“คะนิ้ง!”
อาโยออกมาเปิดประตูรั้วหลังจากฉันกดกริ่งไปสองครั้ง ทำหน้าตกใจแกมอึ้งที่เห็นฉัน มือรีบดึงประตูรั้วออก เดินออกมาคว้ามือฉันไปจับเอาไว้มองสารรูปฉันด้วยท่าทางสับสน
“คะนิ้งจริงๆ ด้วย....”
“อาโย พ่อละค่ะ”
“ไปทำงานน่ะลูก คะนิ้งหายไปไหนมาตั้งหลายวัน รู้ไหมอากับพ่อเป็นห่วงแค่ไหน”
“เอ่อ อาโยคะค่าแท็กซี่”
“อ้อ....” อาโยมองแท็กซี่ที่เปิดไฟกะพริบอยู่ด้านหลังฉันอย่างเข้าใจ ชะโงกหน้าไปบอกคนขับให้รอครู่หนึ่งแล้วค่อยหันกลับมาจูงมือฉันเข้าบ้าน
“คะนิ้งนั่งรอนี่นะ อาเอาเงินไปจ่ายค่ารถให้”
ฉันพยักหน้าหลังจากถูกอาโยจับตัวให้นั่งลงบนโซฟาในห้องโถงชั้นล่าง รอแป๊บหนึ่งร่างอวบอิ่มได้ทรวดทรงในวัยสามสิบปลายก็เดินกลับเข้ามา ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ
“คะนิ้ง.... ไหนเล่ามาสิมันเกิดอะไรขึ้น”
อาโยมองสำรวจเนื้อตัวฉันแล้วเอ่ยถามตรงๆ ฉันมองสบแววตาเป็นห่วงเป็นใยของคนตรงหน้าอย่างรู้สึกจุกตันในคอ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ดีใจที่กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยแต่อีกใจก็หวาดกลัวที่จะเล่าความจริง ถ้าอาโยรู้ว่าฉันหายไปเพราะเพนนีเป็นสาเหตุอาโยจะรู้สึกยังไง.... ฉันไม่อยากทำให้ครอบครัวมีปัญหา
พอเห็นฉันอ้ำอึ้งเอาแต่อมพะนำไม่ยอมพูดออกมาสักที อาโยก็เอ่ยขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว
“ประมาณสามสี่วันก่อนคุณพี่บอกว่าคะนิ้งไลน์มาว่าไปออกค่ายต่างจังหวัด แต่อากับคุณพี่คิดว่ามันแปลกๆ เกรงว่าจะเกิดอะไรไม่ดีกับคะนิ้ง นี่อาดีใจนะที่หนูกลับมาบ้านแต่ว่าทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ นี่มันเสื้อผ้าผู้ชายไม่ใช่เหรอ?”
“เอ่อ.... นิ้ง.... นิ้งยืมเพื่อนมาใส่ค่ะอาโย”
“เพื่อน? นิ้งอยู่กับเพื่อนผู้ชายเหรอ”
“อึก ปะเปล่า.... คือ” ฉันมองสบสายตาจ้องจับผิดของอาโยนิ่ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าริกกี้ไลน์มาบอกอะไรกับพ่อฉัน แต่ถ้าเป็นอย่างที่อาโยพูดงั้นก็คิดหาคำแก้ตัวง่ายหน่อย
“ใช่ค่ะ นิ้งไปออกค่ายที่ต่างจังหวัด มันปุบปับมากค่ะ ขนาดนิ้งยังงงๆ อยู่เลย แล้วตรงที่ไปก็ไม่ค่อยมีสัญญาณด้วยก็เลยไม่ได้ติดต่อ ซวยกว่านั้นคือนิ้งทำโทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์หาย เสื้อผ้าก็ยืมของเพื่อนใส่ นิ้งลำบากจริงๆ นะคะอาโย”
อาโยฟังที่ฉันปั้นน้ำเป็นตัวนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมองสีหน้าเคร่งเครียดของอาโยอย่างลุ้นตามว่าจะเชื่อหรือเปล่า เพราะฉันไม่เคยพูดโกหกเลย อาจจะโดนจับพิรุธก็ได้
“โถลูก.... เป็นแบบนี้เองเหรอ” เธอลูบหัวฉันอย่างเห็นใจ
นี่คือ.... เชื่อแล้วใช่ไหม?
ฉันกะพริบตาปริบ ยิ้มเจื่อนๆ ให้อาโยอย่างรู้สึกผิดที่ไม่ได้เล่าความจริง แต่ถ้าพ่อกับอารู้ว่าฉันโดนยิงมาคงวุ่นวายแน่ๆ ดีไม่ดีอาจต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ฉันไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แค่ได้กลับบ้านก็รู้สึกขอบคุณมากแล้วจริงๆ หวังว่าหลังจากนี้จะไม่ได้เจอกับหมอนั่นอีก ช่วยหายไปจากชีวิตฉันทีเถอะริกกี้
หลังจากนั้นอาโยก็ไล่ฉันให้มาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อน ฉันทำตามอย่างไม่อิดออด เพราะรู้สึกเหนื่อยอยู่แล้ว อาบน้ำเสร็จพอดี เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“อาคิดว่านิ้งน่าจะหิวก็เลยยกอาหารมาให้จ้ะ”
ประตูไม่ได้ล็อก และอาโยก็เปิดเข้ามาหลังเคาะเรียกสองทีโดยไม่ได้รอให้ฉันเอ่ยปากบอก ฉันกำลังนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกหันไปมอง อาโยวางถาดอาหารลงบนโต๊ะโซฟาในห้อง
“อะไรอ่ะ เยอะแยะเลย”
“สปาเกตตีกับคัพเค้ก อาเพิ่งอบเสร็จเมื่อเช้า สดใหม่เลยนะ ทานเยอะๆ ล่ะถ้าไม่อิ่มมีอีกในครัว”
“น่าทานมากๆ” ฉันหยิบคัพเค้กที่เป็นหน้าผลไม้รวมขึ้นมากัดอย่างรู้สึกหิว เคี้ยวหง่ำๆ เต็มปาก กลืนทีนี่ถึงกับเจ็บแปล๊บที่หน้าอก ลืมตัวว่ามีแผลอยู่....จะทำอะไรก็ต้องทำเบาๆ จะได้ไม่สะเทือน เมื่อกี้ที่อาบน้ำอย่างลำบาก ต้องคอยกันน้ำไม่ให้มาโดนแผล แต่ก็มีแอบโดนบ้างแบบควบคุมไม่ได้จริงๆ
“เป็นไงอร่อยไหม?”
“อื้ม มากที่สุดค่ะ” ฉันยกนิ้วให้อาโย วางห่อคัพเค้กที่เหลือแต่เปลือกลง ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มล้างคอแล้วหันไปหยิบส้อมจิ้มสปาเกตตีต่อ อาโยมองฉันทานเงียบๆ ด้วยสายตาเอ็นดูครู่หนึ่งก็ขอตัวลงไปทำอะไรต่อข้างล่าง พอทานข้าวอิ่ม ฉันไม่ลืมหายาแก้ปวดทานแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ยกมือที่มีรอยเข็มน้ำเกลือขึ้นมอง พอกลับมาอยู่บ้านแล้วเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฝันร้ายเลยแฮะ
ฉันจับแผลที่อกตัวเองเบาๆ คิดไปคิดมาก็นึกได้ว่าลืมถามเรื่องเพนนีจากอาโยเลยแฮะ ไม่รู้ยัยนั่นจะกลับมาบ้านหรือยัง ฉันลดมือที่มีรอยเข็มลง หลับตาและเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงอาโยเรียกใกล้ๆ
“คะนิ้ง.... มีเพื่อนมาหาน่ะลูก”
“คะ? ใครน่ะ”
ฉันงัวเงียลุกขึ้น มองหน้าอาโยอย่างมึนงง นึกไม่ออกว่าใครมาเพราะฉันไม่ได้บอกใครเลยเรื่องที่หายตัวไป จะมีก็แต่ยัยเค้ก.... แต่ตอนที่โทรไปฉันใช้โทรศัพท์ห้องริกกี้แถมไม่ได้คุยกันสักแอะเลยด้วยซ้ำ
เพราะงั้นตัดยัยเค้กออกไปได้เลย ถึงแบบนั้นก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี ฉันพยักหน้าให้อาโยอย่างเข้าใจ ลุกเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเสร็จค่อยเดินลงมาข้างล่าง หัวยังไม่หายตึงเลยด้วยซ้ำ
“....อาไม่เคยเห็นหน้าเลยนะ แต่ปกติคะนิ้งก็ไม่ค่อยพาใครมาที่บ้านอยู่แล้ว เป็นเพื่อนในคณะกันเหรอ”
“ครับ”
เสียงพูดคุยดังมาให้ได้ยิน ฉันหยุดยืนอยู่หน้าห้องโถงร่างกายแข็งทื่อ.... หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อปะทะสายตาเข้ากับคนที่นั่งคุยอยู่บนโซฟากับอาโยอย่างลอยหน้าลอยตา
ริกกี้
“อ่ะ คะนิ้งมาแล้ว.... งั้นอาให้ทั้งสองคุยกันดีกว่าเนอะ ตามสบายนะจ๊ะ ถ้าอยากได้ขนมเพิ่มก็บอกคะนิ้งนะอาขอตัวไปทำงานบ้านก่อน”
“ครับ”
ริกกี้เอ่ยอย่างสุภาพ รอยยิ้มใสซื่อแบบนั้นไม่เหมาะกับใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเขาเลยสักนิด ฉันมองอาโยเดินออกไปอย่างใจหายใจคว่ำ อยากจะขอความช่วยเหลือแต่ปากมันไม่ยอมขยับเหมือนมีอะไรกดถ่วงเอาไว้ จนร่างของอาโยหายวับไปจากประตู ริกกี้ก็ส่งสายตาเย็นยะเยือกมาทางฉันทันที ฉันหันหลังกลับจะวิ่งหนีขึ้นห้องก็โดนหมอนั่นที่ไม่รู้ลุกจากโซฟาตั้งแต่เมื่อไหร่ถลันเข้ามาคว้าแขนเอาไว้
“คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ”
“ปล่อย! นี่มันบ้านฉันนะ”
“แล้วไง?”
ริกกี้พูดด้วยเสียงที่กดต่ำ จ้องฉันด้วยสายตาดุดัน ฉันเม้มริมฝีปากแน่นพยายามแกะมือเขาออกอย่างกระวนกระวาย ทั้งหวาดกลัวคนตรงหน้า ทั้งกังวลว่าอาโยจะเข้ามาเจอ
“นายต้องการอะไร”
ฉันพยายามตั้งสติ มองเขาด้วยสีหน้าเจ็บปวด ริกกี้แสยะยิ้มเลือดเย็นกระชากฉันเข้าไปใกล้ยิ่งกว่าเดิมจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ของเขา
“เธอไง”
ฉันสะดุ้งเฮือกเพราะแรงกระชากกะทันหันของริกกี้
“ไปกับฉัน!”
“นี่! ปล่อยฉันนะ” ฉันขัดขืน แต่ทุกครั้งที่ดึงรั้งและสะบัดข้อมือแผลที่อกก็จะปวดหนึบ เรี่ยวแรงที่มีก็ลดฮวบลงไปอีก สุดท้ายก็โดนลากออกมาถึงรั้วหน้าบ้านโดยที่อาโยอยู่ในบ้านไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด ฉันก็ไม่กล้าโวยวายเสียงดังเพราะไม่อยากให้อาโยแตกตื่น
นี่ฉันเรียงลำดับความสำคัญอะไรผิดไปไหมเนี่ย อันที่จริงฉันควรจะห่วงความปลอดภัยของตัวเองก่อนนะ
“อาโยช่วยอุ๊บ! อื้อ~~”
พอฉันคิดจะร้องให้อาโยช่วยริกกี้ก็เอามืออุดปากฉันราวกับรู้ทัน ฉันดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของหมอนั่นอย่างไม่ยอม จนเผลองับนิ้วที่เหลื่อมเข้ามาในปากไปเต็มเขี้ยว
“โอ๊ย!”
หมอนั่นตะโกนคำหนึ่ง ดึงมือออกไปสะบัดไล่ความเจ็บ แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้เปล่งเสียงตะโกน ริกกี้ก็คว้าต้นคอฉันไปปิดปากด้วยปากของเขาแทบจะทันที
อึก....
ริมฝีปากอุ่นชื้นเบียดแทรกเข้ามาปิดช่องว่างจนไม่เหลือพื้นที่ให้ลมลอดผ่าน ฉันเบิกตากว้าง เมื่อรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น รีบผลักไสหมอนั่นออกไป พอฉันเริ่มขัดขืนริกกี้กลับล็อกคอฉันแน่นขึ้นแล้วยัดลิ้นพรวดเข้ามาในปากไล่ต้อนรัดดึงกับลิ้นฉันอย่างดุเดือด ฉันขยุ้มอกหมอนั่นแน่นอย่างอกสั่นขวัญแขวน ทั้งอึดอัดและหายใจไม่ออก น้ำลายเหนียวๆ ไหลออกทางมุมปากทั้งสองอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ริมฝีปากถูกดูดกัดจนบวมเบ่งไปหมด พอริกกี้ผละออกห่างฉันก็แทบทรุดลงบนพื้นแต่เขารั้งท่อนแขนฉันเอาไว้ทำให้แค่เซไปชนกับอกแกร่งของเขาแทน
“ปล่อย!”
ฉันสะบัดแขนออกจากการจับกุมของหมอนั่นแต่เป็นฉันที่เจ็บตัวเองเพราะมันดันกระเทือนแผลที่อก จ้องหน้าริกกี้อย่างรังเกียจน้ำตาคลอเบ้า
“ทำบ้าอะไรของนาย โอ๊ย!”
ริกกี้คว้าข้อมือฉันไปจับแล้วกระชากให้เดินตามมาที่รถโดยไม่คิดจะพูดอะไรสักคำ สีหน้าของเขาเรียบตึงเหมือนไม่รู้สึกอะไรค่อนไปทางน่ากลัวหน่อยๆ
“ปล่อยนะ ว้าย!”
พลั่ก!
เขาเหวี่ยงฉันเข้ามาในรถ ร่างฉันอัดเข้ากับเบาะเต็มแรง จุกจนพูดไม่ออก ระหว่างนั้นร่างสูงก็เดินเร็วๆ ไปที่ประตูอีกฝั่งรู้สึกตัวอีกเขาก็เข้ามานั่งที่เบาะคนขับและรถก็ทะยานออกไปอย่างไว รวดเร็วจนฉันไม่มีโอกาสหนี แค่ขยับตัวให้เข้าที่เข้าทางเท้าหมอนั่นก็แตะคันเร่งไปแล้ว
“นี่นายจะพาฉันไปไหนน่ะ จอดรถเดี๋ยวนี้นะ”
ฉันโวยวายอย่างร้อนรน แต่ริกกี้ก็ไม่มีท่าทีว่าจะสนใจ เขายังคงมองตรงไปข้างหน้าด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“นี่!” ฉันขึ้นเสียงแหลมอย่างหมดความอดทน
“หุบปาก ถ้าไม่อยากตาย”
ไอ้บ้านั่นตะคอกกลับมาทีเดียวทำเอาฉันสะดุ้งไหว จ้องมองใบหน้าด้านข้างที่แข็งยะเยือกของเขาหัวใจสั่น ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ หมอนี่ถึงไปโผล่ที่บ้านฉันได้แล้วเขารู้ที่อยู่ฉันได้ไง?
เส้นทางออกสู่ต่างจังหวัดที่รถวิ่งผ่านด้วยความเร็วสูงสะกิดให้ฉันหันออกไปมองด้านนอกอย่างเพิ่งรู้ตัว ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำไปอยู่ที่ปลายยอดไม้ แดดอ่อนแสง เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่ายามเย็นกำลังจะมาถึง ฉันหันกลับมามองหน้าริกกี้อย่างกระวนกระวาย
“นี่นายจะไปไหน”
“เพชรบูรณ์”
“ห๊ะ!?”
“คาดเข็มขัด ถ้าไม่อยากอายุสั้น”
“เอ๊ะ กรี๊ด! ขับรถบ้าอะไรของนายเนี่ย อ๊ารถข้างหน้าๆ ระวัง เฮ้! จะชนแล้วววว”
พอคำสั่งบอกให้รัดเข็มขัดจบลงหมอนั่นก็กลายร่างเป็นตีนผีทันที จากรถที่เร็วอยู่แล้วเร็วขึ้นไปอีกแถมยังปาดไปปาดมา พุ่งผ่านไฟกะพริบตรงสี่แยกไฟแดงไปอย่างเฉียดฉิว ฉันร้องอย่างหัวใจจะวาย มือยึดขอบเบาะแน่น รีบรัดเข็มขัดนิรภัยทันที
ได้ยินเสียงริกกี้ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างรำคาญ แต่หมอนั่นต้องใช้สมาธิในการควบคุมรถจนไม่มีเวลามาโมโหฉัน
ไม่รู้ใช้เวลาเท่าไหร่ แม้แต่ปั๊มก็ยังไม่จอด ริกกี้ยิงยาวรวดเดียวมาถึงที่หมาย รู้สึกตัวอีกทีรถก็เบรกดังเอี๊ยดอยู่ข้างถนนบนเขาหัวโล้นลูกหนึ่งซึ่งฉันไม่รู้จัก แต่ได้ยินว่าเป็นที่เพชรบูรณ์ก็น่าจะเป็นภูเขาสักลูกในจังหวัดนี้ล่ะ
ว่าแต่เขามาทำอะไรที่นี่
ฉันมองออกไปด้านนอกรถอย่างมึนงง มีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย? งานชุมนุมอะไรหรือเปล่านะ....
ริกกี้ปลดสายเข็มขัดลงจากรถโดยไม่ดับเครื่อง ฉันหันกลับมามองตามร่างสูงที่เดินออกไป ยังไม่ทันหายตกใจด้วยซ้ำฉันปลดเข็มขัดนิรภัยออก ผลักประตูเปิดอย่างไม่สามารถใจเย็นนั่งอยู่ในรถคนเดียวได้
ปาร์ตี้ก็ไม่น่าใช่ ที่นี่ไม่มีเสียงเพลงเอิกเกริก รถที่ถูกปรับแต่งหลายคันจอดเรียงกันตามขอบถนนและจุดชมวิวจนเรียกได้ว่าแทบจะแน่นเอี๊ยด เหมือนพวกเขามาดูอะไรสักอย่างมากกว่า ฝนดาวตกหรือเปล่านะ? ฉันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เมฆครึ้มอย่างไม่ค่อยเชื่อถือความคิดนี้ของตัวเองเท่าไหร่ ตอนนั้นเองเสียงพูดก็ดังขึ้น
“ริกกี้ นั่นใครวะ”
ฉันหันไปมองทางเสียนั่นทันทีเพราะรู้สึกว่ามันเกี่ยวข้องกับตัวเอง
ผู้ชายตัวสูง หน้าเรียวคมได้รูป ดูหวานและแข็งกร้าวในคราวเดียวกันกำลังส่งสายตาสงสัยอันเฉียบคมมายังฉัน
“.....” ฉันมองสบตาเขานิ่งอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของริกกี้เพราะเขาเป็นคนพาฉันมาก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบหากมีใครถาม
ริกกี้ไม่ตอบ เขามองหน้าฉันนิ่งครู่หนึ่งก่อนหันไปพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อนอีกคนข้างๆ ปล่อยให้เจ้าของคำถามนั่นเดินตรงเข้ามาหาฉัน
“ไง”
ฉันมองหน้าเขานิ่ง แอบประหม่านิดหน่อย เพราะหน้าตาเขาดูหล่อๆ หวานๆ ไม่ดุดันเหมือนริกกี้ ออกแนวคุณชายมีตระกูลรุนชาติไม่น่ามาเกลือกกลั้วกับพวกดิบเถื่อนอย่างริกกี้ได้
“ฉันเรซ เธอชื่ออะไร”
“คะนิ้ง”
“นึกว่าเป็นใบ้ซะอีก”
เรซยิ้มเจ้าเล่ห์ ตอนนี้ฉันเปลี่ยนความคิดแล้ว ภาพลักษณ์คุณชายสูงศักดิ์มันใช้ได้เฉพาะเวลาที่เขาทำหน้านิ่งๆ ไม่พูดไม่จาเท่านั้น แต่พูดออกมานี่ปีศาจชัดๆ
“ฮ่าๆ ล้อเล่นน่า” เรซหัวเราะท่าทีมึนตึงของฉัน เขาไล่สายตาสำรวจเรือนร่างฉันอย่างเปิดเผย จนฉันรู้สึกไม่ต่างจากโดนลวนลาม
“มะมองอะไร”
“เปล่า.... แค่สงสัยทำไมริกกี้มันพาเธอมาด้วย”
เราทั้งคู่เงียบใส่กัน พอฉันไม่พูดอะไรเขาก็เลิกสนใจหันกลับไปหาพรรคพวกตัวเองปล่อยให้ฉันยืนเคว้งอยู่คนเดียว แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ กวาดตามองสำรวจไปรอบๆ อย่างสงสัย กำลังจะเดินออกไปดูรอบๆ เผื่อจะเจอทางหนีทีไล่ เสียงยะเยือกด้านหลังก็ดังขึ้น
“จะไปไหน”
“ริกกี้....” ฉันกัดฟันแน่นเมื่อหันกลับมาเจอหมอนั่น นึกถึงจูบที่ดุเดือดในตอนนั้นแล้วก็โกรธขึ้นมาทันที เบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างขุ่นมัวกระแทกเสียงตอบห้วนๆ
“เดินเล่น!”
“อยากโดนรถชนตายหรือไง ไปขึ้นรถ!”
เขาตวาดกลับมา ฉันอ้าปากจะเถียงแต่ก็เถียงไม่ออกเพราะสายตาคมเฉียบของเขาที่จ้องมองมาไล่ต้อนฉันให้ไม่อาจขัดขืนได้ ชิ! ฉันทำหน้าไม่สบอารมณ์อารมณ์ใส่เขา เดินกระทืบเท้าหนักๆ กลับมาที่รถ ริกกี้ตามมาเงียบๆ เดินอ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับ มองเส้นทางด้านนอกด้วยสายตาที่คล้ายกำลังคำนวณอะไรสักอย่าง ไม่ได้มีเรื่องฉันอยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ
ตอนนั้นก็มีคนเดินมาเคาะกระจก ริกกี้เลื่อนกระจกลง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อคมของผู้ชายที่ทำผมทรงสกินเฮดแถมกลัดสีน้ำเงินยื่นหน้าเข้ามาพูดอะไรสักอย่างกับริกกี้
“แน่ใจนะโว้ยว่าไม่ต้องปรับจูนอะไรใหม่?”
“อืม ฉันวอร์มเครื่องมาแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร”
“โค้งที่นี่ยาวและลึกเป็นพิเศษ ทางตรงมีไม่มาก ระวังเรื่องการใช้เบรกด้วย”
“อืม มีไรอีกไหม”
“ไม่....” ผู้ชายคนนั้นเหลือบมองฉันแวบหนึ่งคำพูดก็ค้างไปด้วย ริกกี้มองตามพอรู้ว่าเพื่อนตัวเองกำลังมองฉันก็เลื่อนกระจกปิดแบบไม่กลัวว่ามันจะหนีบหน้าเพื่อนสักนิด หมอนั่นชอบทำอะไรโผงผางแบบนี้ล่ะ ไม่สนใจว่าใครจะเจ็บจากการกระทำของตัวเอง
“เฮ้ยริกกี้ ใจเย็นดิวะ” ผู้ชายหัวสกินเฮดกดกระจกเอาไว้ก่อนที่มันจะหนีบหน้าตัวเอง “มองนิดมองหน่อยก็ไม่ได้ ได้ยินเรซพูดแต่ไม่คิดว่าแกจะพาใครมาจริงๆ ว่าแต่เปลี่ยนมาชอบแนวนี้แล้วเหรอวะ”
“ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด มีอะไรอีกไหม”
“เรื่องรถน่ะไม่มีแต่เรื่องตุ๊กตาหน้ารถน่ะมี”
“......”
“จะดีเหรอที่ให้นั่งไปด้วย”
“......”
“เออ! อยากทำอะไรก็ตามใจเถอะว่ะ ยังไงนี่ก็เป็นรอบซ้อม ไปลองเส้นทางก่อน แต่ห้ามจอดรถทำอะไรข้างทางนะโว้ย งานคืองาน”
“นั่นมันมึงแฮคไม่ใช่กู”
“เออกูมันคนมีความสามารถ เอาไปทำงานไปด้วยเร้าใจดีว่ะ ไปเว้ย”
หมอนั่นชื่อแฮค.... เขากระตุกยิ้มยียวนมองฉันก่อนหันไปยกสองนิ้วพร้อมกับยักคิ้วกวนๆ ให้ริกกี้ก่อนผละออกไป
ฉันหน้าร้อนอย่างไม่มีเหตุผลแค่ฟังที่แฮคพูดก็กระดากหูแล้ว พวกเขาทำเหมือนกับว่าการมีเซ็กเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่สำหรับฉันมันคือเรื่องใหญ่ ยิ่งเมื่อเร็วๆ นี้โดนปล้นจูบไปด้วยฉันยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย จ้องมองใบหน้าด้านข้างของริกกี้อย่างใจคอไม่ดี
หวังว่าคงไม่มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับฉันอีกหรอกนะ