บทที่ 1.1
สามีของฉันใครก็แตะต้องไม่ได้
กวงจือหลินเดินเข้ามาในห้องแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาปลายเตียงยกขาเรียวขึ้นไขว้กันพร้อมกับสะบัดเปิดกระโปรงขึ้น กู้เหยียนถอนหายใจยาวกับกิริยาไม่สำรวมของเธอ เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาวางลงเรียวขาอีกข้าง เผยให้เห็นเพียงต้นขาขาวที่มีรอยแผลลึกเป็นทางยาว
"ฉันจะลงไปเอากล่องยา เธอรออยู่ตรงนี้"
กวงจือหลินไม่เอ่ยคัดค้านหรือตอบรับ เพียงมองแผ่นหลังกว้างเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อลับตาเขาก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ ไม่นานนักกู้เหยียนก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับที่บุหรี่ในมือของกวงจือกลินที่หมดลง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น ก่อนจะนั่งลงบนพื้นห้องเปิดกล่องหยิบอุปกรณ์ทำแผลออกมาทำแผลให้กวงจือหลินอย่างเบามือ
"บุหรี่ทำลายสุขภาพ ภายหน้าก็สูบให้น้อยลงหน่อยเถอะนะ"
เสียงอ่อนละมุนเอ่ยบอก ดวงตากลมมองคนตรงหน้านิ่ง เขากล้าดีอย่างไรมาสั่งสอนเธอ เพียงแต่ทั้งที่ควรรู้สึกไม่พอใจกวงจือหลินกลับรู้สึกอบอุ่นในอกอย่างไร้เหตุผล
"บ่นเก่งชะมัด เสร็จหรือยัง ฉันเหนื่อยอยากนอนแล้ว"
"อืม..."
กู้เหยียนตอบรับในลำคอ ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าเช็ดตัวอีกผืนส่งมาให้เธอ กวงจือหลินรีบดึงเสื้อของตนเองขึ้นมาดมด้วยความไม่มั่นใจ นี่ตัวเธอเหม็นจนเขาทนไม่ไหวต้องให้เธออาบน้ำเลยหรือ
"เมื่อครู่เธอออกแรงไปมาก อาบน้ำก่อนค่อยนอนจะได้หลับสบาย ระวังอย่าให้แผลถูกน้ำ"
ในแววตากลมพลันสั่นไหวเล็กน้อย ความอ่อนโยนเช่นนี้แม้จะเป็นการเสแสร้ง แต่กลับอบอุ่นยิ่งนัก มือเรียวเอื้อมไปรับผ้าขนหนูตรงหน้าแล้วลุกเดินเข้าห้องน้ำ สองแก้มแดงก่ำ ก่อนจะสลัดศีรษะไล่ความรู้สึกประหลาดของตนเอง อาบน้ำอย่างระวัง
อย่าให้แผลถูกน้ำ เสียงของคนด้านนอกยังดังก้องในความคิดราวกับเขามายืนเตือนอยู่ด้านหลัง ดังนั้นตลอดการอาบน้ำกวงจือหลินจึงระวังแผลที่ขาเป็นพิเศษ
กวงจือหลินใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็ออกมา เพียงแต่ภาพห้องที่ว่างเปล่ากลับทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น รีบสวมเสื้อผ้ารัดกุมตามปกติของตนแล้วเดินลงมาที่ชั้นล่างรุ่น
“มีใครเห็นคุณหมอกู้ไหม”
“คุณหมอกู้ออกไปข้างนอกครับ”
“ไปข้างนอก! กับใคร แล้วไปที่ไหน”
“เอ่อ... ไปกับอาเซี่ยครับ”
ในใจของกวงจือหลินพลันรู้สึกไม่สงบขึ้นมา รอบตัวเธอมีศัตรูมากมาย ทุกย่างก้าวการกระทำล้วนต้องคอยระมัดระวัง กู้เหยียนเป็นว่าที่สามีของเธอ แม้จะในนามก็ตามแต่ก็นับเป็นคนของเธอ เป็นเป้าหมายของศัตรู
ราวสองชั่วโมงกู้เหยียนก็กลับมาพร้อมกับข้าวของมากมาย กวงจือหลินไม่สนใจว่าเขาออกไปซื้ออะไรที่เธอสนใจก็คือความปลอดภัยของเขา
“คุณปลอดภัดีใช่ไหม"
"ครับ"
กู้เหยียนตอบรับด้วยท่าทางสับสนงุนงงเล็กน้อย เขาแค่ไปซื้อของไมได้ไปรบจะมีอันตรายอะไรได้กัน
"จะไปไหนทำไมไม่บอกฉันก่อน”
คนรอบตัวได้ยินน้ำเสียงห้วนดุดันของกวงจือหลินก็รีบปลีกตัวหลบ ใครๆ ก็รู้ว่าพายุโทสะของคุณหนูกวงนั้นยากจะรับมือ ที่น่าสงสารตอนนี้ก็คงเป็นชายหนุ่มต่างเมืองผู้นั้น
“คุณกำลังอาบน้ำอยู่ ผมออกไปซื้อของเล็กน้อยเลยไม่อยากรบกวนคุณ”
“คุณกู้ ที่นี่คือเซียงไฮ้และคุณคือว่าที่สามีของฉัน คุณรู้ไหมว่ามันหมายถึงอะไร”
มาถึงตรงนี้กู้เหยียนก็พลันเข้าใจความขุ่นเคืองของกวงจือหลิน ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มออกแล้วเอ่ยตอบเสียงอ่อนโยน
“ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วงผม แต่แผลของคุณลึกมากแค่ทำแผลอย่างเดียวไม่พอ ต้องกินยาด้วย”
ไม่เพียงแค่พูดอธิบาย กู้เหยียนยังหมุนตัวไปหยิบถุงยาออกมาให้เธอดูด้วย อารมณ์โมโหของกวงจือหลินพลันจางหายเมื่อรับรู้ว่ากู้เหยียนออกไปซื้อยาให้ตนเอง
“อ่อ... แล้วก็กล่องยาในบ้านมีขนาดเล็กไปเมื่อเทียบกับจำนวนคน ยาบางตัวก็หมดอายุ ผมเลยซื้อมาให้ใหม่ ยังชาอีกสองสามชนิดที่ช่วยทำให้นอนหลับสนิทด้วย”
หัวใจของกวงจือหลินสั่นไหวอย่างไม่อาจหักห้าม ฟังคนตรงหน้าหยิบของออกมาให้ดูด้วยท่าทางสงบและตั้งใจ ภาพนี้ทำให้บรรดาคนที่ลอบมองต่างพากันตื่นตกใจ
หรือชายแซ่กู้ผู้นี้จะเป็นคนที่คุณหนูรักจริงๆ อยู่ต่อหน้าเขาเธอจึงเปลี่ยนไปราวกับคนละคนเช่นนี้
“ศัตรูฉันมีอยู่รอบทิศ ครั้งหน้าจะไปไหนพาคนไปให้มากหน่อย เข้าใจหรือไม่”
“ครับ”
“ฉันง่วงแล้วจะขึ้นไปนอน”
กวงจือหลินเอ่ยบอกแล้วขยับตัวเดิน ทว่าขณะที่ก้าวผ่านเขาขาของเธอก็อ่อนแรงกะทันหันขึ้นมา กู้เหยียนรีบคว้าตัวเธอเอาไว้แนบอกก่อนจะช้อนตัวคนขาเจ็บขึ้น
“ขาคุณเจ็บอยู่ ให้ผมอุ้มไปส่งที่ห้องดีกว่าไหมครับ”
“อืม... ฉันเองก็เดินไม่ค่อยไหว”
สิ้นคำตอบรับของคนขาเจ็บ บรรดาคนที่ลอบมองก็เบ้หน้าเบือนสายตาหนีในทันที เดินไม่ไหวอะไรกัน เมื่อครู่คุณหนูกวงยังวิ่งลงบันไดมาตามหาคนอยู่เลยไม่ใช่หรือ ทำไมพริบตาก็กลายเป็นเดินลำบากไปเสียได้
ไม่คิดว่าคุณหนูกวงก็รู้จักใช้มารยาหญิงเช่นกัน
......................................................................
กู้เหยียนวางคนขาเจ็บลงบนเตียงนอน หากแต่ตอนที่เขากำลังจะจากไปมือหนาก็ถูกหญิงสาวบนเตียงจับเอาไว้
“ภายใน 30 นาทีนี้ห้ามคุณออกจากห้องฉัน”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย กวงจือหลินไม่ตอบยังรั้งลำคอของเขาลงมาแล้วกดริมฝีปากแนบชิด ออกแรงดูดดึงจนเกิดเป็นริ้วแดง เมื่อเห็นผลงานของตนเอง ริมฝีปากสวยก็คลี่ยิ้มออก ก่อนปล่อยตัวคนเป็นอิสระ
“คิดจะแสดงละครก็ควรทำให้แนบเนียน”
พูดจบกวงจือหลินก็ซุกตัวลงในผ้าห่มแล้วหลับตาลง กู้เหยียนวางมือลงบนรอยแดงที่หญิงสาวทิ้งไว้แล้วใจสั่นระรัว นิ้วยาวรีบตรวจจับชีพจรที่ข้อมือของตนเองในทันที
132 ครั้ง/นาที นี่นับเป็นภาวะวิกฤต
เพื่อให้ผลตรวจเป็นไปอย่างแม่นยำ เขาจึงเดินไปที่โซฟาปลายเตียงนั่งหันหลังให้คนนอนหลับแล้วกำหนดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ราว 5 นาทีจึงตรวจชีพจรของตนเองอีกครั้ง
88 ครั้ง/นาที
เมื่อได้ผลตรวจที่ปกติ คนตื่นตกใจก็ผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอก โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า ด้านหลังของตนมีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองเขาด้วยท่าทางขบขัน จวบจนเวลาผ่านไปครบครึ่งชั่วโมงเมื่อเขาเดินกลับลงมาที่ชั้นล่าง สายตาของคนรอบตัวก็มองเขาด้วยรอยยิ้ม และท่าทีทีต่างไปจากเดิม
“เมื่อเช้าอาหลินยังไม่ได้กินอะไรฉันจะไปปอกผลไม้ให้เธอ มีอะไรที่เธอกินไม่ได้หรือไม่”
กู้เหยียนหันไปถามคนสนิทของกวงจือหลิน พลางเปิดตู้เย็นหยิบของสดในนั้นออกมา
“ไม่มีครับ”
“อาหลินมีประวัติแพ้ยา แพ้อาหารอะไรไหม”
“ไม่มีครับ”
“โรคประจำตัวล่ะ มีหรือเปล่า ต้องกินยาอะไรเป็นประจำไหม”
คนสนิทของกวงจือหลินส่ายหน้าไปมาถี่ระรัว เหตุใดจึงรู้สึกราวกับพวกเขากำลังถูกซักประวัติก่อนเข้าพบแพทย์กัน
“อาหลิน อาหลินอยู่ไหม”
เสียงร้องเรียกกวงจือหลินดังก้อง ก่อนที่ชายหนุ่มคนหนึ่งจะเดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางคุ้นเคย ดูจากคำเรียกหาแล้วเป้าหมายของเขาย่อมต้องมาพบกวงจือหลินเป็นแน่
“นั่นคุณชายรองซ่งครับ เขาแอบหลงรักคุณหนูของเรามาตั้งแต่ 9 ขวบแล้วครับ”
ลูกน้องคนหนึ่งของกวงจือหลินเอ่ยบอก หากแต่กู้เหยียนกลับมีท่าทีสงบไม่ได้เดือดร้อนไปกับข้อมูลที่อีกฝ่ายให้ ด้วยตระหนักได้ถึงสถานะของตนเอง
“คุณหมอกู้ คุณไม่หึง ไม่หวงคุณหนูหน่อยหรือครับ”
“ทำไมฉันต้องหึง ต้องหวงด้วย”
“แต่คุณกับคุณหนู...”
“นายไม่ได้บอกหรือว่าเขาหลงรักอาหลินมาตั้งแต่ 9 ขวบ หากอาหลินคิดมีใจหรือหวั่นไหวต่อเขา ฉันคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้”
คำพูดของกู้เหยียนทำให้คนสนิทของกวงจือหลินทั้งสองถึงกับอ้าปากค้าง ทว่าเมื่อเห็นคุณชายซ่งเดินตรงไปที่บันได กู้เหยียนก็แสดงตัวในทันที
“อาหลินนอนหลับอยู่ครับ”
พื้นที่บนชั้นสองเป็นที่ส่วนตัวของเจ้าของบ้าน ชื่อเสียงของสตรีต้องรักษาให้ดี ดังนั้นกู้เหยียนจึงได้เอ่ยห้ามปราม
“คุณชายซ่งนั่งรอที่ด้านล่างก่อนดีกว่าครับเดี๋ยวผมไปเรียกอาหลินให้”
ไปเรียกกวงจือหลินให้ ซ่งรุ่ยหยางพลันขมวดคิ้วหนา มองชายแปลกหน้าด้วยความสงสัย อีกฝ่ายมีสถานะใดถึงสามารถเข้าห้องของอาหลินได้
“คุณเป็นใคร”
“สามีฉันเอง!”
เสียงเล็กดังก้องมาจากชั้นบน พร้อมกับร่างเพรียวบางของกวงจือหลิน ใบหน้าของซ่งรุ่ยหยางพลันบิดเบี้ยว ดวงตาคมแดงก่ำเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา กวงจือหลินเห็นท่าทางของเขาแล้วก็ถอนหายใจยาวอย่างนึกรำคาญใจ
“ถ้าจะร้องไห้ก็ไปร้องที่อื่น น่ารำคาญ”
ซ่งรุ่ยหยางส่งสายตาเศร้าให้คนที่นั่งลงตรงข้าม ก่อนจะเอ่ยเสียงอ้อนวอน
“อาหลิน ฉันชอบเธอมานาน เธอก็รู้ทำไมยัง...”
“อย่าพร่ำเพ้อยืดเยื้อ มีอะไรก็ว่ามา”
ซ่งรุ่ยหยางถูกดักทางเช่นนี้ก็เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงแง่งอน
“สินค้าที่ต้องส่งไปยังซงซาน หายไป 12 ลัง”
“หาย! หายได้ยังไงกัน ตรวจสอบหรือยัง”
“อืม... ฉันให้คนตรวจสอบแล้ว หนึ่งในรถขนส่งของเราคล้ายจะถูกสลับลังสินค้า”
“เอาของสำรองในคลังส่งไปให้ลูกค้าก่อน ส่วนของที่หายไป ให้คนไปตามสืบมาแล้วฉันจะไปทวงด้วยตนเอง”
“ได้!”
เมื่อสนทนาเรื่องงานเสร็จซ่งรุ่ยหยางก็ปรับเปลี่ยนเป็นคนละคน ขยับตัวประชิดกวงจือหลินแล้วเอ่ยชวนเธอด้วยท่าทางเว้าวอน
“อาหลินวันนี้ที่ฉางเจิ้นไนต์คลับมีนักร้องใหม่มา เธอไปฟังเพลงกับฉันไหม”
“ก็ดี”
เมื่อได้ยินเธอตอบตกลง ซ่งรุ่ยหยางก็ยิ้มกว้างจนตาหยี หากแต่เพียงชั่วครู่รอยยิ้มนั้นก็แข็งค้าง หัวใจปวดหนึบราวกับกำลังแตกสลาย
“ฉันจะได้พาสามีของฉันออกไปเที่ยวด้วย”
......................................................................