ริมชายฝั่งแม่น้ำเจ้อ
แม่น้ำเจ้อเป็นชื่อที่ใช้เรียกของแม่น้ำเฉียนถังในยุคโบราณ ก่อนจะมาเปลี่ยนชื่อเป็นเฉียนถังในยุคราชวงศ์หมิง แม่น้ำสายใหญ่มีพื้นที่กว้างใหญ่ยิ่งนัก และกระแสน้ำในช่วงนี้เงียบสงบไม่เชี่ยวกรากจึงทำให้ชาวบ้านที่อยู่อาศัยในละแวกดังกล่าว ต่างพากันออกมาหาปลาเพื่อนำไปทำอาหารดำรงชีวิตประจำวัน
กระท่อมหลังน้อยสร้างห่างจากชายฝั่งแม่น้ำออกไปไม่ไกลเท่าใดนัก ภายในกระท่อมดังกล่าวมีหนิงฮูหยินและหลานชายอาศัยอยู่กันตามลำพังย่าหลาน นางเป็นชาวต้าฉินโดยกำเนิด
บุตรชายสิ้นชีพในสงครามศึกชิงเมืองหยงกวนเมื่อหกปีก่อน ในขณะที่เหวินไต้สามีของนางได้เสียชีวิตลงเมื่อปีที่แล้วด้วยโรคประจำตัว
ทำให้หนิงฮูหยินต้องอยู่กับหลานชายวัยเพียงแปดขวบอยู่ตามลำพังภายในกระท่อมดังกล่าว ซึ่งเด็กชายก็ช่างรู้งานเสียเหลือเกิน ไม่ดื้อไม่ซน มิหนำซ้ำยังฉลาด ช่างเจรจาและมีความกตัญญูเป็นที่สุด แม้ว่าจะมีอายุเพียงแค่แปดขวบแต่กลับแบ่งเบาภาระหนิงฮูหยินได้เป็นอย่างดี
ทั้งตักน้ำ หุงข้าว ทำอาหารหรือแม้กระทั่งออกหาของป่ารวมไปถึงออกหาปลา เด็กน้อยเหวินฉีก็สามารถทำได้เกินอายุแปดขวบที่ส่วนใหญ่จะหมดไปการวิ่งเล่นสนุกไปวันๆ และในวันนี้ช่วงเวลาที่กระแสในแม่น้ำเจ้อเงียบสงบ เหวินฉีออกไปหาปลาที่ชายฝั่งริมแม่น้ำเพื่อนำกลับมาให้หนิงฮูหยินทำน้ำแกงปลาและทำอาหารอื่นๆ
“ท่านย่า! ท่านย่าขอรับ! ท่านย่า!”เสียงของเด็กน้อยเหวินฉีร้องเรียกย่าของเขาเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ
ในขณะที่หนิงฮูหยินกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหาร ซึ่งมีคนมาว่าจ้างนางโดยไม่บอกอะไรทั้งสิ้นโดยหนิงฮูหยินต้องทำอาหารให้เป็นประจำทุกวันทั้งหมดห้ามื้อในแต่ละวัน ซึ่งนางจะได้รับค่าจ้างวันละห้าเต้าปี้ทุกวัน เมื่อรวมทุกวันจะได้เงินมากถึง 150 เตาปี้นับได้ว่าสูงมากเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้หนิงฮูหยินจึงรับทำอาหารโดยไม่รีรอตามคำสั่งที่มาพร้อมกับเงินค่าจ้างและวัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหาร ซึ่งนางไม่เคยล่วงรู้เลยว่าอาหารที่ทำออกไปทุกวันนั้น แท้จริงแล้วนำไปให้แม่ทัพใหญ่อินลี่ซาน ซึ่งตั้งค่ายทหารอยู่ตรงปากแม่น้ำเจ้อไม่ไกลจากกระท่อมของหนิงฮูหยินมากนัก ซึ่งตั้งอยู่ช่วงกลางของแม่น้ำ
โดยผู้ที่ว่าจ้างหนิงฮูหยินให้จัดอาหารดังกล่าวก็คือเหรินหาว รองแม่ทัพคนสนิทของอินลี่ซาน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการลอบสังหารเหล่าขุนพลเทพของเจาอ๋อง ไม่ให้เกิดการวางยาใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นยาพิษ ยาทำลายวรยุทธ์และอื่นๆ อีกมากมายสารพัดวิธีซึ่งมาจากฝ่ายศัตรูที่ถูกแม่ทัพทมิฬนำกองทัพบุกเข้ายึดครองมาแล้วมากมาย จึงทำให้ต้องคอยดูแลเรื่องอาหารของเหล่าขุนพลเทพซึ่งเป็นแม่ทัพของเจาอ๋องอย่างเคร่งครัด
ด้วยเพราะเคยเกิดเหตุการณ์กับแม่ทัพระดับเทพสงครามของเจาอ๋อง ถูกวางยาทำลายวรยุทธ์ในอาหารก่อนจะทำการออกรบจนทำให้สิ้นชีพในขณะทำสงคราม ทำให้สงครามในครั้งนั้นกองทัพของต้าฉินถูกกำลังทหารของอีกฝ่ายสังหารหมดทั้งกองทัพสูญเสียกำลังทหารไปถึงสามหมื่นนายเลยทีเดียว
และนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์นั้น เจาอ๋องจึงมีพระบัญชาลับให้จัดอาหารให้แก่ขุนพลเทพของพระองค์ทั้งหมดให้เป็นความลับอย่างสุดยอดโดยมอบหมายให้ผู้ที่ขุนพลเทพไว้ใจได้มากที่สุด ทำหน้าที่จัดเตรียมอาหารดังกล่าวและถ้าหากเกิดเหตุการณ์วางยาพิษขึ้นกับขุนพลเทพของพระองค์ในขณะทำสงครามจนสิ้นชีพ
ผู้ที่รับหน้าที่ดังกล่าวจะต้องถูกนำมาเผาทั้งเป็นและไม่ได้ตายเพียงแค่คนเดียวแต่จะถูกนำมาเผาทั้งเป็นจนหมดตระกูลทั้งคนรับหน้าที่จัดหา รวมไปถึงคนที่มีหน้าที่ปรุงอาหารไม่มีผู้ใดได้รับการยกเว้นแม้แต่เพียงผู้เดียว
และในการทำสงครามระหว่างต้าฉินและต้าอวี๋ ค่ายทหารของแม่ทัพทมิฬมาตั้งอยู่ตรงปากแม่น้ำเจ้อซึ่งทั่วทั้งสองริมฝั่งแม่น้ำเจ้อชาวบ้านที่สร้างบ้านเรือนอยู่แถบบริเวณนั้นส่วนใหญ่จะมาจากต่างแคว้นที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากในต้าฉิน
จวบจนกระทั่งเหรินหาวมาพบหนิงฮูหยินขณะที่กำลังยืนขายบะหมี่อยู่ในตลาดตรงปากแม่น้ำเจ้อและได้มีโอกาสชิมรสชาติบะหมี่ของนางที่ขึ้นชื่อว่าล้ำเลิศที่สุดในย่านนั้น
ซึ่งอินลี่ซานจะกินอาหารที่มีรสชาติหลากหลาย จะไม่ติดเค็มดั่งเช่นชาวต้าฉินทั่วไปที่นิยมกินอาหารหนักไปทางเค็มเสียส่วนใหญ่อีกทั้งหนิงฮูหยินและครอบครัวนั้นเป็นชาวต้าฉินตั้งแต่กำเนิดจึงถูกเหรินหาวยื่นข้อเสนอให้จัดเตรียมอาหารตามคำสั่งด้วยค่าจ้างที่ยืนขายบะหมี่ทั้งวันจนขาแข็งก็ยังไม่ได้เงินมากมายถึงเพียงนี้
และเพราะเหตุนี้เองหนิงฮูหยินจึงมีหน้าที่จัดเตรียมอาหารให้กับแม่ทัพทมิฬผู้กล้านับตั้งแต่กองทัพเข้ามาตั้งค่ายตรงปากแม่น้ำเจ้อรวมระยะเวลามานานกว่าสองปีแล้ว โดยมีเหรินหาวทำหน้าที่มารับอาหารที่กระท่อมหนิงฮูหยินเพียงคนเดียวตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
“มีอะไรฉีเอ๋อร์!”หนิงฮูหยินตะโกนออกมาจากเรือนครัวพร้อมก้าวออกมาจากประตู พลางยืนมองหลานชายกำลังวิ่งหน้าตาตื่นตรงเข้ามาหานาง
“ค่อยๆ เดินมาก็ได้ แล้วนี่มีอะไรเหตุใดจึงได้วิ่งหน้าตาตื่นมาแบบนี้”หนิงฮูหยินในวัย 59 ปี ถามหลานชายกลับไป
ในขณะที่หลานชายตัวน้อยหยุดยืนอยู่เพียงครู่เพื่อพักให้หายเหนื่อยก่อนจะรีบสืบเท้าเข้าไปหาหนิงฮูหยิน
“ท่านย่าตรงชายฝั่งมีศพผู้หญิงลอยน้ำมาติดอยู่ริมฝั่งขอรับ”เหวินฉีอธิบายในสิ่งที่เพิ่งไปพานพบมา
“ศพผู้หญิงอย่างนั้นเหรอ! เป็นไปได้อย่างไงกัน”หนิงฮูหยินพูดออกมาด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
สาเหตุเพราะในเวลานี้มีการทำสงครามระหว่างต้าฉินและต้าอวี๋ หากมีศพลอยน้ำมาส่วนใหญ่จะเป็นบุรุษจากกองทหารของทั้งสองฝ่าย ศพของสตรียังไม่เคยมีมาก่อนและถ้าหากมีศพลอยน้ำมาไปเกาะติดอยู่ที่ใด
บรรดาชาวบ้านที่ตั้งรกรากอยู่บริเวณสองริมฝั่งจะทำการเก็บศพนั้นขึ้นมาจากแม่น้ำให้เร็วที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้ซากศพเหล่านั้นเน่าเปื่อยอยู่ภายในแม่น้ำเป็นอันขาด เพราะชาวบ้านที่อาศัยอยู่สองริมฝั่ง ต่างต้องอาศัยน้ำหล่อเลี้ยงชีพทั้งอาบและดื่มกินในแต่ละวัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของทุกแคว้น
“รีบพาย่าไปฉีเอ๋อร์ เจ้าไปเอาไม้ขุดดินที่วางอยู่ติดประตูครัวไปด้วย เจ้ากับย่าจะต้องช่วยกันฝังศพนาง”หนิงฮูหยินบอกหลานชายพร้อมฉวยไม้ขุดดินที่วางอยู่ตรงโคนไม้อีกหนึ่งอันถือติดมือไปเพื่อขุดหลุมฝังศพเดินนำหน้าไปก่อน
“ขอรับท่านย่า”เหวินฉีตัวน้อยรับคำอย่างแข็งขันพลางพยักหน้า ก่อนจะวิ่งตรงไปที่โรงครัวฉวยไม้ขุดดินติดมือกลับมาวิ่งตามหลังหนิงฮูหยินไปติดๆ