“ดาว ฉันเข้าไปนะ” วิภวาเดินมาหาดุจดาวถึงบ้าน และเมื่อได้คำตอบจากเจ้าของบ้านว่า บุตรสาวอยู่บนห้อง เธอจึงรีบขึ้นมาหาเพื่อน
“แกมีไร” คนที่ถูกกวนด้วยการดึงผ้าห่มออกถามขึ้นด้วยน้ำเสียงติดงอนเล็กน้อย พร้อมกับดึงผ้าจากมือเพื่อนกลับมาซุกตัวห่มตามเดิมหันหลังให้กับคนที่ยืนอยู่ แล้วหลับตาลงอีกครั้ง
“ฉันโทรหาแก แล้วแกไม่รับ ก็เลยต้องมาหาถึงบ้านไง” กว่าวิภวาจะเห็นข้อความต่อว่าจากเพื่อนสาว ก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว พอโทรกลับก็ไม่รับ เข้าใจว่าคงงอน พอเช้าโทรหาก็ยังคงไม่รับ เลยต้องรีบมาทำความเข้าใจกับเพื่อน
“ฉันหลับเลยไม่ได้รับ” เป็นปกติอยู่แล้วที่ก่อนนอน เธอจะปิดเสียงสายเรียกเข้ามือถือ แต่เมื่อคืนไม่ทันได้ปิด มือถือมันอยู่อีกห้อง จึงไม่ได้ยิน
“เห็นพ่อฉันบอกว่า พอแกรู้ว่าฉันไม่อยู่ก็กลับเลยนี่ แล้วแกไปอดหลับอดนอนจากไหน” วิภวาถามบิดาตั้งแต่ลงจากรถมารดาที่ขับมาส่ง
ร่างที่นอนเหยียดยาวบนเตียง พลิกตัว หันมาสบตาเพื่อน แล้วถอนหายใจออกมา “ฉันก็ดูซีรีย์คนเดียวไง” ไม่วายประชดออกไปเล็กน้อย โทษฐานที่เป็นต้นเหตุให้ร่างกายของเธอร้าวระบมไปหมด
“บ้า มันจบตั้งแต่ห้าทุ่มนะ” น้ำเสียงเจือไปด้วยความรู้สึกผิด ที่ผิดนัดกับเพื่อน แล้วยังไม่โทรบอก
“เหงาไง เลยดูซีรีย์จีนต่อ” ดุจดาวไม่จบ แซะเพื่อนต่ออีกนิด ก็พ่อของเจ้าตัวเป็นคนทำให้ร่างบอบบางของเธอปวกเปียกแบบนี้ไง
“งั้นแกนอนต่อ เดี๋ยวฉันนั่งรอ ตื่นแล้วไปหาไรกินกัน ฉันเลี้ยงไถ่โทษเอง”
“ไม่ต้อง ฉันตื่นแล้ว รออาบน้ำแป๊บ” ดุจดาวลุกจากที่นอน ลากสังขารเข้าห้องน้ำ หวังจะให้น้ำเย็นปลุกความสดชื่นให้ เพราะตอนนี้หิวเหลือเกิน ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวานเย็น มีแต่เอ็นอุ่นท่อนเดียว
หญิงสาวถูกนายทหารจอมอึดดูดกลืนวิญญาณไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ รู้แต่ว่าร่างกายเหมือนล่องลอยอยู่บนสรวงสวรรค์เวลาแล้วเวลาเล่า จวบจนใกล้สว่าง จึงถูกปลุกให้กลับบ้านก่อนที่คนในบ้านของเธอจะตื่น หากกลับช้าอาจเจอวิภวาที่กลับบ้านมาพอดี ก็ไม่รู้จะให้เหตุผลอะไรที่มานอนค้างโดยที่เพื่อนไม่อยู่บ้าน หรือแม้แต่คนที่บ้านเธอก็คงแปลกใจที่เธอจะกลับบ้านเร็ว หากไปค้างบ้านวิภวา ดังนั้นการกลับก่อนทุกคนตื่น ทำเหมือนนอนที่บ้านคงจะดีที่สุด
พันเอกจิรกิจจึงขับรถมาส่งเธอที่หน้าบ้าน รอจนเธอเข้าบ้านเรียบร้อย เขาจึงขับรถกลับไป แล้วตัวดุจดาวก็พาร่างที่แทบจะเหลือแต่กายหยาบทิ้งตัวลงบนเตียง นอนตั้งแต่ตอนนั้น จนมาถึงตอนนี้ ซึ่งเป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว เธอพอจะคุ้น ๆ อยู่ว่า เมื่อเช้าแม่ขึ้นมาปลุกไปกินข้าว สงสัยจะเห็นรองเท้าเธอ เลยรู้ว่าอยู่บ้าน แต่เธอก็ล้าเกินกว่าจะหอบร่างอ่อนระโหยลงไปร่วมโต๊ะกับพ่อแม่
“ยัยดาว ใกล้ถึงบ้านยัง” วิภวากรอกเสียงลงในสายทันทีที่เพื่อนกดรับโทรศัพท์
”มีไรเปล่า กำลังจะลงรถไฟฟ้าแล้ว” ดุจดาวยืนอยู่ตรงประตูรถไฟฟ้าเพื่อเตรียมจะลงในสถานีที่จะถึงนี้แล้ว ถามว่ารับสายแล้วไม่กลัวล้มเหรอ บอกเลยว่าไม่ ก็เธอรู้จักการบาลานซ์น้ำหนัก การทรงตัวจึงดีเลิศ ฝึกยืนมาตั้งแต่มัธยมต้นแล้วนี่
“แกเลยมาบ้านฉันเลยนะ ไม่รู้ว่าวันนี้ตาผู้พันนึกเฮี้ยนอะไรขึ้นมา บอกอยากกินชาบู นี่เลิกงานปุ๊บ แวะซื้อของกลับมาเลยนะ ฉันเตรียมของเสร็จหมดแล้ว รอแค่แกมาตามคำเชิญของท่านพ่อ ฉันก็จะได้กินแล้ว” เวลาที่ลูกสาวอยากจะนินทาพ่อ มักจะใช้สรรพนามตามยศ ตอนแรกก็ไม่ได้บอกให้ตามเพื่อนรักมากินด้วยกัน แต่พอเธอกำลังจะจุ่มหมูลงไปเท่านั้นแหละ ถูกเบรกจนหัวทิ่ม
”เออ ฉันก็หิวแล้วว่ะ เดี๋ยวโทรบอกแม่ก่อน แกต้มผักรอได้เลย” ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ถูกสูบวิญญาณไป นี่ผ่านมาสี่วันแล้วที่เธอไม่ได้เจอตาผู้พันของวิภวาเลย อันที่จริงเธอก็กระอักกระอ่วนใจที่ต้องไปเจอหน้ากัน แต่เธอไม่กล้าปฏิเสธเพื่อน เพราะมันจะผิดปกติทันที ทุกครั้งที่ถูกชวนไปบ้าน เธอไม่เคยปฏิเสธสักครั้ง เว้นแต่ไม่อยู่จริง ๆ
‘เห้อ ต้องทำหน้าแบบไหนไม่ให้มีพิรุธ จนยัยจ๋าจับได้เนี่ย’ ดุจดาวที่วางสายจากแม่แล้ว เดินบ่นพึมพำลงมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้ายของสถานี
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้เจ้าของบ้าน เมื่อเปิดประตูเข้ามาแล้ว ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับเป็นรอยยิ้มมุมปาก พร้อมกับสายตาเจ้าชู้โลมเลียอย่างโจ่งแจ้ง ที่ดูขัดกับบุคลิกเคร่งขรึมตามแบบฉบับผู้พันจอมเฮี้ยบของเหล่าลูกน้อง แล้วก่อนหน้านี้ที่เธอเคยเห็นภาพพ่อเพื่อนมีความสุขุม คืออะไร ยัยจ๋าจะรู้ไหมว่าตัวตนของบิดา แท้จริงเป็นอย่างไร
วิภวาที่จดจ่ออยู่หน้าหม้อได้แต่คีบผักที่เพื่อนชอบใส่ชาม คีบเนื้อสัตว์ให้พ่อ จนเต็มชาม จึงไม่ทันได้เห็นสายตากรุ้มกริ่มของผู้ชายคนเดียวบนโต๊ะ
“กินค่ะพ่อ กิน ยัยดาว” สั่งทั้งพ่อทั้งเพื่อนเสร็จก็ลงมือคีบสารพัดเนื้อสัตว์ที่พ่อซื้อมาใส่ปากพลางพ่นลมร้อนที่ลวกปากอยู่เนือง ๆ ออกมาด้วย
“อะ ดาว กุ้งหน่อยนะ” ว่าพลางยื่นตะเกียบที่ด้านปลายมีกุ้งเนื้อขาวใสหางสีส้มคืบติดอยู่ หย่อนลงชามเพื่อน คราวนี้ผู้พันซื้อเป็นกุ้งเด้งแช่แข็งมา ไม่ได้ซื้อกุ้งสดให้ลำบากคนกินต้องมานั่งแกะ
“แกกินไปเถอะ เดี๋ยวฉันทำเองได้ หรือไม่ก็ทำให้ผู้พันโน่น” ท้ายประโยคปรายสายตาไปทางนายทหารใหญ่หุ่นแซ่บ
"แล้วพ่อไม่กินเหรอ ไหนบอกอยากกิน” มองในชามบิดายังไม่มีอะไรพร่องลงจากที่เธอคีบให้เลย โดยไม่ได้ดูสายตาคนเป็นพ่อเลยว่าเพ่งอยู่กับเพื่อนสาว
"พ่ออยากได้เบียร์ จ๋าไปหยิบให้พ่อที"
เมื่อลูกสาวลุกจากโต๊ะไปแล้ว เขารีบถามหญิงสาวทันที “ทำไมไม่แวะมาบ้านนี้บ้างเลย”
จิรกิจเลิกงานปุ๊บ รีบกลับบ้านปั๊บ เพื่อมารอเจอหน้าสาวสวย จนถูกลูกน้องใต้บังคับบัญชาแซว แต่เธอไม่มาสักวัน จึงต้องคิดแผนการชาบูขึ้น
ด้านดุจดาวก้มหน้างุด อ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบว่าอะไร ก็มันกระอักกระอ่วน จากพ่อเพื่อนเลื่อนสถานะเป็นแดดดี้บนเตียง จะเรียกพ่อแต่ละครั้งมันไม่สนิทปากเหมือนก่อน
“เอ่อ… พ่อมีอะไรคะ” ในที่สุดก็มีคำพูดหลุดออกมาจนได้
“ปกติมาหายัยจ๋าเกือบทุกวัน ก็แค่เห็นว่าแปลกไป” อยากจะบอกว่าคิดถึงเรือนร่างเย้ายวนใต้ชุดนักศึกษานี้เหลือเกิน แต่ไม่อยากเสียฟอร์ม
แล้วการสนทนาเป็นอันต้องยุติ ต่างคนต่างก้มหน้าลงมองชามตัวเอง คืบอะไรขึ้นมาได้ รีบใส่ปากเคี้ยว เมื่อได้ยินเสียงเปิดกระป๋องเบียร์ใกล้มาถึงโต๊ะ
มื้ออาหารจบลงด้วยดี เพราะมีตัวกลางอย่างวิภวาชวนคนโน้นคุยทีคนนี้คุยที โดยไม่ทันสังเกตปฏิกิริยาที่แปลกไปของเพื่อนที่มีต่อพ่อเลย
“จ๋า เดี๋ยวพ่อจะออกไปหาเพื่อนหน่อย คงกลับดึกเลย จ๋าล็อกบ้านเลยนะ แล้วดาวออกไปพร้อมพ่อเลย เดี๋ยวแวะส่งที่บ้าน” เผด็จการของผู้พันสั่งทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อย คงลืมไปว่าที่นี่เป็นบ้าน ไม่ใช่ค่ายทหาร
“ดาวเดินกลับเองดีกว่าค่ะ ขอช่วยจ๋าล้างจานก่อนนะคะ” ดุจดาวปฏิเสธทันที แม้เรื่องราวคืนก่อนยังตราตรึงในความรู้สึก จนสะบัดร้อนสะบัดหนาวอยู่หลายครั้ง แต่เธอไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก หากเพื่อนรู้ จะมองหน้ากันไม่ติดเสียเปล่า ๆ
“แกกลับออกไปพร้อมพ่อนั่นแหละ ฉันล้างคนเดียวได้ แค่นี้เอง” เห็นพ่ออยู่ติดบ้านมาหลายวันแล้ว จึงคิดว่าวันนี้พ่อน่าจะนัดคู่ขาออกไปทำกิจกรรม เพราะพ่อรู้ว่าเธอไม่ชอบคนชื่อก้อย จึงไม่พามาเจอบ่อยนัก
ดุจดาวอิดออดเล็กน้อย แต่พอเพื่อนคะยั้นคะยอให้ไป เธอจึงต้องจำใจขึ้นรถออกไป ระยะระหว่างบ้านหลังนี้ไปจนถึงบ้านเธอห่างกันไม่ถึงสองร้อยเมตร ระหว่างอยู่บนรถ เธอไม่พูดอะไร เขาก็ไม่พูด จนกระทั่งรถเลยซอยบ้านเธอไปแล้ว
“ทำไมพ่อไม่จอดให้ดาวลงคะ”
“พูดได้แล้วเหรอ” คำถามนี้ทำเอาหญิงสาวกัดริมฝีปากแน่นจนขึ้นเป็นรอยฟัน แต่เขาก็ไม่คิดจอด จนรถวิ่งออกสู่ถนนสายหลัก
"จะพาไปไหนคะ ดาวจะกลับบ้าน"
ไม่มีคำตอบใด ๆ จากริมฝีปากหนาที่เธอจ้องรอคำตอบ กระทั่งรถเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ไม่นานรถคันโตก็มาจอดนิ่งในม่านรูดหรูแห่งหนึ่ง คิดไว้แล้วว่า มันคงต้องมีอะไร ถึงได้คะยั้นคะยอให้เธอติดรถออกมาด้วยนัก
“พ่อจ๊อดพาดาวมาที่นี่ทำไมคะ” คำถามโง่ ๆ ที่พ่นออกไป ทำเอาคนฟังหันมายิ้ม
“ไม่รู้จริง” ลงท้ายด้วยเสียงสูงเป็นคำถาม จนหญิงสาวต้องทำเสียงจิ๊ปากออกมา
“ลงมาได้แล้ว” ผู้พันหนุ่มใหญ่ลงมาเปิดประตูฝั่งข้างคนขับ เรียกเพื่อนลูกสาวลงจากรถ แต่ดูเธอยังอิดออด “เร็ว เดี๋ยวดึกนะ”
อย่างไรซะ วันนี้คงไม่รอดพ้นจากคนตรงหน้าแล้ว ดุจดาวจึงลงจากรถ เลื่อนเปิดประตูเข้าห้องพัก โดยมีหนุ่มใหญ่หัวเกรียนเดินตามมา