บทที่ 4.2
เธอคือภรรยาของฉัน
กู้เหยียนถือถาดข้าวต้มกุ้งและยาเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ดวงตาคมมองหญิงสาวที่ยังคงหลับพริ้มอย่างอ่อนเพลีย เพราะถูกเขาเคี่ยวกรำมาร่วมครึ่งวันกับหนึ่งคืน
“จือหลิน ตื่นมากินข้าวกินยาก่อนดีไหม”
“ฉันยังไม่หิว ไม่กิน”
คนถูกปลุกตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ก่อนจะพลิกตัวหันหลัง ดึงผ้าห่มมาคลุมโปงเป็นสัญญาณบอกว่าไม่ต้องการสนทนากับใคร มุมปากของคนปลุกยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ วางถาดอาหารในมือลงบนโต๊ะเล็กแล้วนั่งลงบนเตียง ก่อนจะขยับตัวใช้สองแขนคร่อมคนใต้ผ้าห่มเอาไว้ พร้อมกับโน้มตัวไปกระซิบเสียงเบา
“ถ้าคุณไม่ลุกขึ้นมากินข้าว ผมจะกิน...”
คำพูดที่หายไปในลำคออย่างจงใจของกู้เหยียนทำให้ดวงตาที่หลับสนิทพลันเบิกกว้าง
น้ำเสียงแบบนี้ของกู้เหยียน คือสัญญาณอันตราย
กวงตือหลินรีบกระชับผ้าห่มกลิ้งตัวหนีไปอีกฝั่งของเตียงอย่างร้อนรน แต่ด้วยความตื่นตระหนกจึงกลิ้งเลยขอบเตียงพลัดตกลงไปบนพื้นจนจุกแน่นไปทั้งตัว เรียกรอยยิ้มกว้างให้คนที่นั่งบนขอบเตียงอีกฝั่งในทันที
“กู้เหยียนคนใจร้าย คุณหัวเราะเยาะฉัน”
กู้เหยียนส่ายหน้าไปมาก่อนจะเดินอ้อมเตียงมาอุ้มคนที่ม้วนตัวด้วยผ้าห่มขึ้นมานั่งบนเตียงอีกครั้ง ใบหน้าหวานงอง้ำปวดด้วยอาการปวดไปทั้งแผ่นหลัง
"อ้าปากครับ กินข้าวเสร็จจะได้กินยา"
"คนไม่หิวก็ยังบังคับให้กิน เผด็จการ "
ริมฝีปากเล็กบ่นหงุบหงิบเสียงเบา ดวงตากลมมองค้อนคนตรงหน้าที่รังแกเธอทั้งคืน แล้วยังบังคับเธอให้ลุกมากินข้าวอีก
“อย่างนั้นผมเอาอย่างอื่นให้คุณกินแทนดีไหม หืม...”
กวงจือหลินได้ยินประโยคกำกวมของเขาก็ตวัดส่งสายตาดุมองคนตัวโตตรงหน้า ก่อนจะจำใจอ้าปากกลืนอาหารที่เข้าป้อนลงท้องด้วยสีหน้าแง่งอน
“วันนี้คุณพักก่อนนะครับ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยมาร่วมมือกันต่อ”
กู้เหยียนบอกเสียงอ่อนโยน หากแต่แววตากลับแฝงไปด้วยความเร่าร้อน กดปลายจมูกลงบนหน้าผากเนียน แล้วยกถาดอาหารกลับลงไปชั้นล่าง
กวงจือหลินมองตามแผ่นหลังของคุณหมอหนุ่มด้วยใบหน้าร้อนผ่าว
"คนบ้า ใครอยากร่วมมือกับเขาทำเรื่องแบบนั้นกัน"
เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่เธอกับเขาร่วมมือกันเมื่อคืน ความยินดีก็เกิดขึ้นในจิตใจจนกวงจือหลินไม่อาจกลั้นรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า ทิ้งตัวลงบนเตียงมุดเข้าผ้าห่มอีกครั้ง
....................................................
“คุณกู้ครับ เนื้อหมูนี่ให้ผมช่วยล้างไหมครับ”
“ไม่ต้อง นายวางเอาไว้ได้เลยเดี๋ยวฉันจัดการเอง ว่าแต่ได้แป้งข้าวจ้าวมาหรือไม่”
“อยู่ในตะกร้าตรงนั้นครับ”
เมื่อสอบถามได้ความว่าของที่เขาต้องการถูกจัดเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว กู้เหยียนก็ไม่สนใจคนอื่นอีก ตั้งใจทำอาหารและขนมของโปรดไว้รอกวงจือหลิน
เซี่ยเว่ยที่ตอนนี้ได้รับหน้าที่เป็นคนคุ้มกันตลอดจนดูแลเรื่องต่างๆ ของกู้เหยียน มองดูคุณหมอหนุ่มด้วยความชื่นชม จะมีผู้ชายสักกี่คนที่ตื่นแต่เช้าเพื่อมาจัดการเรื่องอาหารการกินไว้รอภรรยาเช่นนี้ ให้เขากวาดตามองทั่วทั้งเซี่ยงไฮ้เขาก็ยังหาไม่เจอจริงๆ
ยังไม่นับเวลาที่คุณหนูของเขาเล่นซุกซนจนเจ็บตัวกลับมา กู้เหยียนก็ไม่เคยแม้แต่จะตำหนิ อีกทั้งยังคอยดูแลช่วยเหลือจัดการอาการบาดเจ็บของเธออย่างใส่ใจอีกด้วย
“ได้เวลาตื่นนอนของจือหลินแล้ว ฉันฝากนายช่วยยกอาหารพวกนี้ขึ้นโต๊ะให้ด้วย”
“ได้ครับ”
กู้เหยียนเอ่ยฝากงานพร้อมกับตักอาหารอย่างสุดท้ายใส่จานวางเอาไว้ ก่อนจะเร่งกลับขึ้นไปปลุกคนบนห้อง กวงจือหลินขมวดคิ้วเล็กเมื่อสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นระคายผิวที่ลำคอ ก่อนจะครวญเสียงเบาเมื่ออกอวบอิ่มถูกบีบเคล้นจนปวดหนึบ
“อื้ม... กู้เหยียน พอแล้ว”
นับจากวันที่เธอเพิ่มข้อตกลงให้กู้เหยียนมอบลูกคนที่สองให้เธอก่อนจึงจะสามารถกลับเมืองเจียงได้ ในทุกคืนกวงจือหลินก็ไม่เคยได้นอนเกิน 4 ชม.อีกเลย ดังนั้นร่วมสองเดือนมานี้หากยังไม่ถึงเวลามื้อเช้ากวงจือหลินก็จะไม่ลุกจากที่นอนเลย
“ผมอาบน้ำให้นะครับ”
เสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบบอก กวงจือหลินไม่ทันได้เอ่ยตอบก็ถูกวงแขนแกร่งกระชับโอบอุ้มพาเดินเข้าห้องน้ำในที
“กู้เหยียน ฉันยังไม่หายเจ็บคุณเบามือหน่อยได้ไหม”
คนถูกวางลงในห้องน้ำเงยหน้าสบสายตาคมผ่านกระจกเงาอย่างเว้าวอน หากแต่บนใบหน้าที่แสนอบอุ่นของกู้เหยียนกลับปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และสายตาอันเร่าร้อนตอบกลับมาแทน ก่อนที่เขาจะโอบกอดจนแผ่นหลังบางชิดอกแกร่ง ก้มหน้าลงกระซิบข้างใบหูเล็ก
“เดี๋ยวผมทายาให้นะครับ”
“อ๊ะ!”
กวงจือหลินร้องอย่างตกใจเมื่อมือหนาข้างหนึ่งของกู้เหยียนขยับมาวางลงบนไหล่แล้วออกแรงดันจนลำตัวช่วงบนของเธอโน้มไปด้านหน้า ขณะที่เอวบางถูกดึงรั้งให้สะโพกกลมโก้งโค้งรับแรงรักที่รุนแรงจากเขาจนตัวสั่นศีรษะคลอน
“กู้เหยียน คุณเบาแรงหน่อย อื้ม...”
กวงจือหลินร้อนผ่าวไปทั้งตัว ยิ่งเห็นภาพอันเร่าร้อนของเธอกับกู้เหยียนที่สะท้อนผ่านกระจกเงาตรงหน้า อารมณ์ในกายสาวก็ยิ่งพุ่งทะยาน สุดท้ายกว่าที่กู้เหยียนจะพอใจ เธอก็หมดแรงไปถึงสี่หน ร่างกายอ่อนล้าจนสองขาสั่นเทา เดินลงไปกินมื้อเช้าที่เกือบเที่ยงวันด้วยอาการไม่มั่นคงนัก
“วันนี้ผมทำของโปรดคุณทั้งนั้นเลย กินเยอะๆ นะครับ”
ท่าทางอบอุ่นอ่อนโยนของกู้เหยียนในเวลานี้ทำให้กวงจือหลินลืมภาพชายหนุ่มที่แสนเร่าร้อนเอาแต่ใจก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น ริมฝีปากบางยิ้มกว้างตักอาหารในจานที่กู้เหยียนคีบให้ใส่ปากด้วยความอิ่มเอมใจ เพียงแต่กินได้เพียงครึ่งจาน หม่าตงก็เดินเข้ามารายงานบางอย่าง
แม้กู้เหยียนจะไม่รู้ว่าสิ่งที่หม่าตงแจ้งต่อเธอเป็นเรื่องอะไร แต่สังเกตจากสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมของเธอ เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่าเรื่องที่หม่าตงมาแจ้งนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
“ผมเพิ่มนึกได้ว่าทำสาลี่ตุ๋นน้ำผึ้งเอาไว้ ขอตัวก่อนนะครับ”
เพื่อไม่ให้กวงจือหลินรู้สึกอึดอัดหรือลำบากใจ กู้เหยียนจึงเป็นฝ่ายลุกออกจากโต๊ะอาหารก่อน ทว่าตอนที่จะเดินเข้าห้องครัวมือหนาก็ถูกจับรั้งเอาไว้
“ฉันจะรีบกลับมากินนะคะ”
“ครับ”
หลังจากตอบรับด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นและรอยยิ้มที่อ่อนโยนแล้วกู้เหยียนก็เดินหายเข้าไปในครัว
“เกิดอะไรขึ้นกับอี้เฟิ่ง”
“ไม่ทราบครับ คุณอี้แจ้งเพียงมีเรื่องด่วนต้องการพบคุณหนูครับ”
คิ้วเรียวของกวงจือหลินพลันขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย แม้เธอกับอี้เฟิ่งจะเป็นสหายสนิท ทว่าความสัมพันธ์นี้กลับไม่อาจเปิดเผย เช่นเดียวกับสถานะของอี้เฟิ่ง ดังนั้นการที่อีกฝ่ายมาหาเธอถึงบ้านเช่นนี้เรื่องที่ต้องการพูดคุยกับเธอย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน เมื่อคิดว่าสหายสนิทอาจพบเจอปัญหาใหญ่เท้าเล็กก็ยิ่งเพิ่มจังหวะการเดินให้เร็วมากขึ้นจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง
“ทุกคนออกไปก่อน”
เมื่อมาถึงห้องโถงรับรอง กวงจือหลินก็เอ่ยบอกให้คนของตนเองออกไปรอที่ด้านนอก เพื่อความปลอดภัยของอี้เฟิ่ง เรื่องของเขาให้คนรู้น้อยที่สุดจึงเหมาะสม เมื่อภายในห้องเหลือเพียงเธอกับอี้เฟิ่ง กวงจือหลินก็ส่งสายตาเป็นคำถามไปยังชายหนุ่มที่สวมหน้ากากอำพรางใบหน้าครึ่งหนึ่งของตนเอาไว้
“ผมมีเรื่องที่จะต้องรบกวนคุณ...”
อี้เฟิ่งเอ่ยบอกด้วยท่าทางนิ่งสงบ หากแต่ในน้ำเสียงกลับแฝงความกังวลใจอย่างชัดเจน ร่างสูงโปร่งขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหันมาเผชิญหน้ากับสหายลับตรงหน้า ทว่านั่นก็ทำให้กวงจือหลินสังเกตเห็นอาการบาดเจ็บที่ต้นแขนของเขา คิ้วเรียวพลันขมวดเข้าหากันแน่นมากกว่าเดิม
“นายอย่าเพิ่งพูดอะไรเลยอี้เฟิง ตามฉันขึ้นมาข้างบนก่อน”
กู้เหยียนมองดูกวงจือหลินจับแขนชายแปลกหน้าพาขึ้นไปยังห้องทำงานส่วนตัวของเธอด้วยความรู้สึกไม่พอใจ แม้จะบอกว่าเขาเคารพในทุกการกระทำของเธอแต่ในใจก็อดที่จะรู้สึกขุ่นเคืองไม่ได้ หรือเพราะเขาไม่สามารถมอบลูกให้เธอ จือหลินจึงคิดหาผู้ชายคนใหม่มาทำหน้าที่นี้แทน เพียงคิดว่าผู้ชายหน้าตาดีคนนั้นอาจทำเรื่องที่ใกล้ชิดกับเธอ เหมือนที่เขาทำในใจของกู้เหยียนก็ยิ่งร้อนรนจนไม่อาจสงวนท่าที
“คุณชายอี้เป็นเพื่อนสนิทกับคุณหนูกวงครับ เทียบกับคุณชายซ่งแล้วคนนี้ไว้ใจได้มากกว่า”
เซี่ยเว่ยที่สังเกตเห็นอาการของกู้เหยียนเอ่ยบอกหวังให้อีกฝ่ายคลายความกังวล ทว่าพูดจบกวงจือหลินก็เดินลงมาจากชั้นบนแล้วสาวเท้าตรงมาหากู้เหยียนด้วยท่าทางและสีหน้าที่ร้อนใจอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
“กู้เหยียน คุณช่วยขึ้นไปดูอี้เฟิ่งให้หน่อยได้ไหมคะ”
น้ำเสียงขอร้อง และสายตาห่วงใยที่ชัดเจนของเธอทำให้ในใจของกู้เหยียนเกิดความไม่พอใจขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่เขามีความรู้สึกไม่อยากให้การช่วยเหลือคนเจ็บ
“ผมทำสาลี่ตุ๋นน้ำผึ้งให้คุณอยู่...”
“ช่างสาลี่ตุ๋นน้ำผึ้งมันไปก่อนเถอะค่ะฉันไม่อยากกินแล้ว ตอนนี้อี้เฟิงบาดเจ็บคุณช่วยไปดูเขาก่อนเถอะนะคะ”
ไม่อยากกินแล้ว ไปดูเขาก่อน คำพูดเพียงสองประโยคนี้ของกวงจือหลินทำให้กู้เหยียนตระหนักได้ถึงความสำคัญของผู้ชายข้างบนในทันที
“หากคุณต้องการแบบนั้นก็ได้ อาเว่ยฉันฝากเทสาลี่ตุ๋นน้ำผึ้งทิ้งให้ด้วย”
กู้เหยียนตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือน้อยใจ ทว่ากวงจือหลินที่เวลานี้กังวลอยู่กับอาการบาดเจ็บของสหายกลับไม่ได้สังเกตเห็น ยังสั่งให้คนเร่งไปเอากระเป๋ายา และอุปกรณ์ทำแผลต่างๆ มาให้กู้เหยียนอย่างเร่งด่วน
“คุณขึ้นไปดูเขาก่อนเถอะค่ะ ขาดเหลืออะไรฉันจะลงมาเอาให้เพิ่มเอง”
กู้เหยียนขบกรามแน่น รับกระเป๋ายามาจากเซี่ยเว่ยที่มองเขาด้วยความห่วงใยมาถือ แล้วเดินตามหญิงสาวขึ้นไปยังชั้นสองด้วยสองขาที่หนักอึ้ง
หรือแท้จริงแล้วเทียบกับคนแซ่่อี้ผู้นั้นเขาไม่มีน้ำหนักในใจจือหลินเลย
.........................................................