"ไปกำปั่นได้เวลาไปทำงานหาเงินเรียนกัน" มนต์ชญาชวนกำปั่นเพื่อนรักที่กำลังเดินลงมาจากหอพัก
สองคนกับอีกสองรักยมพากันไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าปากซอย
"นี่กระเถิบหน่อยสิอย่ายึดที่คนเดียว" เสียงแหลมเล็กของกะจิ๊ดริดบ่นวิญญาณตัวหนึ่งที่นอนนิ่งเฉยหน้าซีดเซียวอยู่ที่เบาะหลังสุดของรถเมล์
"ลุกเดี๋ยวนี้นะ" สองรักยมประสานเสียงกันพร้อมช่วยกันดึงเสื้อและแขนของวิญญาณตัวนั้นให้ลุกขึ้นมา
"อะไรกันจิ๊ดริดจ้อยร่อย" มนต์ชญาได้ยินเสียงดังของสองแสบจึงหันไปเอ็ด แต่มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน เพราะมีสายตาของคนบนรถเมล์ที่หันมามองเธอ
"ก็เจ้านี้น่ะสินอนคนเดียวไม่แบ่งที่ให้ใครเลย" กะจ้อยร่อยช่วยเพื่อนฟ้อง
"มานี่มานั่งกับน้ำมนต์" มนต์ชญาถลึงตาใส่พยายามที่จะพูดให้เสียงเบาที่สุดก่อนที่ทุกคนบนรถจะมองเธอเป็นตัวประหลาด
"ก็อยากนั่งเล่นด้านหลังบ้างน่ะ เวลารถขับเร็วๆมันสนุกดีนะน้ำมนต์" รักยมเสียงอ่อน
"อย่าก่อเรื่องสิ ปล่อยเขาไปอย่าไปยุ่งกับเขา"มนต์ชญาเสียงเขียวใส่สองเด็กน้อยอีก
"มึงเห็นกูหรือ" เสียงวิญญาณตัวนั้นพูดและหันมาทางเธอ
"มะมะไม่เห็น ไม่เห็น" ถึงแม้ว่าเธอจะไม่กลัวผีแต่มนต์ชญาก็รีบปฏิเสธ แต่ก็นั่นแหล่ะหากไม่เห็นจะรู้ได้อย่างไรว่าวิญญาณตัวนั้นเรียกเธอ เธอไม่อยากตอบรับวิญญาณมั่วๆ โดยเฉพาะวิญญาณตามรายทาง เพราะวิญญาณก็เหมือนคนช่วยแล้วจบก็ดีไปช่วยแล้วไม่พอใจก็ตามมาราวีไม่หยุดหย่อน
"มึงเห็นกู ช่วยกูด้วยสิ ช่วยกูด้วย" วิญญาณตนนั้นลุกขึ้นมาตามตื้อ
"นี่อย่ามายุ่งกับพวกเรานะ" รักยมตัวน้อยสองตนรีบปกป้องมนต์ชญา
"ช่วยกูด้วยๆๆๆ" วิญญาณพล่ามคำพูดเดิมไม่หยุด
"ไม่เอาไม่รู้ไม่ชี้ ฉันไม่เห็น"มนต์ชญาเอาสองมือขึ้นมาอุดหูและก้มหน้าลง
"แกเห็นอะไรอีกน้ำมนต์นี่มันบนรถเมล์นะ" กำปั่นหันซ้ายหันขวาหาที่มาที่ทำให้เพื่อนสาวมีอาการแปลกๆ
"รถกำลังเข้าป้ายนะคะ ใครจะลงป้ายนี้เตรียมตัวด้วยค่ะ" เสียงกระเป๋ารถเมล์เตือนผู้โดยสารให้เตรียมตัวลงเมื่อถึงป้าย
"ไปเร็วกำปั่น" มนต์ชญาไม่ตอบคำถามเพื่อนแต่รีบคว้าข้อมือเขาและรีบลงบันไดทันทีที่รถจอดโดยมีสองแสบลอยตามมา
"แฮ่กๆๆ เฮ้อ... ตื้อจริงวิญญาณตัวนี้" มนต์ชญาพูดและหอบมองตามรถเมล์ที่เคลื่อนออกจากป้ายไป
"วิญญาณผีตายโหงน่ะ น่าจะตายอยู่บนรถเลยไปไหนไม่ได้ นี่จิ๊ดริด จ้อยร่อย น้ำมนต์บอกแล้วนะว่าอย่าหาเรื่องอีก ซนจนได้เรื่อง!" มนต์ชญาบอกและหันหลังไปมองรอบๆตัวเผื่อว่าเธอพบเจออะไรอีกและมิวายหันไปดุรักยมคู่ใจอีกรอบ
"นี่ขนาดบนรถเมล์ยังเจอผี น้ำมนต์เอ๊ยยถ้าไม่ใช่เพื่อนกันตั้งแต่เด็กฉันเลิกคบ" กำปั่นบ่นแบบหยอกเย้า
"ถ้าแกเลิกคบ ฉันจะบอกแม่แกว่าแกเป็นตุ๊ด" น้ำมนต์มองกำปั่นตาขวาง
"นี่ฉันแอ๊บแล้วนะ"
"ผีเห็นผี" มนต์ชญาและสองแสบตัวน้อยประสานเสียงดังพร้อมหัวเราะร่วน
.........................................
เมื่อมาถึงจุดหมายวันนี้ทั้งคู่ถูกเรียกให้มาทำงานที่สตูดิโอถ่ายรายการสัมภาษณ์
"มาแล้วหรือมาเร็วดีจัง" แพรวพราวทักทายสองหนุ่มสาว
"สวัสดีค่ะพี่แพรว"
"นี่เดี๋ยววันนี้เธอสองคนไปช่วยทีมงานยกป้ายข้อความบอกคิวเข้าโฆษณาให้คีตะนะ อีกคนถืออีกคนคอยช่วยส่งป้ายใหม่ผลัดเปลี่ยนให้" ทีมงานคนหนึ่งในสตูดิโอแบ่งงานให้ทั้งสองคน
"ได้ค่ะ"
"ได้ครับ" ทั้งสองคนรับคำและไปทำงานตามคำสั่ง
"พร้อมนะ 5 4 3 2 1" เมื่อผู้กำกับรายการให้สัญญาณพิธีกรก็เริ่มดำเนินรายการทันที
"สวัสดีค่ะ วันนี้เรากำลังอยู่กับซุปเปอร์สตาร์ขวัญใจสาวๆทั้งประเทศค่ะ เก่งทั้งการแสดง เก่งทั้งการร้องเพลง จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก คีย์ คีตะ ค่า" สิ้นเสียงพิธีกรผู้ชมในห้องส่งก็ปรบมือกันเกรียวกราว
"สวัสดีครับ" คีตะทักทายพิธีกร
"วันนี้เรามาคุยเปิดใจ ล้วงใจ หนุ่มเจ้าเสน่ห์ พร้อมตอบทุกคำถามไหมคะ วันนี้มีเรื่องไม่ลับของซุปตาร์คนนี้เรื่องที่สาวๆอยากรู้อย่างเรื่องของหัวใจด้วยค่ะ"
"ยินดีครับ ถามมาได้เลยครับ"
เมื่อพิธีกรได้ทำหน้าที่ถามคีตะแล้วกำลังถึงคิวที่จะต้องเข้าข้อความโฆษณาแล้ว คีตะหันมามองป้ายเพื่ออ่านข้อความแต่ปรากฎว่าเขาไม่สามารถมองอ่านป้ายได้ เพราะว่ามนต์ชญายังคงถือป้ายอันเก่าที่มันได้ถูกอ่านไปแล้วในคิวก่อนหน้านี้ แต่มนต์ชญาไม่ยอมรับป้ายอันใหม่ที่กำปั่นส่งให้ เธอมองไปที่คีตะตาค้าง กำปั่นพยายามจะสะกิดเธอให้หันมารับป้ายแต่เธอยังคงยืนจ้องคีตะไม่วางตา ซึ่งคีตะเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงขมวดคิ้วมองเธอ
"น้ำมนต์!"
"โอ้ย!"
"เป็นอะไรเปลี่ยนป้ายเร็ว" กำปั่นหยิกที่เอวเพื่อสาวเพื่อเรียกสติ
"อะเอ่อ เปลี่ยนๆ" น้ำมนต์ได้สติกลับมา ที่เธอตะลึงก็เพราะว่าเธอเห็น วิญญาณผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ทางด้านหลังของคีตะ ผมยาวจนแทบจะคลุมตัวของเขา และวิญญาณตัวนั้นเหมือนรู้ตัวว่าเธอกำลังจ้องมองอยู่
จนจบรายการไปได้ด้วยดี คีตะและพิธีกรกล่าวจบรายการ เมื่อเขาลงมาจากที่นั่งสัมภาษณ์ของรายการ ก็มีบรรดาแฟนคลับแห่เข้ามากรี๊ดกร๊าด ในขณะที่ฝูงชนห้อมล้อมเขาอยู่นั้นวิญญาณตัวดังกล่าวก็ไม่ออกห่างจากเขาเลย
"นี่แทบจะเข้าไปสิงอยู่แล้วนะเนี่ย" มนต์ชญาพูดคนเดียวส่วนตาก็ยังคงจ้องไปที่คีตะ
"อะไรของแกน้ำมนต์เมื่อกี้เกือบเสียงานเดี๋ยวก็โดนด่าจนได้" กำปั่นเดินเข้ามาถามเพื่อนว่าเธอเป็นอะไรไปอีกแล้ว
"ผู้หญิงผมยาวอยู่หลังคีตะ" เธอบอกด้วยน้ำเสียงเรียบและเบาคล้ายว่ากำลังตะลึงอยู่
"ตัวเก่าหรือเปล่า"
"ไม่ ตัวใหม่" มนต์ชญาเฉลย
"สงสัยผีก็คงอยากจะใกล้ชิดซุปตาร์" กำปั่นพูดติดตลก
หลังจากที่คีตะแจกลายเซ็นและพูดคุยกับแฟนๆได้สักครู่เขาก็หันหลังกลับเข้าทางด้านหลังสตูดิโอซึ่งเป็นห้องแต่งตัวแต่งหน้า แต่ขณะที่เขาหันหลังกลับเข้าไปนั้น มนต์ชญาเห็นว่าวิญญาณผู้หญิงผมยาวได้เดินตามเขาเข้าไปด้วย แต่วิญญาณตนนั้นได้หันมามองเธอด้วยสายตาที่โกรธแค้นเหมือนเป็นสัญญาณเตือนว่าอย่ามายุ่งกับเรื่องนี้
"ผีเจ้าที่มั้งแกอย่าไปใส่ใจเลย" กำปั่นเรียกเพื่อนเมื่อเห็นเธอให้ความสนใจกับเรื่องนี้
"ไม่ใช่เจ้าที่นะท่านเจ้าที่เป็นตากับยาย" กระจิ๊ดริดกระจ้อยร่อยรีบบอกเสียงแหลมแต่กำปั่นไม่ได้ยิน
"น้ำมนต์ก็ว่าไม่ใช่เจ้าที่ พลังงานสีดำ กลิ่นสาปสางที่เหม็นจนผิดปกติคล้ายว่ามี..." มนต์ชญาทำท่าทางขบคิด
ทางด้านในของห้องแต่งตัวทันทีที่คีตะเห็นแพรวพราวเขาก็เปิดฉากพูดทันที
"ผมว่าพี่แพรวเตือนเด็กฝึกงานคนนั้นหน่อยนะครับวันนี้เกือบทำผมเสียเรื่อง" คีตะไม่ได้โกรธมากแต่ก็ไม่ชอบใจอยู่เหมือนกัน
"ได้พี่จะไปคุยให้ เด็กมันใหม่น่ะอย่าถือสาเลย" แพรวพราวประนีประนอมเพราะสงสารพวกเด็กๆที่เป็นแค่พนักงานพาร์ทไทม์
"ถ้าเขามีปัญหาอีกช่วยเอาเขาไปทำงานที่กองอื่นนะครับ ผมรู้สึกว่าเขาดูแปลกๆ" คีตะมองว่ามนต์ชญาชอบทำอะไรแปลกเสียจนเขาคิดว่าอาจจะเกิดปัญหาหรือสร้างอารมณ์ขุ่นมัวให้กับเขาได้อีก เรียกง่ายๆว่าไม่ทับใจในตัวเธอเอาเสียเลย
สิ้นคำพูดของคีตะ แพรวพราวได้เดินออกไปเพื่อจะไปคุยกับมนต์ชญาเขาก็เกิดอาการแปลกๆอีกแล้ว
"หาววว ทำไมง่วงอย่างนี้นะ" คีตะเอามือปิดปากที่กำลังหาวและทำท่าบิดขี้เกียจจนเสียงกระดูกดังกรอบแกรบ
"หลับสิ หลับสิ" เสียงเย็นยะเยือกกังวานดังในหัวเขา จนเขาเอนตัวลงบนโซฟานั่งเล่นในห้องแต่งตัวและเผลอหลับไปในที่สุด
..........................................................