วันเดียวกันนั้น บนโต๊ะอาหารเย็น สีฮูหยิน มารดาของสีเทียนหยางมองดวงหน้าน้อยๆ ของหลัวเหมย อดจะอมยิ้มไม่ได้ ส่วนนายผู้เฒ่าสี คีบอาหารส่งเข้าปาก ซึมซับความอร่อยจนต้องหลับตาพริ้ม
อาหารมื้อนี้ไม่ใช่ฝีมือของบ่าวในจวน หรือพ่อครัวมือหนึ่งจากที่ไหน แต่เป็นฝีมือของหลัวเหมยทั้งหมด คำว่าปรนนิบัติของสีเทียนหยางหาใช่เรื่องบนเตียง แต่เป็นการกินอยู่ ทว่าก็ไม่ได้แบ่งประเภทให้นางไปอยู่รวมกับสาวใช้ หลัวเหมยร่วมโต๊ะรับประทานอาหาร สามารถพูดคุยเป็นเพื่อนฮูหยินและนายผู้เฒ่า ที่สำคัญคือ นางยังพักอยู่ที่เรือนร่วมกับสีเทียนหยาง
เรื่องนี้ค่อนข้างแปลกอยู่สักหน่อย เพราะนางเป็นสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน ที่สำคัญ ผู้ตรวจการสีก็เป็นผู้ชาย ดังนั้นเรื่องนี้จึงใช้แยกแยะการปรนนิบัติสำหรับนางไม่ออก
หลัวเหมยตื่นขึ้นมาตอนยามบ่ายแก่ๆ ในอ้อมกอดของสีเทียนหยาง ตอนแรกนางเข้าใจว่าเขาจะล่วงเกินนางหลังจากนางได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว ที่ไหนได้ เขากลับออกคำสั่งให้นางเข้าครัว แสดงฝีมือการทำอาหารให้ท่านพ่อท่านแม่ของเขาได้ชิม
“ท่านแม่ คิดว่านางคล้ายหรือไม่” สีเทียนหยางยิ้มถามมารดา
สีฮูหยินพยักน้ายิ้มขณะบอก “คล้ายมาก”
“ข้าตาถึงใช่ไหมท่านแม่”
“ตาถึงมาก นางไม่เพียงแค่ใบหน้าคล้าย ฝีมือการทำอาหารยังดีมากอีกด้วยนะ”
“คล้าย? คล้ายใครหรือเจ้าคะ” หลัวเหมยมองคนทั้งสองด้วยความสงสัย พร้อมเอ่ยถามด้วยท่าทางขลาดๆ
คราแรกยังไม่ได้คำตอบ เพราะคนทั้งสองเอาแต่มองนางยิ้มๆ ผ่านไปชั่วครู่ ในที่สุด สีฮูหยินก็เฉลย
“คล้ายจวินเอ๋อร์ ตอนนี้แต่งงานออกเรือนเป็นฮูหยินของแม่ทัพจั่วไปแล้ว นางเป็นลูกสาวบุญธรรมของข้า และเป็นน้องบุญธรรมของเทียนหยาง อ้อ ข้าควรเรียกเจ้าว่าอย่างไรดี หลัวเหมย เหมยเอ๋อร์ หรือว่าลูกสะใภ้ดีล่ะ”
ด้วยเพราะคาดหวังอยากอุ้มหลานเร็วๆ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ลูกชายพาหญิงสาวเข้าบ้าน แม้ไม่ได้เข้ามาอย่างถูกต้องตามประเพณี แต่สีฮูหยินก็ถูกชะตากับเด็กคนนี้ไม่แพ้จวินเอ๋อร์ แน่นอน นางย่อมไม่พลาดโอกาสตีเหล็กตอนร้อน ผลักดันให้ทั้งคู่ลงเอยกันโดยเร็ว
“อะแฮ่ม!” นายผู้เฒ่าสีกระแอมกระไอ ก่อนบอกฮูหยินของตนว่า “บางเรื่องราวก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป ทำไมฮูหยินต้องรีบร้อน แสดงออกนอกหน้าขนาดนี้ด้วย”
“ก็เพราะค่อยเป็นค่อยไป ลูกชายท่านอายุสามสิบกว่าแล้วถึงยังไม่ได้ออกเรือนเสียที ท่านพี่ คราวนี้ข้าต้องมีสะใภ้ให้ได้”
สีฮูหยินเสียงแข็งใส่สามี พอหันมาทางหลัวเหมย นางกลับยิ้มแย้มราวกับคนละคน
“เหมยเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่นี่ หากขาดตกบกพร่องสิ่งใดให้รีบบอกข้า อ้อ ส่วนเรื่องที่บ้านเจ้า ข้าจะจัดการให้เอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ระหว่างนี้ ข้าต้องเตรียมสินสอดอะไรบ้างนะ พ่อแม่เจ้าชอบอะไร ที่บ้านเจ้ามีกี่คน...”
พอถูกคำถามมากมายจู่โจมใส่ หลัวเหมยก็แทบผงะ
“เอ่อ สีฮูหยิน คือข้า...”
“หือ? ข้าไม่ให้เจ้าเรียกเช่นนี้ เรียกข้าว่าท่านแม่เดี๋ยวนี้เลย”
สีหน้าของหลัวเหมยเต็มไปด้วยความลำบากใจ ไม่ว่าสีฮูหยินจะเอ่ยอะไรออกมาล้วนทำให้นางตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเรื่องที่บ้านเจ้า ข้าจะเป็นคนจัดการเอง เจ้าก็ไม่ทำสีหน้าแบบนั้นก็ได้ หรือว่าที่บ้านของเจ้าคิดว่าเทียนหยางลูกข้าไม่เหมาะสม ไม่สิ เทียนหยางเป็นถึงผู้ตรวจการประจำเมืองเฉาหลัว แม้อายุอานามจะมากอยู่สักหน่อย แต่บ้านสกุลหลัวต้องเห็นแก่หน้าสกุลสีที่รับราชการรับใช้ราชสำนักมาถึงสี่รุ่นบ้างสิ” สีฮูหยินพูดเองสรุปเองจนหลัวเหมยจนตรอก
เพื่อไม่ทำให้ผู้ใหญ่ต้องรู้สึกเสียหน้า หลัวเหมยยิ้มตอบ
“ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ”
“ถ้าไม่ใช่ แล้วมีปัญหาที่ตรงไหน เหมยเอ๋อร์ เจ้าบอกข้ามาเถอะ”
“ข้ามาเพื่อปรนนิบัติ...”
ครั้นจะพูดอออกไปจนหมดเปลือก คนที่ผิดก็คือบ้านสกุลหลัว เมื่อนึกขึ้นได้ หลัวเหมยจึงหุบปากทันควัน
ทว่าพอคำว่า ‘ปรนนิบัติ’ หลุดออกจากปากของหญิงสาวแล้วก็ยากที่จะเอากลับคืน สีฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ตาโต ยกมือขึ้นทาบอก หันไปหาบุตรชาย แล้วกล่าวตำหนิทันที
“เทียนหยาง เจ้าพาบุตรสาวบ้านอื่นมาเชยชมเฉยๆ ไม่ได้นะ”
สีเทียนหยางไม่ทันพูด คนพูดคือนายผู้เฒ่าสี “ฮูหยิน ใจเย็นก่อนน่า บางทีเรื่องนี้อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดก็ได้นะ”
“ยังจะใจเย็นอะไรอีก ท่านพี่... ชายหญิงอยู่กันตามลำพังเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหน เทียนหยางเป็นถึงผู้ตรวจการ มีแต่ต้องรับผิดชอบ เอาอย่างนี้ ข้าจะไปบ้านตระกูลหลัว จัดการให้จบในครั้งเดียว เทียนหยาง เจ้าเห็นเช่นเดียวกับแม่หรือไม่”
สีฮูหยินแสร้งโวยวายใส่ ทั้งยังกล่าวอ้างเรื่องขนบประเพณี ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในสมอง มิหนำซ้ำยังหาทางออกให้เรื่องนี้เสร็จสรรพ
สีเทียนหยางตลอดเวลามีรอยยิ้มประดับบนมุมปาก เพิ่งจะตีสีหน้าตกใจก็ตอนนี้เอง
“ท่านแม่เห็นสมควรอย่างไร จัดการได้เลยขอรับ เรื่องนี้ข้าเองก็รู้สึกผิด”
“ดี เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ให้แม่จัดการเอง”
สีฮูหยินตัดสินใจแล้วว่าเรื่องนี้ต้องได้รับความกระจ่างอย่างเร็วที่สุด
“เอ่อ...”
หลัวเหมยได้แต่อ้าปากเหวอ สรุปแล้ว ที่พวกเขาโต้ตอบกันไปมาเพื่อสร้างสถานการณ์และสรุปเอาเองใช่หรือไม่ ถามนางหรือยังว่าต้องการแบบนี้หรือเปล่า หากทว่า ถ้าให้นางไตร่ตรองดีๆ แล้ว สีเทียนหยางไม่สมควรรับผิดชอบนางเลย บ้านสกุลหลัวต่างหากที่ต้องรับผิดชอบ เพราะท่านพ่อของนางวางยาปลุกกำหนัดใต้เท้าผู้ตรวจการด้วยแผนอันชั่วร้าย คนที่อยู่ผิดที่ผิดเวลาคือนางเองต่างหาก
ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดีล่ะ!
สีเทียนหยางลอบมองหญิงสาว จากนั้นอมยิ้มด้วยสีหน้ามากแผนการ
ในกรณีของจวินเอ๋อร์กับจั่วจิ้นเค่อ มารดาเป็นแม่สื่อแม่ชัก จัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ ทำให้แม่ทัพจั่วรู้ใจตนเอง ถึงตอนนี้ จวินเอ๋อร์ น้องสาวบุญธรรมของเขาก็มีความสุขในชีวิตแต่งงานไปแล้ว
ตอนนี้ถึงคราวของสีเทียนหยางบ้าง ท่านแม่จะจัดการอย่างไรนั้นเขาล้วนเชื่อมั่น อีกอย่าง บ้านสกุลหลัวที่ทำกิจการไม่โปร่งใสจะรอดเงื้อมมือทางการได้อีกกี่น้ำ หลัวเหมยเป็นเด็กจิตใจดี นางไม่สมควรอยู่ในบ้านสกุลหลัวเพื่อรับเคราะห์แต่อย่างใด
สีเทียนหยางคิดใช้โอกาสนี้ยิงเกาทัณฑ์ครั้งเดียวได้นกสองตัว