6 - ที่พักพิง

2262 Words
- 6 - ที่พักพิง "พ่อมาที่นี่ทำไม" คำพูดแรกที่เจอหน้ากันทำให้ชายวัยหกสิบปีเหยียดยิ้มและแค่นหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ สายตาคมจดจ้องคนตรงหน้าที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกชายและพ่วงตำแหน่งพนักงานของบริษัทด้วยความภาคภูมิ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินตรงเข้าไปหาช้า ๆ จนกระทั่ง... ตุ้บ! "โอ๊ย! เจ็บนะพ่อ!" ศีรษะของเตโชสั่นสะท้านเมื่อถูกฝ่ามือของผู้เป็นพ่อฟาดลงมาอย่างไม่เต็มมือนักแต่มันก็ทำให้รู้สึกเจ็บไม่น้อย ใบหน้าหล่อเหลายุ่งเหยิงหันมองด้วยความหงุดหงิดที่อยู่ ๆ ก็มาทำร้ายกันแบบนี้ "ไอ้ลูกเวร แกไปทำอะไรไว้บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ" เสียงเข้มทรงพลังเอ่ยถามและกดสายตามองด้วยความหนักแน่น เขารับรู้ข่าวบางอย่างที่ทำเอาหนักใจอยู่ไม่น้อย และรู้ดีว่าลูกคนนี้จะต้องเป็นตัวต้นเรื่องที่ดูท่าแล้วคงจะไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลยสักนิด "ผมทำอะไร ยังไม่ได้ทำอะไรเลยเนี่ย โอ๊ย! พ่อ! เจ็บ ผมเจ็บ!" เตโชร้องโอดครวญเป็นเด็กน้อยเมื่อถูกมือหนาหยิกที่ใบหูจนออกสีแดง แต่การกระทำแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพิ่งพบเจอ เพราะตั้งแต่เด็กพ่อของเขาก็มักจะสั่งสอนด้วยวิธีผู้ชาย ๆ แบบนี้อยู่เสมอ "โตเป็นควายแล้วยังเล่นเป็นเด็กอีกนะแกเนี่ย ทำไมแกถึงไม่รับโปรเจกต์นั้นไหนบอกฉันมาหน่อย" อัคนีผู้เป็นประธานบริษัทพ่วงด้วยพ่อเอ่ยถามอย่างนึกโกรธในใจ เขารับรู้มาว่าลูกชายเพียงคนเดียวนั้นขอสละสิทธิ์ในการคุมโปรเจกต์ใหญ่ที่เป็นงานชิ้นโชว์แดงประจำปี ทั้งที่ตัวลูกค้าเองก็เจาะจงเลือกตัวเขาโดยเฉพาะ แล้วแบบนี้เขาจะอธิบายกับลูกค้ายังไงว่าอยู่ ๆ สถาปนิกเกิดขี้เกียจไม่อยากทำงานขึ้นมาแบบนี้ "ก็ผมไม่อยากทำอะพ่อ" เสียงถอนหายใจดังลากยาวไปทั่วทั้งห้องก่อนที่เตโชจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ของประธานบริษัทอย่างที่ชอบทำ ในใจตอนแรกเขาก็นึกหวั่นใจขึ้นมาที่อยู่ ๆ พ่อตัวเองเกิดนึกครึ้มเข้าบริษัทไม่บอกไม่กล่าว พานทำให้พนักงานคนอื่นต่างก็กลัวไปตาม ๆ กันเพราะนึกว่ามีเรื่องใหญ่โต แต่ที่แท้ก็เป็นเพราะต้องการจะมาเฉ่งลูกชายอย่างเขาที่ไม่ยอมรับทำโปรเจกต์ใหญ่ตามที่ลูกค้าต้องการ "ไอ้ลูกคนนี้! แกไม่ได้อยู่ในฐานะลูกของฉันนะเว้ยลืมไปแล้วรึไง แกจะทำตัวเหลวไหลเลือกงานที่อยากทำไม่ได้" "ผมอยากได้เก้าอี้ตัวนี้บ้างอะพ่อ ทำไมเก้าอี้พนักงานถึงไม่นั่งสบายแบบผู้บริหารบ้างนะ ผมขอได้ป้ะ จะลากกลับไปที่โต๊ะเดี๋ยวนี้เลย" ว่าแล้วก็ลุกขึ้นและลากเก้าอี้หวังจะออกไปจากห้องโดยไม่ได้สนใจกับคำบ่นคำด่าเมื่อครู่เลยสักนิด "ไอ้เต! แกโตแล้วนะ ฝีมือแกก็มีแล้วทำไมถึงได้ทำตัวเหลวไหลแบบนี้ หรือว่าแกมีปัญหาอะไรที่รับงานนี้ไม่ได้" เสียงเข้มเอ่ยถามอีกครั้งพร้อมกับมองหน้าลูกชายอย่างเด็ดเดี่ยว ทั้งที่ในการประชุมหารือโปรเจกต์ครั้งแรก เตโชก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธแถมยังรับคำว่าจะเต็มที่กับงานต่อหน้าลูกค้า แต่ผ่านไปเพียงแค่หนึ่งเดือนเขากลับขอปฏิเสธงานกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เลยต้องเดือดร้อนมาถึงประธานบริษัทเมื่อเรื่องถึงหูจนต้องถ่อมาหาเพื่อเรียกตัวจับเข่าคุยแบบนี้ "ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกพ่อ ผมแค่ไม่อยากทำแค่นั้นแหละ" "ปกติแกไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ แบบนี้นะเต" "ผมรู้...ผมฝากขอโทษลูกค้าด้วยแล้วกัน แต่คนที่รับผิดชอบต่อจากผมก็ฝีมือดีไม่แพ้กัน พ่อก็รู้ว่าพี่เอกเขาอยู่บริษัทมานานขนาดไหน ประสบการณ์ก็เยอะกว่าผม พ่อไม่ต้องห่วงหรอกน่า" ผู้เป็นพ่อได้แต่ถอนหายใจกับความรั้นของลูกคนนี้ แต่ในเมื่อเตโชยังยืนยันเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับและให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยประสานหาคำอธิบายดี ๆ กับลูกค้าว่าเต็คเตคนนี้มันติสท์แตกเกินบรรยาย "งานหน้าผมไม่พลาดแน่นอนพ่อ ถือซะว่างานนี้ให้คนที่เหมาะสมเขาทำแล้วกัน" เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังเงียบก็ทำให้เตโชจำต้องลุกขึ้นและเดินเข้าไปหา ความจริงแล้วเขาเองก็ไม่ได้อยากพลาดงานชิ้นนี้ไปเหมือนกัน แต่เป็นเพราะเหตุผลบางอย่างที่เขาจำต้องปล่อยงานให้คนอื่นรับผิดชอบ และเขาเองก็คิดกับตัวเองมาพักใหญ่ถึงได้ตัดสินใจเด็ดขาดแบบนี้ "แกรู้ดีใช่ไหมว่างานนี้มันทำให้โปรไฟล์แกดีขึ้นมาก แล้วพอถึงวันที่แกต้องรับตำแหน่งแทนฉัน พนักงานคนอื่น ๆ ก็จะเห็นถึงความสามารถของแกไม่ใช่เพราะว่าแกเป็นลูกชายของฉัน" อัคนีมองหน้าลูกชายเพียงคนเดียวและตบเบา ๆ ที่บ่าแกร่ง เขารู้ดีว่าเตโชอยากพิสูจน์ตัวเองด้วยความสามารถที่มี นั่นจึงทำให้เขาไม่เปิดตัวลูกชายกับใครแม้กระทั่งผู้บริหารคนอื่น ๆ "ผมรู้น่า งานหน้าผมไม่พลาดแน่ งานนี้ดวงมันไม่สมพงศ์กับผมไงพ่อ ปล่อยให้คนอื่นทำนั่นแหละดีแล้ว" "เฮ้อ...ไอ้ลูกคนนี้นี่มันจริง ๆ เลยนะ จะไปไหนก็ไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าแล้วไอ้ลูกเวร" เตโชหัวเราะร่าและเดินเข้าไปลูบพุงกลม ๆ ของผู้เป็นพ่ออย่างไม่เกรงกลัวในตำแหน่งงาน พออยู่ด้วยหันสองคนเขาก็กลายเป็นไอ้ลูกชายจอมป่วนของพ่อคนนี้อยู่ร่ำไป "ไอ้เต! เดี๋ยวเถอะ อย่ามาจับพุงฉันนะโว้ย!" "เขาว่าหุ่นหมีกอดอุ่นนะ เดี๋ยวนี้ไม่อวดบ้างเลยนะว่ามีสาว ๆ ซุกไว้ไหนบ้างอะ เอารูปมาให้ดูบ้างดิ" "ไอ้เต!" เมื่อทนความกวนไม่ไหวเลยต้องง้างมือหวังจะสั่งสอนให้เลิกเจ๊าะแจ๊ะในเรื่องไม่เป็นเรื่องสักทีสองที แต่พอจะออกแรงไอ้ลูกชายก็รีบขยับตัวหนีแถมยังยักคิ้วกวนบาทาใส่จนอยากดึงมาฟาดให้รู้แล้วรู้รอด "ไปและ เบื่อคนแก่" "หกสิบไม่แก่โว้ย!" "เออพ่อ! มีอะไรจะบอก" เตโชร้องขึ้นเมื่อนึกถึงบางอย่างที่อยากจะบอกแต่ก็ยังไม่มีโอกาส "ว่า?" "เตมีแฟนและนะ สวยโคตร ๆ" ประโยคนั้นทำเอาอัคนีถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่คิดไม่ฝันว่าลูกคนนี้จะมาบอกเรื่องความรักต่อหน้า ในฐานะที่เป็นพ่อย่อมรู้ดีว่านิสัยของลูกชายนั้นเป็นเช่นไร เขารับรู้มาตลอดว่าเตโชเป็นเสือร้ายและเจ้าเสน่ห์เกินใคร ตั้งแต่สมัยเรียนก็ไม่เคยเห็นลูกคนนี้พาใครมาเปิดตัว ไม่มีแม้กระทั่งเอ่ยปากบอกถึงเรื่องหัวใจ แต่อยู่ ๆ ก็มาบอกแบบนี้ใครบ้างจะไม่ตกใจ "ฮะ? แกว่าไงนะไอ้เต" "เตรียมสินสอดไว้รอเลยนะพ่อ อีกปีสองปีผมว่าได้ร่อนการ์ดแน่!" หลังเลิกงานสิ่งที่ทำเป็นประจำจนกลายเป็นกิจวัตรของเตโชนั้นก็คือการขับรถไปรับแฟนสาวมาทานมื้อเย็นด้วยกัน วันนี้เขาไม่ต้องไปรับเธอที่ตึกช่องเช่นเดิมแต่กลับต้องไปที่กองถ่ายละครซึ่งอยู่แถบชานเมือง แต่มันก็ไม่ได้ไกลจากที่ทำงานของเขาสักเท่าไหร่ ตัวรถเอสยูวีขับมาจอดด้านหน้าประตูเมื่อถึงจุดหมาย สายตาคมมองไปยังตัวเลขที่บ่งบอกเวลาด้านหน้าปัดของรถ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อส่งข้อความหาเมลบีเพื่อบอกกล่าวในการมาถึง MESSAGE : MB : เตมาถึงแล้วนะ จอดรออยู่ด้านนอก : รีบออกมานะ คิดถึงแล้ว เมื่อกดส่งข้อความปิดท้ายก็ทำให้รอยยิ้มกว้างฉายชัดปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา แทบไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่าจะกล้าพิมพ์คำหวาน ๆ แบบนั้นออกไป แต่ทำไงได้เพราะเขารู้สึกแบบนั้นจริง ๆ "คุณยศเดี๋ยวสิคะ อย่าเพิ่งไป ฉันขอคำอธิบายได้ไหมว่าทำไมฉันถึงไม่ได้เล่นเรื่องนี้" ทว่า...เสียงบทสนทนาทำให้เตโชหันไปมองยังต้นเสียง เขาเห็นเมลบีและผู้ชายวัยห้าสิบกลาง ๆ ที่หยุดยืนอยู่บริเวณประตูรั้ว ทำให้ได้ยินประโยคที่เอ่ยออกมาได้อย่างชัดเจน "คุณจะมาถามอะไรจากผมอีก ผมไม่ใช่ผู้จัดนะ ผมเป็นผู้กำกับ ถ้าอยากรู้อะไรก็ไปถามคนที่เกี่ยวข้องโน่น!" "แต่คุณยศเป็นคนเสนอรายชื่อคุณรินให้กับทางผู้จัดเองไม่ใช่เหรอคะ" น้ำเสียงหนักแน่นของเมลบีทำให้เตโชชะงัก ถึงแม้ว่าจะได้ยินเพียงไม่กี่ประโยคแต่ก็พอจับใจความได้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้เธอกำลังถูกถอนจากบทละคร "ตอนที่แคสคาแรกเตอร์เมลก็แคสผ่านไม่ใช่เหรอคะ คุณยศก็ออกปากชมเมล บอกว่าเมลเหมาะที่จะเป็นนางเอกมาก แล้วทำไม...ทำไมอยู่ ๆ ถึงได้เปลี่ยนตัวนางเอกล่ะคะ" "ก็เพราะคุณรินเหมาะสมกว่าคุณไง มันแปลกตรงไหนที่จะเลือกคนที่เหมาะสมกว่ามาทำแทน" ประโยคนั้นทำเอาเมลบีชะงักงันและน้ำตาไหลออกมาทั้งที่พยายามกลัดกั้นเอาไว้ตั้งแต่ต้น เช่นเดียวกับเตโชที่ได้ยินคำพูดทุกคำ ก็พานทำให้เดือดดาลจนแทบอยากอาละวาดแทนแฟนสาว "เมลผิดอะไรคะ...เมลผิดอะไร" เมลบีกำมือแน่นและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า เธอไม่เชื่อในคำตอบนั้นเลยสักนิด หากคนที่มาแทนเหมาะสมกว่าเธอจริง ๆ เธอก็ยอมรับ แต่นี่มันไม่ใช่...เธอรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้กำกับและนางเอกใหม่นั้นเป็นยังไงถึงได้ชวดหน้าที่เธอไปอย่างหน้าด้าน ๆ แบบนี้! "คุณนี่เข้าใจยากจริง ๆ นะ ก็บอกแล้วไงว่าคุณรินเขาเหมาะสมกว่า! ถ้าอยากเล่นมากก็ไปบทเล่นบทตัวประกอบไม่ใช่มาโวยวายไร้สาระแบบนี้!" สิ้นคำตวาดกร้าวเจ้าของเสียงก็เดินออกไป หลงเหลือเพียงหญิงสาวที่กำลังข่มอารมณ์ความโกรธอยู่ตรงนั้น เตโชตัดสินใจเดินลงจากรถและค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาแฟนสาวพร้อมกับรอยยิ้ม ที่หวังว่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เธอสบายใจขึ้นบ้าง เขาได้ยินทุกคำทุกประโยค อยากออกหน้าสั่งสอนผู้กำกับคนนั้นที่กล้าทำร้ายจิตใจแฟนของเขาแบบนี้ แต่กลับทำอย่างที่ต้องการไม่ได้ เพราะเข้าใจดีว่าเธอคือคนในสื่อที่พร้อมเป็นข่าวได้ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเมลบีจะไม่ใช่นางเอกดังแต่เธอก็มีชื่อเสียงในวงการโฆษณาและสื่อโซเชียล เธอยังพอเป็นที่รู้จักภายในสื่อเพราะไม่ว่าจะเป็นโฆษณาตัวไหน ก็จะเป็นเมลบีนี่แหละที่ได้รับเลือกงานนั้น ๆ อยู่ตลอด "เตมารับแล้วครับ กลับบ้านของเรากันนะคุณแฟน" เตโชส่งยิ้มกว้างและอ้าแขนรอรับอ้อมกอดจากหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังร้องไห้จนน่าปลอบ พอเห็นเจ้าของร่างสูงก็ทำให้เมลบียิ่งสะอื้นหนัก แต่ไม่นานเธอก็รับวิ่งเข้าไปหาเขาและสวมกอดเอาไว้แน่นราวกับว่าเป็นที่พักพิงสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ "ฮึก! เต...ฮือออ" เมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดอุ่น ๆ ก็ยิ่งทำให้เมลบีปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก วงแขนแกร่งโอบกอดและจูบซับที่เรือนผมนุ่มอย่างอ่อนโยน เขายินดีเป็นที่ซับน้ำตาให้กับเธอจนกว่าจะพอใจ หากมีเรื่องใดที่ทุกข์ใจก็ขอให้เธอนึกถึงเขาคนนี้เป็นคนแรก "โอ๋ ๆ คนเก่งของเต" "ฮือ...เมลเสียใจ เมลตั้งใจกับบทนี้มากแต่ทำไม...ฮึก ทำไม..." "ไม่เป็นไรนะเมล ไม่เป็นไรนะ" "ฮือ...เมลตั้งใจกับบทนี้มากจริง ๆ นะเต เมลยังคิดไม่ออกเลยว่าคนที่มาแทนเขาเหมาะสมกว่าเมลยังไง ฮึก..." ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเธอตั้งใจและเต็มที่กับบทละครเรื่องนี้ขนาดไหน หลังจากที่แคสบทผ่านเจ้าตัวก็รีบโทรมาหาและเล่าให้เขาฟังเป็นคนแรก ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นยังไม่ได้คบหากันเป็นแฟนเลยด้วยซ้ำ บทสนทนาส่วนมากที่คุยกันก่อนนอนผ่านโทรศัพท์ก็จะเป็นการเล่าเรื่องของบทละครให้ฟัง บางวันเธอก็เผลอหลับคาสายทั้งที่ยังกอดบทไว้อยู่แนบอก เมื่อเห็นความเสียใจของแฟนสาวก็ทำให้เขาเจ็บปวดไปถึงหัวใจ มือหนาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาและกดส่งข้อความไปหาใครคนหนึ่งขณะที่ยังสวมกอดเมลบีเอาไว้ไม่ห่าง MESSAGE : JIN : กูมีเรื่องให้ช่วย : เรื่องรถนำเข้าที่มึงอยากได้กูจะดีลให้เอง ขอแค่มึงช่วยกูเรื่องนี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD