แย่แล้ว!
‘สีเทียนหยาง’ ในวัยสามสิบ ไม่คิดว่าตัวจะมีวันแพ้พ่ายให้กับคนชั่วช้าอย่างหมดคราบ
ใบหน้าที่ไม่ค่อยจริงจังกับอะไร ยามนี้กำลังฉายแววกลัดกลุ้ม ในอกก็ปั่นป่วน ร่างกายร้อนวูบวาบ ในสุราไม่ได้มีเพียงสุรา แต่มียาปลุกกำหนัดไร้สีไร้กลิ่น ดังนั้นเวลานี้เขาจึงสบถได้แต่เพียงคำว่า ‘แย่แล้ว แย่แล้ว!’
หากไม่รีบหนี คราวนี้เขาต้องแย่แน่แล้ว!
หลังจากเจ้าบ้านสกุลหลัวเชิญสีเทียนหยางมาเป็นแขกคนสำคัญ ระหว่างดื่มกิน เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าตนระมัดระวังตัวดีแล้ว หากแต่ในท้ายที่สุด เขากลับถูกวางยา
ตระกูลหลัวเป็นตระกูลวาณิชที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองเฉาหลัว ทว่าเงินส่วนหนึ่งกลับไม่ได้มาอย่างโปร่งใส เขาซึ่งเป็นใต้เท้าผู้ตรวจการเมืองเฉาหลัว ต้องการหาหลักฐานทุจริตของหลัวเหิง เมื่อถูกเชิญมาเป็นแขกคนสำคัญ ในงานเปิดตัวสินค้าเครื่องเคลือบแบบใหม่จึงไม่คิดจะปฏิเสธ อนึ่ง หลัวเหิงเองก็ต้องการอาศัยเส้นสายจากเขาเช่นกัน
เพื่อระวังไว้ก่อน สีเทียนหยางจะคอยสังเกตว่าหลัวเหิงและใต้เท้าท่านอื่นที่ร่วมโต๊ะเดียวกัน คีบอาหารชนิดใดขึ้นมารับประทาน เขาก็จะคีบอาหารจานนั้นขึ้นมารับประทานบ้าง ทว่ากลับไม่นึกไม่ฝันว่าปัญหาจะเกิดจากกลไกลบางอย่างซึ่งมาจากกาสุราแบบตะวันตกนี้
กาสุราที่สลักลวดลายวิจิตร ความสวยงามนั้นดึงดูดความสนใจจนลืมไปว่ากาสุราใบนี้เก็บสุราได้ถึงสองฝั่ง และสลับด้านรินได้ กาสุราลักษณะพิเศษนี้ไม่มีใช้ในจงหยวน แต่ถูกผลิตที่นอกด่าน หากวันนี้ในเหล้าไม่ใช่ยาปลุกกำหนัด แต่เป็นยาพิษ เขาคงตายทั้งๆ ที่ยังไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ
หลัวเหิง ตาเฒ่านี่ช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!
สีเทียนหยางกลืนคำด่าลงคอ ก่อนเดินหาทางออกจากบ้านสกุลหลัวโดยอ้างว่าต้องการเข้าหองน้ำ
หากครั้นจะเดินออกทางประตูหน้าตรงๆ มีหวังถูกหลัวเหิงจับมัดและส่งเข้าห้อง ทำให้เขากับบุตรสาวของมันเข้าหอจนข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกอย่างไม่ต้องสงสัย คราวนี้มันก็จะใช้เส้นสายของเขากอบโกยผลประโยชน์ โดยไม่สนใจชาวบ้านตาดำๆ
ไม่ดี ไม่ดีอย่างยิ่ง ว่าแต่ว่า ทางออกอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย
ด้วยเพราะเวลานี้สติของสีเทียนหยางค่อยๆ พร่าเลือน การคาดคะเนทิศทางต่างๆ จึงผิดพลาดไปหมด จะให้กระโดนกำแพงหนีก็ทำไม่ได้ เขาจึงเดินอ้อมบ้านสกุลหลัวไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ยังหาทางออกไม่พบ
“ทางออกอยู่ที่ไหนกันนะ”
สีเทียนหยางพึมพำกับตนเองเบาๆ เพราะตนเริ่มจนปัญญาแล้ว
ตอนนั้นเอง ด้านข้างของสีเทียนหยางมีหญิงสาวท่าทางเรียบร้อยสำรวมนางหนึ่งยืนอยู่ในเงามืด นางมาตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจทราบ นางกระซิบบอกเขาว่า “ใต้เท้า เอ่อ ทาง... ทางออกอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ”
สีเทียนหยางเพ่งตามองไปตามทิศทางที่นางชี้ ทว่าพบเพียงแต่เงามืดสลัวเท่านั้น หญิงสาวคนเดิมจึงบอกอีกว่า “เชิญใต้เท้าตามข้ามา”
เมื่อพูดจบ นางก้าวขาเดินนำเขาไป
สีเทียนหยางไม่ได้เดินตามหญิงสาวออกไปทันที ยามนี้แสงสว่างไม่เพียงพอ เขาจึงไม่อาจมองใบหน้าของนางได้ชัดเจน ไม่รู้ว่าไว้ใจได้มากน้อยแค่ไหน หากกระนั้น เมื่อพิจารณาจากน้ำเสียงของนางซึ่งแสดงออกถึงความขลาดกลัวเล็กน้อย ให้คาดเดา นางต้องฝืนคำสั่งของหลัวเหิงเพื่อพาเขาหนีออกไปจากที่นี่แน่ๆ
เช่นนั้น นางคงเป็นคนดี?
“เอ่อ ใต้เท้า?”
“อืม”
เขาพยักหน้า แล้วเดินตามนางไปห่างๆ อย่าเพิ่งด่วนสรุป แต่ระวังนางไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
หญิงสาวเดินนำสีเทียนหยางมาจนถึงประตูทางออกด้านหลังของจวน ระหว่างเดินมาถึงทางออก สีเทียนหยางใช้สติสัมปชัญญะอันน้อยนิดลอบสังเกต หากลองคิดให้ถี่ถ้วน ตลอดทางนางพาเขาเดินอยู่แต่ในความมืด และเดินตัดผ่านเรือนบ่าวอย่างชำนาญ หรือว่า... หญิงสาวคนนี้เป็นบ่าวในบ้านสกุลหลัว?
ระหว่างครุ่นคิด นางหันมาหาเขา
“ใต้เท้า ถึงทางออกแล้ว แต่ว่าท่านยังต้องตามข้าน้อยออกไปก่อน”
ชายหนุ่มพยักหน้า ครั้งนี้เขาเดินตามนางไปอย่างว่าง่าย
แม้นางมาส่งเขาถึงทางออกแล้ว แต่ยังไม่ยอมให้เขาออกไปคนเดียว ดูเหมือนนางจะรู้ว่าหลัวเหิงไม่ยอมปล่อยเขาเพียงแค่หนีออกพ้นประตูบ้านอย่างนั้นรึ
หลัวเหิงทำกับเขาขนาดนี้ คอยดูเถอะ เขาจะเอาคืนอย่างสาสมเลย!
สีเทียนหยางคิดขณะเดินตามหญิงสาวไปติดๆ ตอนนั้นเอง ด้านหลังมีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น ก่อนตามมาด้วยความชุลมุน
“พวกเจ้าหาให้ทั่ว ข้างนอกนั่นด้วย”
“ขอรับนายท่าน”
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะออกจากบ้านของข้าได้ด้วยสภาพนั้น”
สภาพนั้น? แน่นอนว่าสีเทียนหยางย่อมรู้ดีว่าอีฝ่ายหมายถึงตน คนที่มีสภาพใกล้เหมือนสัตว์ป่าขึ้นทุกขณะคงไม่มีใครนอกจากเขาอีกแล้ว
“ใต้เท้า ถึงแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวคนเดิมหันมาบอก
สีเทียนหยางที่เหงื่อตกเป็นเม็ดเหลือบตาขึ้นมองสถานที่ที่นางบอกว่า ‘ถึงแล้ว’
อ้อ ที่แท้นางพาเขากลับมาที่ว่าการประจำเมืองหรอกหรือ หญิงสาวคนนี้ ช่างมีน้ำใจจริงๆ
ชายหนุ่มยิ้มอย่างทรมานบอก “ขอบ... ขอบใจเจ้ามาก เจ้า... ชื่ออะไรรึ”
“ข้า...”
จังหวะที่นางกำลังเอ่ยตอบ เสียงของลูกน้องที่หลัวเหิงเลี้ยงไว้ในบ้านเอะอะมาถึงหน้าที่ว่าการแล้ว นางจึงต้องหุบปากลงทันควัน ดันสีเทียนหยางให้เข้าไปหลบในเงามืด
“ตรงนั้น ใต้เท้าผู้ตรวจการต้องอยู่ตรงนั้นแน่ๆ”
“ไป ไปดูตรงนั้น”
สีเทียนหยางแสยะยิ้ม อาศัยแสงสลัวจากภายนอกมองเรียวหน้าเล็กของหญิงสาว หารู้ไม่ การมองดวงหน้าของนาง ความเป็นชายของเขายิ่งปวดตุบๆ และตื่นตัว
ตอนเดินออกมาจากบ้านสกุลหลัว ความอดทนอดกลั้นของเขาจวนเจียนถึงขีดสุด ยิ่งลองว่าเขาอยู่ในที่มืดกับหญิงสาวสองต่อสอง ตรงส่วนนั้นก็ยิ่งร้อนผ่าวและเรียกร้องต้องการ
“ใต้เท้า ดูเหมือนคนด้านนอกจะไปกันหมดแล้ว” นางบอก ดวงตาก็สอดส่ายมองลูกน้องของหลัวเหิงอย่างระมัดระวัง
“อืม” เขาส่งเสียงตอบสั้นๆ
ตอนนางหันหน้ากลับมามองเขา และตั้งใจพูดอะไรต่อ เขาก็รวบนางเข้ามาในอ้อมแขน ยื่นหน้าเข้าไปครอบครองริมฝีปากของนาง ไม่ปล่อยให้นางได้พูดหรือร้องขอความเห็นใจ แต่ทำให้นางส่งเสียงครวญครางแทน
“อื้อ อือ...”
มือน้อยๆ ของนางทุบลงบนอกของเขาเป็นการขัดขืน แต่สำหรับเขาแล้ว นั่นยิ่งเพิ่มความต้องการชนิดที่ทำให้เขาไม่อยากปล่อยมือ
ทุกอย่างหลังจากนั้นก็กลายเป็นเรื่องธรรมชาติระหว่างชายหญิง ความใกล้ชิดในลักษณะเรียกร้องอย่างรัญจวนเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
สีเทียนหยางไม่ใช่จับใครก็ได้มาอยู่ใต้ร่างเพื่อระบายความกำหนัด หากเป็นเช่นนั้น เขานอนกับคุณหนูแซ่หลัวคนนั้นไม่ดีกว่าหรือ
หากแต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร หญิงสาวใต้ร่างของเขาในตอนนี้ ทำให้นึกถึงแม่นางคนหนึ่ง สำคัญกว่านั้นคือ ระหว่างร่วมหลับนอน ในอกของเขาร้องว่า... ในเมืองเฉาหลัว ที่สุดแล้วก็มีคนเช่นเดียวกับจวินเอ๋อร์ น้องสาวบุญธรรมที่เขารักมากที่สุด