หลังจากลู่เสียนกลับไปแล้ว ลี่มี่ก็ไม่ลืมจัดการเปลี่ยนรหัสห้องพักทันที จากนั้นก็เข้าครัวทำอาหารเย็นต่ออย่างมีความสุข เพราะได้กลับมาเข้าครัวทำอาหาร หลังจากที่ห่างหายไปนานเพราะภารกิจที่รัดตัวจากชีวิตก่อน
วันนี้ลี่มี่เห็นประกาศในเว็ปบอร์ดบนอินเตอร์เน็ต ของค่ายหนังยักษ์ใหญ่ค่ายหนึ่ง กำลังจะเปิดรับนักแสดงในหลายๆบท เพื่อร่วมแสดงในบทประพันธ์ ของนักเขียนชื่อดังท่านหนึ่งของเมืองจีน เรื่อง ‘เมื่อบุปผาหวนคืนชะตา’
บทประพันธ์เรื่อง ‘เมื่อบุปผาหวนคืนชะตา’ เป็นเรื่องราวของเทพบุปผาสาว ที่กลับชาติมาเกิดเป็นนางร้ายของเรื่อง แน่นอนว่าตัวเอกของเรื่องย่อมเป็นเทพบุปผาคนนี้ และมีพระเอกนางเอกร่วมแสดงสมทบอย่างคับคั่ง
ลี่มี่สนใจในบทของเทพบุปผา เพราะเส้นเรื่องตัวเอกต้องเป็นนางร้าย และเป็นบทที่โดดเด่นมากกว่านักแสดงในเรื่องคนอื่นๆ ซึ่งตรงตามจุดประสงค์ของเธอ ในการก้าวเดินในวงการบันเทิง เพราะลี่มี่ไม่ชอบแสดงบทนางเอก แต่ต้องการจะเป็นนักแสดงนางร้ายอันดับต้นๆของเมืองจีนในโลกนี้
พอตัดสินใจได้แล้ว หญิงสาวก็กรอกรายละเอียดใบสมัครลงในอินเตอร์เน็ตทันที และรอเวลาที่จะไปร่วมคัดตัวนักแสดงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ หากได้รับการตอบรับจากทางทีมคัดเลือกนักแสดง ซึ่งลี่มี่มั่นใจมากว่าตนเองจะต้องได้รับการตอบรับให้ไปคัดเลือกนักแสดงอย่างแน่นอน
เพราะจะต้องถูกตรวจสอบรายละเอียด และหน้าตาจากรูปที่แนบไปในใบสมัครก่อนถึงจะทราบว่า จะได้ผ่านไปจนถึงรอบคัดเลือกนักแสดงรอบสุดท้ายหรือไม่นั่นเอง ซึ่งในรอบสุดท้ายนั้น ต้องทำการแสดงต่อหน้า นักเขียน ผู้กำกับ และผู้อำนวยการสร้าง ที่จะเป็นนายทุนสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา
.
.
.
.
มู่เฉิน ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ชายหนุ่มรูปหล่อ วัย 33 ปี รูปร่างกำยำสมชายชาตรี ฐานะร่ำรวย เพราะทางต้นตระกูลฝั่งบิดา สืบทอดมาจากราชวงศ์เก่า และต้นตระกูลก็ทำธุรกิจจนรุ่งเรื่องต่อเนื่องกันมานาน หลายยุคหลายสมัย
ชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้มีดีกรีไม่ธรรมดา เรียนจบปริญญาเอกด้านการภาพยนตร์มาจากต่างประเทศ ตอนนี้ก็ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ในเครือบริษัทของตระกูลมู่ ซึ่งก็คือ บริษัทมู่เฉิน เอนเตอร์เทนเมนท์ นั่นเอง
ตระกูลมู่ ในยุคปัจจุบัน ทำธุรกิจเกี่ยวกับวงการบันเทิงครบวงจร ทั้งทางทีวี และในโรงภาพยนตร์ ในส่วนของมู่เฉินนั้นสนใจงานด้านภาพยนตร์มาตั้งแต่เล็กๆ จึงมุ่งมั่นไปทางภาพยนตร์ จนในเวลานี้ สามารถก้าวขึ้นมาในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ในวันเพียง 33 ปี
มู่เฉินต้องการสร้างภาพยนตร์เรื่องใหม่ ที่ต้องการทุ่มทุนสร้างให้ผลงานออกมาดีที่สุดแห่งปี จากผลงานของนักเขียนที่เขาชื่นชอบ และเป็นบทประพันธ์ในดวงใจของชายหนุ่มซึ่งนั่นก็คือเรื่อง เมื่อบุปผาหวนคืนชะตา นั่นเอง
ชายหนุ่มตกหลุมรัก ในบทบาทของเทพบุปผาสาว ที่กลับชาติมาเกิดเป็นนางร้าย ที่ถึงแม้จะเป็นตัวร้ายของเรื่อง แต่กลับมีเสน่ห์น่าดึงดูด และในบทประพันธ์นั้น นักเขียนได้บรรยายรูปร่างหน้าตาของเทพบุปผาสาวออกมา จนมู่เฉินตกหลุมรักจนถอนตัวไม่ขึ้น
ขนาดที่ว่าผู้หญิงในชีวิตจริง ที่ชายหนุ่มพบเห็นไม่สามารถทำให้เขาใจเต้นแรงได้สักคน ฉะนั้นผู้อำนวยการสร้างหนุ่มคนนี้จึงยังไม่มีคนรัก และไม่ค่อยสนใจผู้หญิงนอกจากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานเพียงเท่านั้น
ทุกวันนี้มู่เฉิน ยังคงจินตนการถึงรูปร่างหน้าตาของตัวละครนี้อยู่เสมอ ปีนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสม ที่ทางบริษัทจะสร้างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์แห่งปี มู่เฉินจึงได้หยิบเอาบทประพันธ์ เรื่อง เมื่อบุปผาหวนคืนชะตา มาสร้างเป็นภาพยนตร์ เพราะชายหนุ่มนั้นอยากเห็นหน้าตาเทพบุปผาสาวเต็มทีแล้ว
บริษัท มู่เฉินเอนเตอร์เทนเมนท์
“ได้นักแสดงมาแคสบทเทพบุปผาแล้วหรือยัง” มู่เฉินเอ่ยถาม ฉินซีผู้ช่วยหนุ่มทันทีที่เข้ามาในห้องทำงาน
“ได้บ้างแล้วครับบอส บอสอยากดูเองไหมครับ”
“อืมดีๆ ขอดูหน่อยว่าจะสวยกันขนาดไหน จะเหมาะสมกับบทเทพบุปผาของฉันไหม” มู่เฉินตอบรับด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น เพราะอยากเห็นหน้าคนที่จะมาเป็นเทพบุปผาของตนเองเต็มทีแล้ว
ฉินซีเลขาหนุ่ม ส่งข้อมูลนักแสดงที่จะมาคัดเลือกบท เทพบุปผาสาวให้เจ้านายหนุ่มดูทันที ซึ่งทางทีมงานคัดเลือกนักแสดงเบื้องต้น ได้คัดเลือกนักแสดงออกมาได้ถึง 50 คนเลยทีเดียว
มู่เฉินไล่เปิดดูข้อมูลของผู้เข้ารับคัดเลือก ทั้งเปิดดูหน้าตาของหญิงสาวแต่ละคนไปเรื่อยๆ มีทั้งไม่ถูกใจ และรู้สึกเฉยๆคงต้องรอส่งบทให้มาแสดงโชว์ในวันคัดเลือกรอบสุดท้ายดูอีกที
ชายหนุ่มเปิดอ่านและดูไปเรื่อยๆจนมาถึงคนสุดท้าย วินาทีที่มู่เฉินสบตาเข้ากับ ดวงตาหงส์ที่กลมโตแวววาวฉ่ำน้ำ คู่หนึ่ง ที่ปลายหางตาของหญิงสาวนั้น กระหวัดยกขึ้นเล็กน้อยตามธรรมชาติ มองดูมีเสน่ห์เย้ายวน จนแทบละสายตาออกมาไม่ได้
หัวใจของมู่เฉินเต้นแรง จนนึกว่าตนเองเป็นโรคหัวใจเสียแล้ว เพราะดวงตาหงส์แบบนี้ คือดวงตาที่เขาจินตนาการไว้ในใจมาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ได้อ่านบทประพันธ์เรื่อง เมื่อบุปผาหวนคืนชะตา
และดวงตาหงส์แบบนี้ล่ะ ที่ทำให้ชายหนุ่มหาแฟนไม่ได้มาโดยตลอด พอคิดจะสานสัมพันธ์กับผู้หญิงคนไหน ก็มักจะนึกถึงแต่ดวงตาของเทพบุปผาสาว ในจินตนาการของตนเองขึ้นมาทุกที
มู่เฉินจะรู้สึกผิดทันที ที่คิดจะสัมผัสร่างกายของผู้หญิงคนอื่น แม้กระทั่งจูบเขาก็ทำไม่ได้ เหมือนว่าเทพบุปผาเป็นแฟนสาวของตนเอง ที่กำลังมองเขาเพื่อจับผิดอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“ฉินซี วันแคสบทเทพบุปผารอบสุดท้าย จัดขึ้นวันไหนนะ”
“วันอาทิตย์ ของสัปดาห์หน้าครับบอส ให้ผมเคลียร์คิวงานของบอสไว้เลยใช่ไหมครับ” ฉินซีเอ่ยตอบเจ้านาย ทั้งยังรู้ใจอีกว่า บอสของตนจะต้องไปร่วมแคสบทเทพบุปผาอย่างแน่นอน
“อืม”
“ไว้เจอกันนะ เฉินลี่มี่”
มู่เฉินพึมพำออกมาคนเดียวเสียงเบา ในใจของชายหนุ่มได้แต่คาดหวัง ให้เฉินลี่มี่คนนี้แสดงให้สมบทบาทของเทพบุปผา เพราะถ้าเฉินลี่มี่ไม่มีฝีมือในการแสดง เขาก็ไม่สามารถให้หญิงสาวคนนี้ มารับบทเทพบุปผาได้ ถึงแม้จะถูกใจในรูปร่างหน้าตาของเธอสักแค่ไหนก็ตาม
.
.
.
.
บ้านตระกูลลู่
ลู่คงและลู่อิงเถา บิดามารดาของลู่เสียน กำลังนั่งรอพบลูกชายหัวแก้วหัวแหวน อยู่ในห้องรับแขกของบ้าน เพราะวันนี้เฉินคังกับเฉินจูเพื่อนสนิทของพวกท่าน มาพบที่บ้านตระกูลลู่ เพื่อบอกกล่าวเรื่องสำคัญเกี่ยวกับลูกชายคนเดียวของบ้าน
สองสามีภรรยาตระกูลเฉิน มาเพื่อบอกถอนหมั้นให้ลูกสาวของพวกเขา และได้เล่ารายละเอียดให้ทั้งสองคนฟังทุกเรื่องอย่างไม่ปิดบัง จนลู่คงและลู่อิงเถา ยินยอมลงนามถอนพันธะหมั้นหมาย ระหว่างลู่เสียนและเฉินลี่มี่ทันที เพราะผิดหวังในตัวของลูกชายตนเองเช่นกัน
การหมั้นหมายถูกลงนามโดยผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ฉะนั้นการยกเลิกก็ถูกลงนามโดยผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเช่นเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรอลู่เสียนให้มาลงนาม
และทั้งลู่คงและลู่อิงฮวา ต่างเข้าใจว่าลูกชายของพวกท่าน เต็มใจถอนหมั้นอยู่แล้ว เพราะตลอดเวลาที่หมั้นหมายนั้น ลู่เสียนมาพูดคุยเรื่องถอนหมั้นกับเฉินลี่มี่มาโดยตลอด ดังนั้นทั้งสองเลยไม่ได้โทรศัพท์บอกลูกชายให้มาร่วมลงนามแต่อย่างใด