“เหนื่อยหรือเปล่าไหม”
ฤทัยลุกจากที่นอนมานั่งรอลูกสาวอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านและรับลมเย็นๆของตอนหัวค่ำด้วยเพื่อให้ร่างกายได้แข็งแรงมากขึ้น เธอมองหน้าแพรวาที่มันแผล็บไปด้วยเหงื่อที่มาจากความร้อนและความเหนื่อยด้วยรอยยิ้มที่เหือดแห้งถึงจะเป็นรอยยิ้มจากใจแต่ความอ่อนแรงทำให้เธอทำได้เพียงเท่านั้น
“แม่ออกมาทำไม ข้างนอกเชื้อโรคมันเยอะ กลับเข้าไปข้างในกันเถอะ”
แพรวาไม่ได้สนใจความเหน็ดเหนื่อยของตัวเองแต่รีบเข้าไปประคองคนเป็นแม่เข้าบ้าน มันดีก็จริงที่คนป่วยจะออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์บ้างแต่บ้านของเธออยู่ในชุมชนที่ติดคลองและทุกอย่างก็ดูจะไม่เหมาะกับแม่ของเธอที่กำลังป่วยอยู่เลย น้ำในคลองที่ดูจะใสแต่ก็ยังไม่บริสุทธิ์เต็มทีและแม่ของเธอก็ติดเชื้อต่างๆได้ง่ายเธอไม่อยากให้แม่มาเสี่ยงอะไรแบบนี้ และเธอเองก็ไม่ได้ต้องการให้ใครมานั่งรอกลับบ้านโดยเฉพาะแม่ เธอชินกับการต้องเหนื่อยทุกวันอยู่แล้ว
“มิ้งค์ยังไม่กลับอีกเหรอจ๊ะ”
กับข้าวสองอย่างที่ถูกซื้อมาจากข้างนอกถูกแกะออกจากถุงใส่จานตรงหน้าและยกมาตั้งใกล้ๆกับผู้เป็นแม่และเป็นทุกอย่างในชีวิตของเธอที่ตรงกลางบ้านที่ใช้เป็นทั้งที่นั่งเล่นและที่กินข้าวในคราวเดียวกัน พร้อมกับสายตาที่มองสำรวจไปยังห้องนอนที่ถูกปิดสนิทอยู่อย่างอดห่วงไม่ได้ว่าเจ้าของห้องอาจจะยังไม่ได้กินข้าวเย็น
“มาขอเงินบอกว่าจะไปทำรายงานกับเพื่อน แล้วก็ออกไป”
“แม่เอาเงินให้น้องไปอีกแล้ว ไหมบอกแล้วว่าไม่ต้องให้ยังไงเมื่อเช้าไหมก็ให้เอาไว้แล้ว”
ทุกเช้าเธอจะจัดสรรเงินให้กับทุกคนโดยเฉพาะน้องสาวที่ต้องไปโรงเรียนและเธอก็มักจะถามต่อด้วยว่าต้องการจะใช้จ่ายอะไรเพิ่มอีกไหมเพื่อจะได้ให้เอาไว้แต่เช้าเลย และเธอก็รู้ว่าน้องชอบโกหกโดยเฉพาะวันนี้ที่คงกุเรื่องขึ้นมาและเอาเงินของแม่เธอไปอีกแล้ว เธอไม่อยากให้เป็นแบบนั้นและอยากให้แม่ใจแข็งเพราะต่อไปเธอต้องออกไปทำงานแต่เช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำอย่างวันนี้ เธอไม่อยู่แม่หิวจะได้ไหว้วานคนข้างบ้านไปซื้ออะไรให้กินก่อนได้
“ไม่เป็นไรหรอก ก็ให้เพิ่มไปไม่กี่บาท เห็นมิ้งค์มาบอกว่าไม่พอ ไม่มีอะไรหรอกไหม”
เธอโกหกลูกสาวออกไปทั้งที่จริงชมพูนุทมาขู่เอาเงินไปมากกว่าเพราะอยากจะไปเที่ยวกับเพื่อนชายในแก๊งรถซิ่งต่อหลังจากทำรายงานเสร็จแล้ว และก็มีปากเสียงกันจนทำให้สมบูรณ์ผู้เป็นพ่อเข้ามาช่วยลูกสาวที่เขารัก ดูเหมือนเรื่องจะบานปลายและเธอเองก็ไม่แข็งแรงพอจะรับทุกเรื่องไหว และมันก็จบลงด้วยการควักแบงก์สีแดงสองใบออกมาจากหมอนที่ใช้นอน เงินอาจดูไม่มากแต่กว่าจะได้เงินจำนวนนี้คนตรงหน้าเธอก็ต้องร้อยมาลัยจนมือแทบเน่ากว่าจะได้มา
“แม่น่าจะเก็บเอาไว้ เพื่ออยากกินอะไร ต่อไปไม่ต้องให้แล้วนะเดี๋ยวไหมกลับมาให้เองถ้าไม่พอ”
“กินข้าวเถอะ”
ฤทัยยิ้มแห้งๆส่งให้ลูกสาวที่เกิดจากคนรักคนแรกและคนเดียวในชีวิตอีกครั้ง แพรวาเกิดจากชายคนรักของเธอที่ประสบอุบัติเหตุตอนที่เธอท้องได้สามเดือน พ่อของลูกยังไม่ทันได้รู้ข่าวดีก็มาตายจากไป เธอตั้งสติอยู่นานและคิดใหม่มีชีวิตใหม่เพื่อที่จะได้อยู่กับลูกต่อไป จนมาเจอคนดีอย่างสมบูรณ์ตอนที่เธอใกล้คลอดเลยตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กับเขา ตอนนั้นสมบูรณ์เป็นคนดีมีงานมีการทำมั่นคงและรักเธอกับลูกมาก ถึงเธอจะไม่ได้รักแต่เพราะความดีของเขาเลยตัดสินใจเลือกเขามาเป็นคู่ชีวิต แต่เหมือนคิดผิดเพราะคนที่คิดว่าดีเปลี่ยนไป
อาหารเย็นที่ไม่ได้มีอะไรอร่อยแต่สองคนแม่ลูกก็กินกันอย่างอร่อยเพราะด้วยมีกันและกันร่วมโต๊ะอาหาร อาหารที่ซื้อมาเป็นอาหารจากรถเข็นข้างทางและแพรวาก็เลือกที่พอจะกินได้มาและที่สำคัญต้องราคาถูกด้วย เธอต้องประหยัดด้วยมีเธอคนเดียวหาเงินเข้าบ้าน ไหนจะค่าใช้จ่ายภายในบ้านทั้งหมด ค่าหาหมอของแม่ ค่าเรียนน้องและยังต้องจ่ายค่ารีดไถให้กับพ่อเลี้ยงที่ไม่เคยทำงานทำการอะไรอีกด้วย
“แม่นอนก่อนเถอะจ้ะ ไหมร้อยพวงมาลัยต่ออีกนิดก็จะเข้านอนแล้วเหมือนกัน”
มื้ออาหารจบลงหญิงสาวก็รีบเอางานที่ทำแล้วจะได้เงินมาใช้จ่ายเลยในวันพรุ่งนี้ออกมาทำ พร้อมกับดูแลผู้เป็นแม่ไปด้วย เธอนอนดึกได้เพราะร่างกายยังแข็งแรงอยู่แต่แม่นอนดึกไม่ได้ แม่ของเธอต้องแข็งแรงให้เร็วที่สุดเพราะเธออยากให้แม่ได้รับคีโมด้วยหวังเล็กๆว่าแม่จะหายจากมะเร็งระยะที่สี่แม้หนทางข้างหน้าจะริบหรี่
“อย่านอนดึกมากนะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานวันแรกนะไหม ไปสายเดี๋ยวเจ้านายเขาจะดุเอา”
ร่างบางที่เรียกได้ว่าผอมจนหนังติดกระดูกล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนล้าทั้งที่ไม่ตรางานหนักอะไร ในใจก็ยังคงเต็มไปด้วยความเป็นห่วงลูกที่พรุ่งนี้จะเริ่มงานเป็นวันแรกในตำแหน่งที่ค่อนข้างใหญ่โต เธอกังวลแทนลูกเหลือเกินที่เพิ่งจะได้งานเป็นที่แรกหลังจากเรียนจบ กลัวลูกจะไปทำงานสาย กลัวลูกจะทำอะไรไม่ดีไม่ถูกใจเจ้านาย มันไม่เหมือนกันการไปเรียนในรั้วมหาลัยที่ทุกอย่างพออนุโลมได้เพราะลูกคนนี้ของเธอมีหน้าที่รับผิดชอบหลายอย่าง
“จ้ะ”
เหมือนอยู่กันเพียงสองคนเพราะต่างต้องดูแลกันและกัน แต่แพรวาก็ไม่เคยปริปากบ่นว่าเหนื่อย เธอได้แต่ยิ้มเพื่อให้แม่สบายใจและมีกำลังใจต่อสู้กับโรคร้ายเท่านั้น ถึงภายในของหญิงสาวที่กำลังนั่งร้อยพวงมาลัยที่หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วจะได้เงินต่อพวงแค่ไม่กี่บาทจะเหนื่อยจนอยากจะหลับพับกลางอากาศเต็มแก่แล้ว
“พรุ่งนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ คุณอรรณพจะดุเหมือนวันนี้ไหม”
แพรวายังคงทำงานต่ออีกครึ่งคืนเธอถึงได้พัก แต่ก่อนจะเอนกายให้หัวถึงหมอนหญิงสาวพึมพำกับตัวเองถึงเหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า การได้พูดคุยกับเจ้านายคนแรกในชีวิตงานของเธอในวันนี้ทำให้เธอรู้สึกหวาดๆในใจไม่ใช่น้อย คนดุเธอเคยพบเจอมาแล้ว คนนิสัยไม่ดีก็ได้พบอยู่ทุกวัน แต่คนอย่างเขาเธอไม่เคยเจอเหมือนจะดุแต่แววตาก็ไม่ดุแต่มันกลับประหลาดเหมือนจะล้อเล่นแต่ก็ไม่ใช่ เขาเป็นคนแปลกจนเธอเดาไม่ออกเลยว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่ก็ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีเพราะเธอเองจะตั้งใจทำงานเพื่อแลกกับค่าตอบแทนในแต่ละเดือนที่ค่อนข้างสูงและนั่นจะทำให้ครอบครัวของเธอมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยเฉพาะแม่กับน้องที่จะได้อยู่ดีกินดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
“กาแฟค่ะ”
ร่างบางในชุดคุณครูย้อนหลังไปสักเกือบๆยี่สิบปีได้เดินเข้ามาพร้อมกาแฟร้อนในแก้วหรูหรา เธอแต่งตัวด้วยชุดใหม่ที่ได้มาจากอดีตข้าราชการเกษียณข้างบ้าน ชุดนี้ไม่ได้ดูแย่อะไรเมื่อใส่สูทที่มีโลโก้ของบริษัทที่ได้รับแจกเมื่อวานทับเอาไว้ก็ดูแปลกตาไปอีกแบบ อาจจะดูล้าสมัยไปนิดแต่อะไรประหยัดได้เธอก็ควรจะทำแถมชุดนี้คนให้ก็เน้นย้ำมาว่ายังไม่เคยใส่เลยเพียงแต่ซื้อเก็บเอาไว้
“อือฮึ”
ร่างใหญ่ที่เช้ามาก็ตั้งใจทำงานและวันนี้เขาก็กำลังตั้งใจเป็นพิเศษเพราะบ่ายนี้เขามีนัดกับสาวสวยและจะไม่เข้ามาทำงานแล้ว แต่สายตาก็ต้องละจากกองเอกสารท่วมหัวไปมองคนที่เดินถือแก้วกาแฟที่เขาเพิ่งจะสั่งซื้อมาจากต่างประเทศเพื่อเอาไว้ต้อนรับแขกและเอาไว้ใช้เอง การมองของเขาเป็นการมองสำรวจแต่ไม่ใช่ความเรียบร้อยเพราะเธอนั่นมีอยู่เต็มเปี่ยมเหมือนครูระเบียบแต่ที่มองเพราะอึ้งไม่คิดว่าเลขาของเขาที่น่าจะอายุน้อยที่สุดในบรรดาคนที่มาสัมภาษณ์เมื่อวานแต่งตัวอะไรมาทำงานกับเขา
เขาไม่คาดคิดเลยว่าชุดเมื่อวานที่เธอใส่มาให้ตัวเองดูย้อนเวลาไปสักสิบปีนั้นจะมีคู่แข่งเป็นชุดที่ย้อนเวลาได้สักยี่สิบปีนี้ เมื่อวานเขาคิดว่าเธอแค่อยากจะสร้างความภูมิฐานให้กับตัวเอง ไม่คาดคิดว่าเธอจะใส่แบบนั้นมาอีก
แต่เหนือชุดพวกนั้นก็คงเป็นใบหน้าของเธอที่ชวนให้เขาเผลอมองอย่างไม่อาจละสายตากลับไปมองชุดได้อีก แปลกประหลาดเวลาได้สบตาเธอเหมือนมีอะไรเรียกร้องให้เขามองอยู่แบบนั้น
อาจเป็นเพราะความใสซื่อของเธอ ที่อาจเรียกได้ว่าเด็ก เพราะเธอเรียนก็เพิ่งจบคงยังไม่ได้ผ่านโลกมามากมายอะไร จริตจะก้านอะไรก็คงไม่มี ต่างจากหญิงสาวคนอื่นๆที่เขาเคยเจอ ไม่หิวเงินก็หิวเขาถึงได้มาเจอกัน
“บ่ายนี้ท่านประธานมีประชุมประจำปีที่สาขาย่อยนะคะ”
แก้วกาแฟราคาแพงที่น่าจะเท่ากับเงินเดือนของเธอเลยถูกวางลงอย่างเบามือบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยเอกสาร เธอระวังอย่างเต็มที่ไม่ให้มันเกิดหกด้วยอาจทำให้เอกสารสำคัญพวกนั้นเลอะเทอะได้ และก็รีบแจ้งตารางงานที่คุณสมพงษ์สอนเอาไว้ให้กับเจ้านายที่กำลังมองเธอให้ได้รู้ ภายในของเธอกำลังสั่นด้วยกลัวว่าเขาอาจจะดุอะไรขึ้นมาได้ถ้าไม่ถูกใจ ตั้งแต่เช้ามานี้มีหลายคนแวะเข้ามาทักทายเธอและก็ขู่เธอเอาไว้แบบนั้นด้วยเป็นการต้อนรับน้องใหม่อย่างเธอ ที่อีกหลายเสียงพูดว่าจะได้ทำงานที่นี้ถึงแค่วันเสาร์นี้เท่านั้น
“เธอชื่ออะไรนะ”
เลขาในวันแรกของเขาทำให้เขายังจำอะไรไม่ได้อีกนิดหน่อย และคงต้องปรับตัวเพราะแม่เขาจะไม่เข้ามาวุ่นวายที่นี้อีกหลายวัน และไอ้ตารางงานพวกนี้เขาก็คงต้องพึ่งพาเธอให้ช่วยดูให้
“แพรวาค่ะ”
“ไหม เธอช่วยไปบอกคุณสมพงษ์ ที่เธอเจอเมื่อวานจำได้ใช่ไหม ให้ไปประชุมแทนฉันด้วย”
เขาจำชื่อจริงของเธอได้ ไม่ได้เป็นชื่อที่แปลกอะไรก็ธรรมดาเหมือนเธอนั่นแหละแต่ชื่อนั่นมันบอกความหมายของชื่อต่อไปได้ดี เขาชอบชื่อเล่นของเลขาคนนี้นะฟังดูเรียบหูดี ไม่หวือหวาและไปแหลมเข้าไปในหูจนไม่อยากฟัง
“ค่ะ”
“และก็อีกอย่างฉันไม่ใช่ท่านประธาน เรียกแค่คุณณพก็พอ”
“ค่ะ”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไม่ต้องเข้ามา”
“ค่ะ”
เขาโบกมือไล่เลขาป้ายแดงออกไปจากห้องก้มหน้าทำงานต่อเพราะเวลาใกล้เข้ามาทุกขณะ แต่สายตาก่อนจะมองงานกองโตตรงหน้าเขากลับคนที่เดินออกไป มองเรือนร่างที่ออกจะผอมไปนิดของเธอด้วยแววตาตำหนิ ทำไมถึงไม่กินให้อ้วนกว่านี้จะได้ดูมีน้ำมีนวลน่าเข้าไปสัมผัส แต่ถึงจะบางไปนิดมันก็ยังชวนให้มองจนเธอเดินพ้นประตูห้องออกไป
เธอดูเรียบง่ายไม่วุ่นวายคงเป็นเพราะเธอเป็นเด็กจบใหม่และจากผลการเรียนที่เขียนใส่ใบสมัครมาของเธอก็ไม่ได้สูงอะไรบ่งบอกได้ดีว่าเธอไม่มีความทะเยอทะยานให้ได้ดีได้เด่นเหมือนคนอื่น และก็คงเหมาะจะนั่งหน้าห้องเขาจนครบอาทิตย์ก่อนจะถูกไล่ออกด้วยเพราะเธอไม่ความเก่งรอบด้านมากพอ
“ตามฉันเข้าไปในห้อง”
ร่างใหญ่เดินเซนิดหน่อยก้าวออกมาจากลิฟต์และเดินไม่ค่อยตรงมายังโต๊ะเลขาที่เพิ่งจะมาทำงานได้สามวัน เมื่อวานเขาขาดงานเพราะไปต่อกับหญิงสาวคนรู้ใจดึกดื่นไปหน่อยเช้ามาก็เลยมาทำงานไม่ไหว และเมื่อคืนเขาก็มีนัดกับบรรดาเพื่อนๆที่ไม่ได้เจอกันนานและเช้านี้ก็ไม่ได้อยากมาทำงานสักเท่าไหร่แต่เพราะเมื่อวานไม่ได้มาวันนี้ก็เลยจำใจและฝืนร่างกายที่ไม่เต็มร้อยมาทำงาน
“ค่ะ”
คำพูดคำจาของเจ้านายฟังดูไม่ค่อยชัดแถมเขาก็ดูจะรีบร้อนจนเธอต้องรีบลุกขึ้นเดินตามออกไป วันนี้ดูแปลกออกไปกว่าวันก่อนที่เขาจะหยุดงานไป สงสัยคงจะมีเรื่องด่วนที่จะให้เอาเข้าที่ประชุมด้วย แพรวาไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นเลยเพราะเขาก็ไม่ได้แสดงอาการรุ่มร่ามกับเธอ คงจะเป็นแค่เรื่องงานเท่านั้น
“ฉันมีประชุมกี่โมง”
เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอีกผู้บริหารอย่างหมดแรง งานสังสรรค์กำลังเล่นงานเขาอยู่ ดวงตาแดงก่ำจนต้องมาสายเพื่อหลบสายตาของพนักงานคนอื่นๆไหนจะพะอืดพะอมจนไม่อยากพูดกับใคร เขาอยากกลับไปนอนแต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบมากมายทำให้เขาต้องมาทำงานด้วยสภาพแบบนี้
“สิบโมงค่ะ”
“ไม่ต้องชงกาแฟ แต่ไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้ฉัน”
เขาขยับตัวถอดเสื้อสูทสีน้ำเงินออกจากตัว เช้าวันนี้เขายังไม่ได้อาบน้ำด้วยเพราะไม่มีเวลามากพอถึงจะไม่ได้มาเช้าแต่งานสังสรรค์พบปะเพื่อนฝูงก็ทำให้เขาตื่นสายและทำได้เพียงใส่ชุดมาทำงานยังไม่ได้อาบน้ำล้างคราบและกลิ่นของแอลกอฮอล์เลย มันติดตัวเขาตั้งแต่เมื่อคืนและถ้าพาเข้าไปในห้องประชุมด้วยเรื่องนี้ต้องโดนขยายไปถึงหูพี่ชายและครอบครัวของเขาแน่ และเขาก็ไม่ใช่อรรณพคนเก่าที่จะมาหน้าด้านทนรับคำด่าพวกนั้นได้
“เช็ดตัว”
คนฟังถึงกับตาโตแต่ไม่ได้เสียงดังอะไรและแอบมองอีกคนด้วยความคิดหลากหลาย เธอมั่นใจว่าหน้าที่ของเลขาต้องไม่มีแน่นอนที่ต้องมาเช็ดตัวให้เจ้านาย หรือเธอหูฝาดเพราะวันๆที่มาทำงานไม่ได้มีอะไรให้ทำมากมายนักมีแต่คอยมองลิฟต์ว่าจะเปิดออกมาไหมจะได้ต้อนรับแขกของเจ้านายหรือเปล่า และก็คอยฟังเสียงโทรศัพท์ว่าเจ้านายจะเรียกใช้อะไรทั้งที่อยู่บ้านเธอทำงานหนักจนไม่มีแม้แต่เวลากินข้าว
“มีกะละมังกับผ้าอยู่ในห้องน้ำ ไปจัดการมา เร็วๆด้วย”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเมาค้างตัวเหม็นหึ่งมาแบบนี้ แต่ทุกครั้งไม่ได้หนักหนาถึงขั้นทำเองไม่ไหวแบบครั้งนี้ และก็ไม่มีใครที่พอจะช่วยเขาได้ดีไปกว่าเลขาอีกแล้ว อาจจะดูเกินหน้าที่ไปนิดแต่เขาจ่ายเงินค่าจ้างกับเธอแล้วก็มีสิทธิ์จะใช้งานอะไรกับเธอก็ได้ ถ้าปากมากวุ่นวายก็ดีเลยเขาจะได้ไล่ออกง่ายขึ้นอีกนิด
“ค่ะ”
ไม่ได้หูฝาดแต่เป็นคำสั่งจากเจ้านายของเธอจริงๆ มันอาจฟังดูบ้าแต่เธอก็เดินไปยังห้องน้ำที่อยู่ตรงมุมหลบของห้องทำงานนี้ ห้องน้ำส่วนตัวที่ไม่เคยมีใครเข้ามาใช้นอกจากเจ้าของห้องและเธอก็เพิ่งรู้ว่ามีห้องน้ำเพราะคุณสมพงษ์บอกเอาไว้เพราะถ้ามองสำรวจเองก็คงไม่รู้ด้วยเพราะคนที่ตกแต่งห้องนี้ปกปิดเอาไว้ได้อย่างดีและมีระดับสมกับเป็นห้องของเจ้าของบริษัท
คนนั่งก็ไม่ได้อยู่เฉยรีบจัดการกับเสื้อเชิ้ตสีขาวถอดออกและวางพาดไว้อย่างดีที่บนโต๊ะทำงานข้างๆเสื้อสูทด้วยอีกประเดี๋ยวต้องใส่กลับเข้าไปใหม่เพราะจะต้องเขาประชุม และถอดเสื้อกล้ามอีกตัวที่คงจะไม่ใส่อีกแล้วออกมาด้วยเพราะมันชุ่มไปด้วยเหงื่อของคนขี้ร้อนอย่างเขาและรับเอาความเหม็นหึ่งเข้าไปแบบเต็มๆ เขาโยนมันทิ้งลงถังขยะอย่างไม่สน ตามด้วยเสื้อผ้าชิ้นข้างล่าง