แกร๊ก!
เสียงของประตูห้องนอนที่ถูกปิดสนิทลงทันทีที่สิงหราชเปิดประตูออกไป
".........." ลินินที่เห็นแบบนั้นก็รีบเหวี่ยงขาทั้งสองข้างลงจากเตียงนอนอย่างรวดเร็ว เธอเดินไปคว้าชุดนอนที่ตกอยู่ที่พื้นมาสวมใส่ ก่อนที่จะเดินตรงไปที่ประตูห้องจัดการล็อคประตูห้องอย่างรวดเร็ว
เพราะกลัวว่าสิงหราชคนใจร้ายจะกลับมาเข้ามาในห้องของเธออีก หลังจากที่จัดการล็อคประตูห้องเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมาที่เตียงนอนของตัวเอง
ร่างเล็กทิ้งตัวลงไปกับที่นอนอย่างหมดเรี่ยวแรง ก่อนที่จะพลิกตัวนอนตะแคงกอดตัวเองเอาไว้
น้ำตาสีใสที่เหือดแห้งไปก่อนหน้านี้กลับไหลทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่สิงหราชคนใจร้ายพึ่งทำไว้กับเธอ
"ทำไมถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้" ลินินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสะอื้น
ดวงตากลมโตที่ชุ่มไปด้วยน้ำตาค่อยๆปิดสนิทลง พลางนึกถึงเรื่องราวเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อน เรื่องราวที่ทำให้เธอกับแม่ของเธอต้องย้ายเข้ามาในคฤหาสน์แห่งนี้
จุดเริ่มต้นมันเกิดในวันนั้น วันที่เด็กจบใหม่อย่างเธอออกไปสมัครงาน แล้วกลับมาบ้านก็พบว่าผู้เป็นแม่หมดสติอยู่ที่พื้น ในมือกำรูปชายหนุ่มรุ่นลูกคนหนึ่งซึ่งเธอก็รู้ดีว่าผู้เป็นแม่รักคนๆนั้นสุดหัวใจเอาไว้
ตอนนั้นเธอตกใจมาก ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่พอตั้งสติได้ก็รีบโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลมารับโฉมฉายผู้เป็นแม่ ถึงได้รู้ความจริงบ้างอย่างที่ผู้เป็นแม่ปิดเอาไว้
"แม่คะ...ฮึก ทำไมแม่ไม่บอกนินคะ ทำไมไม่บอกว่าแม่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย" ลินินจับมือของโฉมฉายเอาไว้ด้วยหัวใจที่ปวดร้าวพร้อมกับเอ่ยถามทั้งน้ำตา ขณะที่โฉมฉายนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยด้วยใบหน้าซีดเซียว
ทว่าโฉมฉายก็ยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาอย่างแรง และนั่นก็ทำให้โฉมฉายและลินินหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง ก็ปรากฏร่างชายสูงวัยคนหนึ่งนั่นก็คือพิพัฒน์
"คุณลุง!" ลินินเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจซึ่งไม่ต่างจากโฉมฉายที่ดูตกใจเหมือนกันกับเธอ
"คุณ!" โฉยฉายเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
"คุณจะปกปิดผมไปอีกนานเท่าไหร่โฉม ต้องรอให้ถึงวันสุดท้ายก่อนเลยหรือไง คุณยังเห็นผมเป็นผัวอยู่ไหมโฉม?" พิพัฒน์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจและโกรธ
เขาสาวเท้าเดินตรงมาหาโฉมฉายที่เตียงผู้ป่วย ซึ่งลินินก็ยันตัวลุกจากเก้าอี้เบี่ยงตัวหลบให้พิพัฒน์ได้นั่งคุยกับโฉมฉาย แล้วพาตัวเองมานั่งที่โซฟาที่อยู่ภายในห้องพิเศษของโรงพยาบาล
"โฉมทำไมคุณไม่บอกผม ทำไมต้องให้ผมรู้เอง ผมจะบ้าตายอยู่แล้วนะโฉม" ทันทีที่พิพัฒน์หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ก็ขว้ามือโฉมฉายเข้ามาจับพร้อมกับเอ่ยพูดทั้งน้ำตา
"โฉมขอโทษค่ะ โฉมก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานนี้เอง" โฉมฉายพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ค่อยๆเอี้ยวตัวยื่นมือข้างที่ยังว่างใช้ปลายนิ้วค่อยๆเช็ดน้ำตาให้กับผู้เป็นสามี
"แล้วทำไมไม่รีบบอกผม"
"โฉมไม่อยากบอกให้คุณเครียดนี่คะ อีกอย่างโฉมก็ทำใจแล้ว อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดค่ะ"
"ผมทำใจไม่ได้หรอกนะโฉม คุณต้องอยู่อย่างลำบาก ผมไม่เคยชดใช้อะไรให้คุณเลย" พิพัฒน์เอ่ยทั้งน้ำตา คำพูดของเขาแสดงถึงความอัดอั้นที่อยู่ในใจ
ทั้งที่รักจนสุดหัวใจ แต่ก็แทบไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกัน เพราะเขาเองก็มีหน้าที่หลายบทบาท แถมงานก็ยังรัดตัว
"โฉมไม่ต้องการอะไรจากคุณค่ะ โฉมเคยบอกกับคุณหลายครั้งแล้ว ถ้าโฉมเป็นไรไปฝากดูลูกด้วยนะคะ" โฉมฉายยังคงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
แต่คำว่าลูกที่โฉมฉายพูดออกมานั้นไม่ได้หมายถึงลินินเพียงคนเดียว
"ไม่นะโฉมคุณต้องไม่เป็นอะไร ไปอยู่ที่บ้านกับผมนะโฉม ผมจะดูแลคุณเอง อย่ามัวชักช้าอีกเลยนะ ผมรู้คุณอยากเห็นเขา อยากสัมผัส อยากกอดเขา อยากอยู่ใกล้ๆเขาไม่ใช่เหรอโฉม ผมว่ามันควรจะถึงเวลานั้นได้แล้ว อย่ารออีกเลย"
"อย่าเลยค่ะ โฉมไม่อยาก....." โฉมฉายยังพูดไม่ทันจบประโยคพิพัฒน์ที่รู้ว่าเมียจะปฏิเสธก็ขัดขึ้นทันที
"ผมไม่ยอมแล้วนะโฉม ถ้าคุณไม่ยอมไปอยู่กับผมที่บ้าน ทุกอย่างที่ผมรับปากคุณเอาไว้ผมจะเปิดเผยมันออกมาให้หมด"
"อย่านะคะ!" โฉมฉายเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดัง
"งั้นก็ไปอยู่กับผมที่บ้าน เอาหนูนินไปด้วย ไปกันทั้งสองคนนี่แหละ"
คำพูดของพิพัฒน์ทำเอาโฉมฉายเงียบไปคู่ใหญ่ สุดท้ายแล้วเธอก็หันไปมองลินินที่รู้เรื่องทุกอย่าง และยังคงฟังผู้ใหญ่ทั้งสองคนอย่างเงียบๆ
"นินจะว่าอะไรไหมถ้าแม่...."
"แม่อยู่ที่ไหน นินก็จะอยู่ที่นั่นค่ะ แม่ไม่ต้องกังวลเลย" ลินินกระพริบตาถี่ๆไล่น้ำตาให้ไหลออกมาจากดวงตาสวย
หลังจากที่รู้ว่าโฉมฉายเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายและอาจจะอยู่ได้ไม่เกิน5เดือน เธอก็ปฏิญาณกับตัวเองเอาไว้ในใจ ว่าต่อไปนี้จะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนบุญคุณโฉมฉาย ไม่ว่าอะไรที่จะทำให้โฉมฉายมีความสุขเธอจะทำให้ทุกอย่าง
"ขอบใจนะลูก" โฉมฉายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
"หนูลินินก็ตกลงแล้ว ไปอยู่ที่บ้านกับผมได้แล้วใช่ไหมโฉม ไปอยู่บ้านกับผมนะ" พิพัฒน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงมีความหวัง
"จะให้โฉมไปอยู่ด้วยจริงๆเหรอคะ คือว่าโฉมกลัว..."
"ทั้งสามคนนั้นโตกันหมดแล้วนะโฉม ตาใหญ่ก็35เข้าไปแล้วนะ ส่วนเจ้าคู่แฝดนั้นก็33แล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก"
"............" โฉมฉายฟังที่พิพัฒน์พูดก็ขบคิดอยู่ครู่ใหญ่ บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายในชีวิตเธอแล้วก็ได้ "ตกลงค่ะ โฉมจะไปอยู่กับคุณ"
"ผมดีใจที่สุดเลยโฉม ในที่สุดคุณก็ยอมไปอยู่กับผมแล้ว" พิพัฒน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจพุ่งตัวจะไปกอดคนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างโฉมฉาย ทว่าก็โดนผลักเอาไว้ซะก่อน
"อายลูกบ้างสิคะ ลินินนั่งอยู่ตรงนั้นนะ" คำพูดของโฉมฉายทำให้พิพัฒน์หันกลับไปมองลินิน ซึ่งลินินก็ฉีกยิ้มบางๆออกมา
"ขอโทษนะหนู ลุงดีใจมากไปหน่อย"
"ไม่เป็นไรค่ะนินเข้าใจ"
"นินลูก หนูเดินมาหาแม่หน่อย"
"..........." ทันทีที่ได้ยินโฉมฉายเอ่ยเรียก ลินินก็รีบยันตัวลุกขึ้นยืน เธอสาวเท้าเดินมาอีกฝั่งหนึ่งของเตียง ดวงตาที่แดงช้ำหลังจากผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก มองไปที่ใบหน้าซีดเซียวของโฉมฉาย ก่อนจะเอ่ยพูด..."แม่มีอะไรจะพูดกับนินเหรอคะ?"
"แม่มีอะไรจะขอนินนะลูก" โฉมฉายเอ่ยบอกกับลินินก่อนที่จะหันไปหาพิพัฒน์อีกฝั่งหนึ่งของเตียง "คุณก็ด้วยคะ"
"ว่ามาสิ ผมกับหนูลินินฟังอยู่"
"ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทั้งคุณทั้งนิน ห้ามพูดเรื่องนั้นออกมาเด็ดขาด รับปากฉันนะคะคุณ" โฉมฉายหันไปคาดคั้นเอาคำตอบกับพิพัตน์เป็นคนแรก
"คุณพูดกับผมเป็นครั้งที่ร้อยแล้วโฉม ผมรับปากครับ" พิพัฒน์ตอบทำให้เห็นรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของโฉมฉาย ก่อนที่เธอจะหันไปหาลินิน
"นินล่ะลูก รับปากแม่ได้ไหม?"
"ค่ะ...นินรับปาก" ลินินเอ่ยบอกพร้อมกับพยักหน้าและนั่นก็ทำให้โฉมฉายยิ้มกว้าง
"ผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องหมดแล้วนะ หลังจากที่คุณออกจากโรงพยาบาล คุณกับหนูนินก็เตรียมตัวได้เลยนะ ผมจะพาไปบ้านทันที"
.............................
ง่า...มีความลับอะไรซ่อนอยู่ ทำไมถึงเปิดเผยไม่ได้
จะเกี่ยวกับคุณใหญ่่หรือเปล่าน๊า....
............................
ระหว่างรออัพ เรื่องสิงหราชคนใจร้าย
สามารถเข้าไปเช็คการอัพนิ
ยาย เรื่องสิงหราชคนใจร้ายได้ที่
เฟสบุ๊ค นามปากกา ยาหยี หรือไลน์ส่วนตัว @195oafqc ค่ะ
...........................
ยาหยีขอฝากให้ทุกคนไปอ่านเรื่องที่จบแล้วของยาหยีด้วยนะคะ
หัวใจนายซาดิสม์ (จบแล้ว)
เด็กในปกครอง (จบแล้ว)
พลายรักยากูซ่า (จบแล้ว)