ซินหรานผวาขึ้นทั้งที่ศีรษะเพิ่งแตะหมอน เสียงกรีดร้องดังมาจากห้องนอนของท่านจอมมาร ตามด้วยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นและเสียงอะไรสักอย่างล้มโครมคราม นางนั่งนิ่งหัวใจเต้นรัว
“ใครก็ได้เข้ามา!”
ไม่ใช่ ‘ใครก็ได้’ ที่จะ ‘เข้าไป’ ในห้องนอนของท่านจอมมารแห่งพรรคเพลิงอัคนี
ซินหรานลุกพรวดพลาดขึ้นจากเตียง ก้าวเร็วๆ แค่อึดใจก็เอ่ยเสียงเบาอยู่หน้าบานประตู “บ่าวซินหรานเจ้าค่ะ”
พูดจบนางก็ผลักบานประตูเข้าไปโดยไม่ต้องรอให้คนข้างในเอ่ยตอบ นางไม่ได้หันไปมองแต่ก็รู้ว่าร่างสูงใหญ่สวมเพียงเสื้อคลุมบางเบาหันหลังให้แล้วเดินไปที่ระเบียงของห้อง หญิงสาวที่รีบร้อนเข้ามามิได้เกล้าผมให้เรียบร้อยก่อน ซินหรานเห็นหญิงงามเปลือยกายบนเตียงใหญ่ คนงามแม้ยามร้องไห้ยังดูงดงาม ซินหรานกวาดตามองไปที่พื้นเห็นเสื้อผ้ากองอยู่ก็หยิบมาคลุมกายให้ก่อนแล้วรีบประคองออกไป ด้านนอกพ่อบ้านจูโหย่งเจารออยู่แล้ว ชายชราจึงเพียงแค่พยักหน้าให้กับบ่าวรับใช้อีกสองคนที่ยืนรออยู่มาประคองหญิงงามผู้นั้นออกไป
“จัดการให้เรียบร้อย”
“เจ้าค่ะ”
ซินหรานรีบคว้าถังน้ำและผ้าขี้ริ้วเช็ดคราบปัสสาวะบนพื้นห้อง เจ้าของห้องไม่ชอบกลิ่นสกปรกเช่นนี้นัก นางรีบทำอย่างรวดเร็วแล้วนำไปถังน้ำไปไว้ด้านนอกก่อน วิ่งเร็วๆ กลับไปที่ห้องของตน หยิบผ้าปูที่นอนผืนใหม่แล้ววิ่งเร็วๆ กลับมาจัดการดึงผ้าปูที่นอนที่มีคราบขาวขุ่นออกแล้วปูผ้าพื้นใหม่อย่างรวดเร็ว ห้องของนางเป็นห้องเก็บของจริงๆ มีของใช้ของท่านจอมมารสำรองอยู่ในตู้ที่ห้องนอนของนาง เดิมทีมันอาจเป็นห้องเก็บของใช้จริงๆ นั้นแหละ แค่ยัดเตียงนางเข้าไปซุกหัวนอนในนั้นได้
เป็นเช่นนี้มานานเพียงใดมิอาจรู้ได้ เหตุใดหญิงงามเหล่านั้นถึงหวาดกลัวท่านจอมมารถึงขนาดปัสสาวะราดได้นะ เดือดร้อนให้นางต้องมาเช็ดถูทำความสะอาด และสุดท้ายคือจุดกำยานหอมในห้อง นางจัดการทุกอย่างเรียบร้อยภายเค่อเดียว ซินหรานก้มตัวลงจัดหมอนให้เข้าที่อีกครั้งเพื่อความมั่นใจ เสร็จแล้วจึงเงยตัวขึ้นแล้วหันหลังให้เตียงกว้างที่สามารถนอนได้สามหรือสี่คนเลยทีเดียว ทว่านางกลับไม่รู้ว่ามีร่างสูงใหญ่ยืนซ้อนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อนางหมุนตัวออกมาจึงปะทะกับร่างที่สวมเพียงเสื้อคลุมตัวยาว ด้วยความตกใจ นางผงะไปด้านหลังและเสียหลักหงายหลังลงบนเตียง มือเล็กยื่นไปจับสาบเสื้อของชายตรงหน้าเพื่อยึดเหนี่ยวอย่างลืมตัว
ด้วยกำลังอันน้อยนิดของหญิงสาว ทว่าเขากลับปล่อยให้ร่างของตนโถมเข้าใส่ร่างเล็กที่หงายหลังลงบนเตียงที่เพิ่งจะเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเสร็จ ก่อนที่ร่างของเขาจะทาบทับร่างของนาง เขาใช้มือยันเตียงไว้ได้ก่อน ไม่เช่นนั้นคนที่อยู่ด้านล่างคงเจ็บตัวไม่น้อย
ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นอย่างตกใจแต่ไร้เสียงหวีดร้อง ดวงตากลมโตเบิกกว้างจองมองคนที่อยู่ด้านบน ตั้งแต่นางอยู่ที่นี่มาแปดปี รับใช้ใกล้ชิดแม้กระทั่งยามที่อีกฝ่ายอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่นางไม่เคยใกล้ชิดเขามากขนาดนี้ ชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมมารเหิงหยางเซิง
ดวงตาคมหรี่มองหญิงสาว แปลกใจที่ยามนี้บ่าวรับใช้คนนี้ดูแตกต่างจากกลางวันนัก โดยปกติใบหน้านี้มักเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด แต่ยามนี้เขาเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของนาง สองแก้มที่แดงระเรื่อ ตลอดจนร่างกายที่สั่นน้อยๆ เส้นผมของนางคลี่สยายอยู่บนที่นอนของเขา
...ของเขา...
ซินหรานรู้ถึงแววตาที่เปลี่ยนไปของผู้เป็นนาย นางกระถดตัวถอยออกมา ความสงบนิ่งที่เคยมียามนี้กลับไม่มีเหลือ นางเค้นถ้อยคำที่จะเอ่ยออกมาไม่ออกสักคำ หญิงสาวจึงพลิกตัวแล้วตั้งใจคลานออกมา ทว่าข้อเท้ากลับถูกคว้าไว้ก่อน นางไม่กล้าสะบัดเท้าออกจึงได้แต่เอี้ยวตัวมองมือแกร่งที่ยึดข้อเท้าของนางไว้
“นายท่าน...บะ..บ่าว บ่าว”
เสียงของนางสั่น แม้กระทั่งชีพจรยังเต้นแรง ในห้องที่มีเพียงแสงสลัวจากเชิงเทียน ทว่านางเห็นมุมปากของเหิงหยางเซิงยกขึ้นเล็กน้อยเหมือนเป็นรอยยิ้ม ท่าทางคุกคามของเขาทำให้นางหวาดกลัว นางเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่เขาจะทำอย่างไรก็ได้
ถูกแล้ว ตั้งแต่วันที่เขาสังหารคนที่หมายจะทำร้ายนาง เขาคือเจ้าชีวิตของนางแล้ว
“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่?”
“สะ สิบ..สิบหกแล้วเจ้าค่ะ”
ไยจู่ๆ ถามนางเช่นนี้นะ
มือแกร่งดุจคีมเหล็กปล่อยข้อเท้าของนางออก หญิงสาวชักเท้าแล้วคลานลงไปยืนอยู่ข้างเตียง
“ถ้า...ถ้าไม่มีสิ่งใดแล้ว บะ..บ่าว...บ่าวขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
นางก้มหน้านิ่งรอคอยคำพูดหรือแค่เขาส่งเสียงออกมาสักคำนางจะได้รีบวิ่งออกไป แต่ก็ยังไร้เสียงใด ทำให้นางช้อนตาขึ้นมอง นางกลับเห็นเขาเอนตัวลงนอนไม่มีท่าทีจะลุกขึ้น นางจึงถอยหลังก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว และปิดประตูอย่างเงียบเชียบที่สุด มือเรียวเลื่อนจากบานประตูมาแตะที่หน้าอกตนเอง กดแน่นบริเวณหัวใจข่มไม่ให้ใจเต้นแรงจนคนในห้องนั้นได้ยิน แล้วรีบเดินกลับห้องนอนของตัวเอง
ซินหรานปีนขึ้นเตียงซุกตัวในผ้าห่มผืนหนา นางเป็นคนติดผ้าห่มและกลัวความหนาว อาจเพราะผ่าน ‘คืนนั้น’ มาอย่างโหดร้าย นางมักซุกตัวเองในผ้าห่มเสมือนว่านี่คือที่ๆ นางจะนอนหลับได้ แต่คืนนี้นางซุกตัวนอนขดตัวกลมแต่ยังไม่อาจข่มให้ตัวเองหลับ
ดวงตาของเขาที่จ้องมองมานั้นราวกับจะกลืนกินนางทั้งเป็น!
ชายหนุ่มบนเตียงกว้างพลิกตัวนอนหงาย เพราะเป็นคนฝึกยุทธ์ เขารับรู้ได้ว่าร่างของนางวิ่งกลับห้องที่อยู่ติดกับห้องนอนของเขาแล้ว มุมปากยกยิ้มจนแทบจะกลายเป็นหัวเราะ
หัวเราะ!
คนอย่างเหิงหยางเซิงนะหรือหัวเราะ!
เสียงหัวเราะของเขามักดังขึ้นระหว่างความเป็นและความตายของผู้อื่นเสมอ
แต่ยามนี้ เขากลับระเบิดเสียงหัวเราะขบขัน ท่าทางหวาดกลัวของสัตว์เล็กๆ ตัวนั้น ไม่ใช่ซิ! ยามนี้เจ้าสัตว์สกปรกตัวนี้กลับกลายเป็นหญิงสาวที่มีผิวกายเนียนนุ่ม เส้นผมยาวสลายดุจแพรไหม ริมฝีปากอิ่มที่เผยอขึ้นเล็กน้อย ขณะที่นอนเอนกายหัวเราะอยู่นั้น กลิ่นหอมจางที่ยังติดอยู่บนที่นอน
อา... นางมีกลิ่นกายเช่นนี้ กลิ่นหอมจางๆ ที่ทำให้ใจสงบ
นางมีตัวตนอยู่ข้างเขา เสมือนสายลมที่โอบล้อม มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้
นางไม่เคยยิ้มให้เขา ไม่เคยหัวเราะ หรือแสดงความรู้สึกใดๆ ต่อหน้าเขาเลยสักนิด ผิดกับยามที่อยู่กับอู่เฉียง และคนอื่นๆ นางมักยิ้มและหัวเราะกับคนเหล่านั้น
แต่ไม่ใช่กับเขา
เหิงหยางเซิงนึกถึงเรื่องราวเมื่อแปดปีก่อน สัตว์ป่วยตัวเล็กๆ ที่ อู่เฉียงยอมอุ้มกลับมาเกาะเพลิงอัคนีนั้น มีอาการเหม่อลอยไม่พูดจา เป็นเช่นนั้นแต่คืนนั้นแล้ว เขายอมให้อู่เฉียงเลี้ยงสัตว์บาดเจ็บอย่างนางเพียงเพื่อใช้นางเป็นเหยื่อล่อให้อู่เฉียงยอมทำตามคำสั่งอย่างไร้เงื่อนไข อู่เฉียงเป็นนักฆ่าฝีมือดี สั่งงานครั้งใดไม่เคยพลาด แต่ความมุทะลุดุดันและไม่เสียดายชีวิตนั้นทำให้เขารำคาญใจ เขาสู้ฝึกคนเลี้ยงคนมาตั้งหลายปี สิ้นเปลืองไปมากกว่าจะได้ ‘นักฆ่า’ และ ‘องครักษ์’ ฝีมือดีขนาดนี้ หากทำอะไรบุ่มบ่ามก็จะเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ โดยใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ การมี ‘บางสิ่ง’ ที่ทำให้คนผู้นั้นเป็นห่วง ทำให้ระวังตัวเองมากยิ่งขึ้น เขาก็ยิ่งใช้ประโยชน์จากอู่เฉียงได้มากยิ่งเช่นกัน