดติดเครื่องยนต์ไว้อยู่ เมื่อฉันมาถึงหน้าประตูบ้านรถคันนั้นก็ลดกระจกฝั่งข้างคนขับลง ก่อนจะปรากฏชายหนุ่มใบหน้าลูกครึ่งหล่อเหลาผมสีขาวโดดเด่นส่งยิ้มมาให้ ‘ ลูกน้องเฮียซัน ’เขานั่งในตำแหน่งคนขับรถ
“นายให้เอารถมารับครับ”
ฉันย่นคิ้วทันทีเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้คนมารับด้วยในเมื่อมีรถและสามารถขับไปเองได้ แต่เหมือนฉันจะแสดงออกผ่านสีหน้ามากเกินไปอีกฝ่ายเลยเอ่ยต่อ
“นายบอกว่าคุณจันทร์ไม่จำเป็นต้องเอารถหรือของติดตัวมาด้วยเพราะเป็นแค่พนักงานคงไม่ต้องใส่ของแบรนด์เนมหรูหรา”
เมื่อเขาพูดจบพร้อมกับยกยิ้มฉันถึงกับต้องกัดฟันแน่นพานนึกไปถึงคนร้ายกาจนอกจากประสาทแล้วยังปากหมาอีกคอยดูเถอะจะเอาคืนให้สาสม
“ก็ได้”
ได้แต่กัดฟันพูดเพราะตอนนี้ดึกมากแล้ว ฉันเดินไปเปิดประตูและก้าวขึ้นไปนั่งเบาะหลัง ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นคนที่กำลังสาปส่งอยู่ในใจนั่งไขว่ห้างปรายตามองมาที่ฉัน
“เฮียซัน”
เอ่ยเสียงแผ่วเบาด้วยความตกใจ ตอนแรกให้ลูกน้องมารับว่าอึ้งแล้ว เจอตัวเขาอยู่ในรถทำฉันอึ้งมากกว่าเพราะไม่เข้าใจว่าจะแห่กันมารับทำไม
“ไปนั่งข้างหน้า”
เขาเอ่ยเสียงเย็นก่อนจะหันไปสนใจไอแพดตรงหน้าทำเหมือนการคุยกับฉันเป็นเรื่องที่เสียเวลาอย่างมหันต์ แน่นอนว่าตัวเองก็ไม่อยากคุยกับเขา เลยรีบเปิดประตูข้างคนขับและก้าวเท้าขึ้นไปนั่งอย่างเรียบร้อย
“ทีหลังไม่ต้องเรียกอย่างสนิทสนมอีก”
“คะ?”
ฉันไม่เข้าใจเลยหันกลับไปมองเขาอีกครั้งด้วยความสงสัยก่อนจะเห็นว่าใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่ง แววตาดำมืดไร้ระลอกคลื่นของความรู้สึก ชั่วขณะนั้นหัวใจของฉันพลันเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งที่พยายามกดมันไว้ลึกสุดหัวใจแล้ว
“อย่าเรียกเฮียอีก”
“รับทราบค่ะ คุณซัน!”
ในเมื่อเขาต้องการแบบนี้ฉันจะทำอะไรได้นอกจากยกยิ้มและเอ่ยรับทราบ ทั้งที่ในใจไม่อยากจะเปลี่ยนคำเรียกเลยไม่ใช่คิดอะไรกับเขานะแต่เรียกเฮียมันดูสนิทสนม ซึ่งมันก็มีประโยชน์อยู่บ้างอย่างเช่นตอนที่มากาสิโนพอเรียกเฮียคนแทบจะอุ้มมาส่ง
นัยน์ตาคมกริบจ้องมองร่างบางจากข้างหลังก่อนจะปรายตามองออกไปข้างนอก ตลอดทางมีเพียงแสงไฟสลัวช่วยนำทางเท่านั้น บ้านของจันทร์เจ้าห่างจากคอนโดของเขาค่อนข้างมากแต่เพราะกลัวว่าเธอจะโอ้เอ้เลยต้องมารับเอง ทั้งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิดเธอก็แค่ลูกไก่ตัวน้อยในกำมือ ถ้าเผลอก้าวผิดเขาก็ไม่ลังเลที่จะบีบให้แหลกคามือ
ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาทอดสายตามองความมืดมิดพลางทำให้นึกถึงคืนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ในตอนที่เขาเรียนบริหารอยู่ปีสี่ของมหาลัยแอล งานเลี้ยงประจำคณะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพราะรวมนักศึกษาทุกชั้นปี แน่นอนว่าเขาก็โดนเพื่อนลากมาด้วยแม้จะเอียนเต็มทีกับการเลี้ยงในคณะแต่ก็ต้องมา
ทุกสิ่งในงาน เหล้า แอลกอฮอล์ เกม ผู้หญิงล้วนน่าเบื่อไม่มีอะไรน่าสนใจพอสำหรับเขาเลย จนกระทั่งการปรากฏตัวของหญิงสาวสองคนในชุดแตกต่างกัน โดยที่คนผมแดงเดินนำมาก่อนเพราะธีมงานเป็นแนวเทพเซียนจะไทย จีน กรีก โรมันได้หมด
หญิงสาวคนแรกย้อมผมสีแดงดัดลอนยาวถึงกลางหลังเธอแต่งตัวเป็นเทพีแห่งดวงอาทิตย์ ทำให้หลายคนจับจ้องมองมาที่เขาหลังจากมองไปที่เธอคนนั้นแล้ว
มองอะไรกัน…
นั่นคือสิ่งที่เขาคิดก็แค่แต่งตัวเป็นเทพแห่งแสงเหมือนกันยิ่งเห็นคนมองเขายิ่งไม่สบอารมณ์เลยจะเบือนหน้าหนี แต่สายตาดันสะดุดที่หญิงสาวอีกคน เธอตัวเล็กกว่าผู้หญิงคนแรกผิวขาวอมชมพูเรือนผมสีดำดัดลอนตรงปลาย นัยน์ตากลมโตเรียบนิ่งแต่ขบเม้มริมฝีปากเหมือนคนประหม่าอยู่ตลอดเวลา
เขามองเธออย่างสนใจ…หญิงสาวที่แต่งตัวเป็นเทพีแห่งดวงจันทร์มองดูแล้วช่างเหมาะสมกับเขา เหมือนกับโลกนี้มีพระอาทิตย์และพระจันทร์ไม่ใช่มีพระอาทิตย์สองดวง
นั่นคือความทรงจำในคืนแรกที่เขาได้เจอกับเธอและพึ่งรู้ว่าเป็นรุ่นน้องปีหนึ่ง ตลอดทั้งคืนเขาไม่สามารถละสายตาจากเธอได้เลย จนคิดว่าบางทีเขาอาจจะโดนกระตุ้นสัญชาตญาณของการล่า บางคราเธอก็เหมือนกระต่าย สดใส ไร้พิษสงจนชวนให้นักล่าอยากจะลองเล่นกับเหยื่อก่อนจะกลืนลงท้อง
แต่บางคราเธอก็เหมือนสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ที่พร้อมจะตลบหลังในตอนที่เขาเผลอ….
เอี๊ยด!!!!!
“นายระวัง”
เสียงล้อบดกับถนนพร้อมกับแรงเหวี่ยงทำให้เขาหลุดจากภวังค์ความคิด มือหนารีบก้มลงหยิบปืนสั้นจากใต้เบาะออกมาเตรียมพร้อม เมื่อลูกน้องคนสนิทอย่างเวกัสเอ่ยเตือนพร้อมกับหักพวงมาลัยตีโค้งอย่างกะทันหัน
“เกิดอะไรขึ้น”
“ก้มหัวลงไป!”
ร่างบางตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า ตอนแรกนึกว่าเวกัสเบรกเพราะอาจจะหลบหรือชนอะไร แต่เปล่าเลยเขาเบรกแทบหัวทิ่มไม่พอยังหักพวงมาลัยอย่างรวดเร็ว เหมือนกำลังหนีอะไรสักอย่าง เธอเลยตะโกนถามแต่โดนมือหนาของคนที่นั่งข้างหลังกดศีรษะให้ก้มต่ำ ก่อนจะได้ยินเสียงดังแหวกอากาศกระทบลงบนกระจกรถจนเกิดเสียงปริแตก
ปัง!
“กรี๊ด!”